พยานลวง
พยานลวง
โดย อักษราลัย
"ใช่ครับคุณตำรวจ ผมเห็นผู้ชายตัวผอมสูง ท่าทางไม่น่าไว้ใจ วิ่งไปทางนั้น ในมือเขาเหมือนถืออะไรบางอย่าง" ตำรวจพยักหน้าหงึกหงักกับคำให้การของพยานในที่เกิดเหตุ มือขยับจดข้อความบันทึกลงในสมุดจดเล่มเล็ก ๆ พลางหรี่ตามองพยานอย่างพินิจพิเคราะห์ พยานคนนี้อายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี ท่าทางดูน่าเชื่อถือ แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น จ่าเทียมเป็นตำรวจมานานเกินยี่สิบปี ผ่านที่เกิดเหตุในคดีต่าง ๆ มานับไม่ถ้วนในทุกรูปแบบของอาชญากรรม ทั้งฉกชิงวิ่งราว ไปจนถึงคดีฆาตกรรม และหลายครั้งหลายคราพยานให้การที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั่นแหละคือผู้ต้องหา เพราะยิ่งก่ออาชญากรรมมากขึ้นเพียงใด ความย่ามใจและความทะนงตัวก็มีมากขึ้น และคนพวกนี้มักย้อนกลับมาดูผลงานของตัวเองในที่เกิดเหตุ บางคนนั้นแก่กล้าขนาดให้การเป็นพยานได้อย่างไม่ติดขัดใด ๆ
จ่าเทียมเสมองไปยังผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นเหยื่อในวันนี้ ชายคนนี้มีรูปร่างผอม แก้มตอบ หากแต่มีเค้าโครงใบหน้าที่จัดว่าสมส่วน ขนาดผู้ชายด้วยกันยังทึ่งในความคมคายและดูมีเสน่ห์ในใบหน้านั้นอย่างยากจะละสายตา แม้ว่าบัดนี้ใบหน้านั้นจะซูบซีดขาดสีเลือด อาจเพราะเลือดนั้นไปกองอยู่บนพื้นหญ้ารอบบริเวณลำตัวจากแผลที่ถูกกระหน่ำแทงจนเรียกว่าพรุนก็ไม่ผิดนัก เหตุแบบนี้สันนิษฐานได้ไม่ยากว่าผู้ก่อเหตุมีความแค้นเคืองผู้ตายอย่างมาก มากกว่าแค่ทะเลาะกันจนบันดาลโทสะ พลาดพลั้งจนเผลอแทง หรือป้องกันตัวเอง จนทำให้อีกฝ่ายตาย เพราะแบบนั้นแผลไม่ควรเกินสองแผล แล้วอะไรกันคือสาเหตุของความแค้นเคืองนั้น แต่นั่นก็ไมใช่เรื่องที่จ่าเทียมจะต้องให้ความสำคัญอะไรมากนัก เพราะหน้าที่ในการสอบสวนเป็นเรื่องของหมวดเจ้าของคดี เขาก็แค่เบ๊ที่คอยทำตามคำสั่ง จ่าเทียมพับเก็บสมุดบันทึกขนาดเล็กใส่ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วยืนมองผู้คนที่รายล้อมที่เกิดเหตุอย่างสนใจ แม้ในตอนนี้จะเป็นยุคที่ทุกคนมักใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย อย่างเพื่อนตำรวจคนอื่นมักจะจดข้อความที่ได้รับจากพยานในที่เกิดเหตุลงในโปรแกรมจดข้อความในโทรศัพท์มือถือ เพื่อความสะดวกของการเรียกดูเนื้อหาและการนำข้อความนั้นส่งต่อเข้าคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องพิมพ์ใหม่ แต่สำหรับเขาแล้ว สมุดจดบันทึกยังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา แม้จะต้องไปลอกพิมพ์รายงานส่งใหม่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาชอบของเขาแบบนี้แม้จะโดนเพื่อน ๆ ตำรวจด้วยกันล้อว่าเขายังทำงานเป็นไดโนเสาร์ที่ไม่ยอมพัฒนา ทำเหมือนว่ายุคนี้ไม่ใช่ยุคห้าจี เขาก็ยิ้มรับโดยไม่ขัดเคืองแต่อย่างใด
พยานที่ให้การเมื่อสักครู่เดินออกไปรวมกับฝูงคนที่รายล้อมอยู่นอกเขตกั้นของแถบกันพื้นที่ทำาน เขามองตามไปอย่างสนใจ ทั้งคู่สบตากันก่อนที่พยานหนุ่มคนนั้นจะเดินเลี่ยงหายไป
"เรียบร้อยรึยังจ่า" เสียงหมวดอาชาถามพลางเดินเข้ามาหา
"ครับ" จ่าเทียมตอบกลับหมวดรุ่นลูกที่มาเป็นหัวหน้าใหม่ของเขายังไม่ถึงเดือน หนุ่มเอวบางหน้าขาวผิวขาว ที่น่าจะไปเป็นดารามากกว่าตำรวจที่เขานึกปรามาสในใจว่าจะมีน้ำยาอะไร และนี่เป็นคดีใหญ่ครั้งแรก ที่เขาเองก็อยากจะรู้ฝีมือของหมวดเหมือนกันว่าจะสามารถจับคนร้ายได้หรือไม่ หรือคดีนี้ก็จะเป็นแค่แฟ้มปิดไม่ลงอีกแฟ้มของสน. ที่กองสุมอยู่ในตู้เอกสารเป็นใบที่ห้าของสถานีตำรวจแห่งนี้
สายวันนั้นจ่าเทียมลุกตื่นขึ้นเมื่อตีนฟ้าเปิดสว่างโร่ไปถึงไหน ๆ แล้ว เนื่องจากเป็นวันหยุด ลุกขึ้นเดินจากที่นอน สะบัดคอ และมือ ไล่ความขี้เกียจสร้างความกระฉับกระเฉงสักครู่ ก่อนจะปรี่ไปเสียบกาน้ำสำหรับชงกาแฟ
"ออด ออด ออด" เสียดออดดังขึ้นจากประตูด้านหน้าของทาวน์เฮ้าส์ ทำให้เขาประหลาดใจ เพราะนอกจากงานแล้วเขาแทบไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกเลย ไม่เคยมีใครสนิทถึงขั้นไปมาหาสู่ถึงบ้าน บ้านที่เขาเคยอยู่อย่างมีความสุขกับอดีตภรรยานักร้องวัยคราวลูกที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือเธอจากการถูกคุกคาม จนก่อเกิดเป็นความรัก แล้วนวลก็ย้ายเข้ามาอยู่กับเขา จนวันหนึ่งหลังจากอยู่ด้วยกันมาได้ยังไม่ถึงสามปีดี นวลก็เก็บข้าวของย้ายออกไปในวันที่เขาต้องไปเข้าเวรอยู่ที่สถานี มาง่ายไปง่ายเหมือนสายลมพัดผ่าน ไร้ความผูกพันใด ๆ หรือมีเพียงเขาเท่านั้นที่ผูกพันและรักนวลอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่สนอดีตใด ๆ ที่ผ่านมา เชื่อทุกถ้อยคำที่บอกเล่าอดีตอันขมขื่น เขาให้นวลอย่างเต็มปรี่ในด้านความรักและความสะดวกสบายตามอัตภาพเท่าที่เงินเดือนตำรวจอันน้อยนิดของเขาจะทำได้
"เงินเดือนพี่น่ะเหรอ ซื้อชุดนักร้องให้ฉันสักชุด ก็แทบไม่เหลือแล้ว" นวลเคยตวาดกลับมาในวันที่จ่าเทียมขอร้องให้เลิกอาชีพนักร้อง แล้วอยู่เป็นแม่ศรีเรือนให้เขาเพียงอย่างเดียว
เขาเดินออกไปเปิดประตู แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหมวดอาชากับเพื่อนตำรวจอีกสองสามคนยืนอยู่
"หมวด …" เสียงขาดหายเข้าไปในลำคอ เขายืนนิ่ง เมื่อเห็นแววตาของหมวดที่เขาเคยปรามาสความสามารถ
"อย่าให้เป็นเรื่องเอิกเกริกเลยนะจ่า ขึ้นรถไปเงียบ ๆ เถอะ" หมวดอาชาเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตาจริงจัง
"ขอผมเปลี่ยนเสื้อสักตัว" จ่าเทียมก้มมองเสื้อยืดคอย้วยที่ใส่นอนอยู่ หมวดพยักหน้าอนุญาต แล้วพยักหน้าให้จ่าสมเดินตามเขาเข้ามาในบ้าน
พวกเขามาถึงสถานีตำรวจในเวลาไม่นาน เพราะบ้านของจ่าเทียมอยู่ห่างจากสถานีตำรวจเพียงระยะเดินทางแค่ห้านาทีเท่านั้น
"ทำไม..ถึงรู้" จ่าเทียมเอ่ยถามทันทีที่เข้าไปในห้องสอบสวน
"ผมเห็นสายตาของจ่าที่สบตากับพยานในที่เกิดเหตุเลยสงสัย"
"แค่สายตา หมวดรู้?" จ่าเทียมรู้สึกแปลกใจ
"ถึงผมจะด้อยประสบการณ์ในการทำงาน แต่ผมก็ร่ำเรียนมา ทุกอย่างมีอยู่ในหลักสูตร โดยเฉพาะพยานลวงที่ถูกจ้างโดยผู้ต้องหาตัวจริง"
จ่าเทียมคอตก ยอมรับสารภาพทุกอย่างโดยดี ว่าพยานคนนั้นคือเด็กเดินยาที่เขาเคยปล่อยไปเพราะเห็นแก่แม่ของมัน และเมื่อเขาสืบรู้มาว่านวลหนีไปจากเขาเพราะผู้ชายคนนั้น เมื่อเขานัดมาเคลียร์กัน ประโยคที่ทำให้เขากะหน่ำแทงมันไปโดยไม่ยั้งนั้นคือ
"นวลเขาไม่เคยรักจ่าเลย คิดหรือว่าเงินเดือนตำรวจจน ๆ อย่างจ่าจะเลี้ยงดูให้เขามีความสุขได้ หน้าตาอย่างจ่ารึก็ …" มันพูดไม่ทันจบหรอกที่เขาเสือกคมมีดเข้าไปในท้องของมันครั้งแล้วครั้งเล่า