ขับรถกลับบ้าน กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม”
“ขับรถกลับบ้าน กับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม”
วันที่ 1เมษายน พศ.2565
วันนี้ผมต้องรีบกลับบ้านที่นครสวรรค์เพราะว่าวันพรุ่งนี้ผมจำเป็นต้องไปเกณฑ์ทหาร
วันนี้ผมตื่นตอน 7โมงเช้าเพราะเสียงโทรศัพท์ที่หัวหน้าของผมโทรมา นั่นเป็นเพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเขาไม่โทรมาปลุก ผมคงจะตื่นเอาตอนเที่ยงแน่ๆ (ก็ตื่นเช้าไปมั่นไม่สบายตัวนี่นา)
“วันนี้ผมหยุด” คำแรกที่ผมพูดหลังจากรับโทรศัพท์
“กูรู้ๆ แค่จะโทรมาถามว่าจะไปตอนไหน” หัวหน้าผมตอบพร้อมกับขำออกอีกมานิดหน่อย
และหลังจากคุยกันไม่นานมากเขาก็วางสายไป ผมเลยลุกเพื่อไปเตรียมตัวเพื่อจะได้ออกให้เร็วที่สุด (จะรีบไป จะได้รีบนอนต่อ) ผมจัดของใส่กระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน ใส่ทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็น ผมใส่ของลงไปในกระเป๋าหลายอย่างมาก ซึ่งนั่นก็รวมถึงปลั๊กพ่วงอันที่ผมชอบใช้ด้วย และหลังจากเตรียมของจนเสร็จ ผมก็รีบดิ่งไปที่รถเพื่อที่จะออกเดินทางในทันที
ห้องของผมอยู่ที่สะพานใหม่ ซึ่งมันก็ไม่ไกลจากบ้านของผมที่นครสวรรค์สักเท่าไหร่ ถ้าให้พูดจริงๆมันก็ไม่ได้เกิน 180กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเองก็แค่ 2ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่จะขับไปรถกลับติดมาก จนทำให้กว่าผมจะถึงที่อ่างทองก็เกือบๆจะ 2ชั่วโมงแล้ว และหลังจากผมขับรถไปพร้อมกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นาน ผมก็พึ่งจะมานึกออกว่า “กูลืมเอาบัตรประชาชนใส่กระเป๋ามานี่หว่า”
ชิบหายแล้วไง ขับรถมาเกือบ 2ชั่วโมงพึ่งจะมานึกได้ว่าลืมหยิบบัตรประชาชนใส่กระเป๋า ทั้งๆที่ขนาดปลั๊กพ่วงมึงยังไม่ลืมแท้ๆ แต่ดันมาลืมบัตรประชาชนเนี่ยนะ “ไอ้เวรเอ้ย”
ผมรีบจอดรถที่ศาลาข้างทางที่ไกล้ที่สุดเพื่อคิดว่าจะเอายังไงต่อดี จะย้อนกลับไปเอาบัตรประชาชนที่ห้องดีมั้ย หรือว่าจะขับต่อไปให้ถึงแล้วทำบัตรใหม่แทนเลย
ผมคิดอะไรหลายอย่างอยู่นานจนเวลาผ่านไปเกือบๆจะครึ่งชั่วโมงผมก็ได้ตัดสินใจว่า จะลองโทรไปถามที่อำเภอแถวบ้านก่อนว่าวันนี้เขาสามารถทำบัตรให้ได้มั้ย และหลังโทรไปถามแล้วก็ได้ผลสรุปว่าไม่สามารถทำให้ได้เพราะเครื่องทำบัตรประชาชนของที่อำเภอดันมาพังวันนี้พอดี จะสามารถทำให้ได้ก็ต้องรอจนถึงวันจันทร์ (กูรอนานขนาดนั้นไม่ได้!) แต่ผมก็ยังไม่หมดหวังไปซะทีเดียว “ในเมื่อทำที่บ้านไม่ได้ งั้นก็ทำแถวนี้มันซะเลยก็ได้วะ”
พอคิดได้อย่างนั้นผมเลยขับรถไปหา ที่ว่าการอำเภอ ที่ไกล้ที่สุดเพื่อไปทำบัตรประชาชนอันใหม่ โดยแจ้งว่าทำบัตรหาย แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะทางอำเภอต้องการคนมายืนยันว่าผมเป็นตัวจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพมาหลอกทำบัตรประชาชน ซึ่งนั่นก็คือผู้ใหญ่บ้าน (กูแค่ขับรถผ่านมา แล้วกูจะไปหาผู้ใหญ่บ้านจากไหนวะเนี่ย) โอเคร ถ้าอำเภอนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร งั้นไปอำเภออื่นแทนแล้วกัน ผมขับรถวนหา ที่ว่าการอำเภออื่นแถวๆนั้นอีก 2อำเภอ เสียเวลาไปเกือบๆจะ 1ชั่วโมง แต่ก็ได้ผลตอบรับแบบเดียวกัน (สงสัยจะเป็นกฎที่ใช้กันทั่วประเทศล่ะมั้ง โอเคร ถ้าเป็นแบบนั้นกูก็คงต้องยอมแพ้อย่างเดียวแหละ) สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้แล้วยอมทนขับรถย้อนกลับมาจนถึง กรุงเทพ ยังดีที่ขาเข้ากรุงเทพรถไม่ติดมาก แต่ผมก็ต้องเสียเวลาขับรถไปอีก 1ชั่วโมงกว่าๆ
ผมกลับมาถึงห้องตอนเที่ยงตรง แล้วขึ้นตรงไปที่ห้องเพื่อที่จะไปหยิบบัตรประชาชนให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองลืมมันอีกรอบ (เป็นคนขี้ลืมน่ะ ลืมบัตรมา 3-4รอบแล้วในช่วงไม่กี่ปีนี้) และหลังจากหยิบบัตรประชาชนใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ผมก็นอนทำใจอยู่บนห้องไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆเลย เพื่อให้ตัวเองเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับบ้านครั้งที่สองในรอบ 1วัน
“ถ้าเช็คให้ดีๆตั้งแต่แรก ป่านนี้คงได้นอนไปแล้วสินะ” ผมคิดอย่างนี้ตลอดทางที่ขับรถกลับมา จนถึงตอนนี้ที่นอนอยู่ก็ยังคิดเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงแล้วก็เดินตรงไปที่รถเพื่อที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
หลังจากนั้นผมก็ขับรถยาวเลยตั้งแต่บ่ายหนึ่งจนถึงบ้านก็เกือบๆจะ 4โมงเย็น นี่เป็น 8ชั่วโมงที่ดุเดือดที่สุดเลยในชีวิตผม ต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ 300กว่ากิโลเมตร ทั้งๆที่บ้านอยู่ห่างไม่ถึง 180กิโลเมตร เสียทั้งค่าน้ำมัน(แพงด้วย) ทั้งเวลาที่ควรจะเอาไปนอน (พักผ่อนน่ะ) การลืมบัตรประชาชนครั้งนี้ผมต้องเสียอะไรไปหลายอย่างจริงๆ
ทั้งหมดที่เขียนในครั้งนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการขับรถกลับบ้านแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่เรื่องที่ยาว แต่มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่าเลยสำหรับตัวผม จริงอยู่ที่ผมเป็นคนขี้ลืมที่มักจะลืมบัตรประชาชนอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผลเสียที่ตามมามันหนักที่สุดเลย เป็นครั้งแรกที่ต้องลงทุนยอมขับรถกลับเพื่อไปเอาบัตรมาให้ได้ หลังจากนี้ก็คงต้องเช็คของให้ชัวร์ก่อนออกเดินทางครั้งต่อๆไปแล้วแหละ ไม่งั้นถ้าลืมอีกคงเป็นเรื่องใหญ่อีกรอบแน่ๆ ไม่อยากเหนื่อยอีกรอบแล้วโว้ย
ปล. ตอนนี้เกณฑ์ทหารไปเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ติด 🤸