ต้องสู้
#ต้องสู้
หลังม่านน้ำตาของความรู้สึกพ่ายแพ้ มีแต่ความคิดวน ๆ ว่าทดท้อ ถอยให้กับโชคชะตาอันเลวร้าย นอนมองเพดานมือก่ายหน้าผากอย่างรันทดใจ...แต่แล้วก็มืดดับไป ดำดิ่งสู่ห้วงภวังค์ความฝันอันงดงาม อย่างหาที่ใดเปรียบมิได้ ดินแดนแห่งความสุข ลมหายใจแห่งความปิติ ดุจน้ำทิพย์ ราดรดดอกไม้สีหวานในแดนนั้นให้ผุดพราว ยาวไกล แสนไกล ไปถึงเนินเขา พรมสีเขียวเป็นพื้นให้เหยียบย่ำ เดินทางด้วยเท้าเปล่า เหงื่อไม่มีสักหยาดหยด เกือบถึงยอดเขา แต่แล้ว ...กลับล้มลง ด้วยเสียงปลุกอันดังลั่น จากภรรยา...
" จะนอนเอาโล่ห์หรือไง...ทำไมไม่รู้จักทำงานทำการเหมือนคนอื่นเขาบ้าง วัน ๆ เอาแต่นอน หมดวัน ! "
ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ที่พูดมาก็ถูก นี่ก็เวลาห้าโมงเย็นแล้ว ผมรีบเร่งอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ร้านอาหารหน้าปากซอย เดินเข้าประตูกระจกหน้าร้าน แล้วเดินผ่านเคาน์เตอร์ออกประตูไปหลังร้าน ประจำออฟฟิศคือซิงค์ล้างจาน จัดการกองชาม จาน แก้ว ถ้วย เปื้อน ๆ ในหูก็ฟังเพลงจากหูฟัง เพลงบรรเลงแสนจะไพเราะ ดั่งมาจากดินแดนในฝัน แต่เป็นหูข้างเดียวที่ได้ยิน เพราะต้องคอยฟังเสียงสั่งงาน
" เสร็จแล้วยกมาให้ด้วยนะ ไอ้น้อยมันลาป่วย " เสียงจากเจ้ เจ้าของร้านจิ้มจุ่ม ผู้เป็นนายจ้าง สุดแสนจะขี้เหนียว
แต่แล้วค่ำคืนก็ผ่านไปจนถึงเวลาเดินทางกลับ จากปากซอยถึงกลางซอย ยาวไกลพอสมควร จนถึงบ้าน ก็อาบน้ำ เปลี่ยนชุดเตรียมตัวเข้านอน แต่ไม่ยอมนอน ยังคงละเลงสีใส่ผ้าใบ อาศัยความสงัดเงียบยามค่ำคืน ถ่ายทอดเรื่องราวภวังค์ เผื่อใครจะรับรู้ ได้ดูงาน ก่อนที่ตัวจะตาย หรือตายไปก่อน ที่จะมีใครมารับรู้ถึงผลงานศิลปะ ของผม โดยไม่มีโอกาสรับรู้คำชมจากใคร
จนมาถึงตรงนี้ อะไรล่ะที่จะต้องสู้ เมื่อมีชีวิติยู่อย่าง ไม่รู้สึกรู้สาว่าจะต้องสู้ ที่ผ่านมา มันพอแล้ว สำหรับการมี การได้กินอิ่ม นอนหลับ มีงาน และห้วงเวลาอันแสนวิเศษ ขีด ๆ เขียน ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องสู้ คือ " จิตใจของตัวเอง " สู้เพื่อที่จะไม่ให้ความท้อ มันกัดกิน