แก้ปัญหาหนังตาตก ริ้วรอยรอบดวงตา และถุงใต้ตา ด้วยวิธีที่ดีที่สุด
ฉีดโบท็อกซ์/ฟิลเลอร์ หรือศัลยกรรมตกแต่งสามารถแก้ปัญหาหนังตาตกของคุณได้
ถ้าคุณกำลังหงุดหงิดไม่ชอบใจกับหนังตาที่ตกลงตามอายุ หรือถุงใต้ดวงตา รวมทั้งริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบ ๆ ดวงตา การฉีดโบท็อกซ์/ฟิลเลอร์ หรือผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหา และทำให้ดวงตาของคุณกลับมาดูสดใสมากยิ่งขึ้นได้
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังของคุณจะค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่น และเริ่มมีรอยเหี่ยวย่นหย่อนคล้อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะรอบ ๆ ดวงตาของคุณนี่แหละ
“การรักษาหนังตาตกที่เกิดจากอายุที่มากขึ้นจะต้องเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของผิวหนังที่ทำให้เกิดปัญหานี้เป็นสำคัญ” นายแพทย์จูเลียน เพอร์รี่ จักษุแพทย์และศัลยแพทย์ตกแต่งดวงตากล่าวไว้ แม้ว่าปัญหาหนังตาตกจะดูเป็นปัญหาด้านความงามเป็นหลักสำหรับผู้คนทั่วไป แต่ปัญหาหนังตาตกนี้ยังสามารถทำให้เกิดปัญหาด้านการมองเห็นด้วยสำหรับบางคน เขากล่าวไว้
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากอายุที่มากขึ้นทำให้เกิดริ้วรอยและถุงใต้ดวงตา
นายแพทย์เพอร์รี่ ชี้ให้เห็นปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ประกอบกันทำให้เกิดปัญหาด้านความงามรอบ ๆ ดวงตาของคุณเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้
- ผิวหนังที่หย่อนคล้อยทำให้มีรอยเหี่ยวย่นและถุงใต้ตา
- เนื้อเยื่อไขมันสะสมเพิ่มมากขึ้น ทำให้เปลือกตาทั้งบนและล่างดูบวมมากขึ้น
- รอบดวงตาดำคล้ำมากขึ้น
- หนังตาตกจากการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรงมากขึ้นตามอายุ
- รอยย่นใต้ดวงตาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น
ผู้หญิงหลาย ๆ คน รวมถึงผู้ชายอีกจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มเสาะหาวิธีศัลยกรรมความงามที่จะมาแก้ปัญหาหนังตาตก และรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาให้กับตัวเอง ซึ่งโดยมากแพทย์จะแบ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ วิธีที่ไม่ใช้การผ่าตัด และวิธีที่รักษาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
การรักษาหนังตาตกปละรอยเหี่ยวย่นโดยไม่ใช้การผ่าตัด
การฉีดผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของโบทูลินุม (botulinum toxins) เช่น โบท็อกซ์ หรือผลิตภัณฑ์ Dysport® และฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) เช่นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Juvéderm® และ Sculptra®เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยทำให้ใต้ดวงตาเต่งตึงขึ้น และทำให้ริ้วรอยดูจางลงได้
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คนที่เลือกใช้วิธีนี้จำเป็นต้องรู้ คือ ผลิตภัณฑ์พวกนี้ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามอายุ วิธีการออกฤทธิ์นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นายแพทย์เพอร์รี่กล่าวไว้ ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ หรือดิสพอรต ลักษณะการออกฤทธิ์จะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ดวงตาอ่อนแรงลงเป็นหลัก เพื่อให้เวลาคุณยิ้ม ริ้วรอยเหล่านี้จะได้ดูไม่ชัดเจน ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย
ส่วนการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการเติมริ้วรอยที่ลึกแถว ๆ ร่องแก้ม และเปลือกตาล่างให้ดูตื้นขึ้น เมื่อมองดูจะได้เห็นริ้วรอยจางลง
“ผมใช้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ดวงตามาหลายสิบปีแล้ว และส่วนมากจะได้ผลในการเติมริ้วรอยที่จะทำให้เกิดถุงใต้ตา” นายแพทย์เพอร์รี่บอก “แต่มันไม่ใช้วิธีที่ได้ผลยอดเยี่ยมเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งวิธีนี้ก็ทิ้งร่องรอยสีเข้ม หรือรอบช้ำไว้แถว ๆ ที่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์ได้เหมือนกัน”
“ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ และการฉีกโบท็อกซ์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีต่างกันไป แต่ทั้งสองอย่างก็สามารถทำให้ใบหน้าและดวงตาดูอ่อนเยาว์ลง ได้ผลค่อนข้างดี”
เขายังกล่าวว่าการใช้ทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ร่วมกันมักจะทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาได้มาก เพราะทั้งสองวิธีก็เหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกัน เมื่อใช้ร่วมกันจึงทำให้ได้ข้อดีของทั้งสองวิธีมารวมกัน
การผ่าตัดศัลกรรมตกแต่งคืออีกขั้นของการคืนความอ่อนเยาว์ให้ดวงตา
“การทำศัลยกรรมตกแต่งมีจุดประสงค์ก็เพื่อรักษาปัญหาที่เกิดจากกายวิภาครอบดวงตาเป็นสำคัญ เช่น ริ้วรอยตีนกา หรือรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาที่ลึกขึ้นเมื่ออายุมาก” นายแพทย์เพอร์รี่อธิบายให้ฟัง
การศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตาเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถตัดผิวหนังและไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ที่เปลือกตาออกไปได้ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นตึงขึ้น
ถ้าผู้ป่วยคนไหนมีผิวหนังส่วนที่เหี่ยวย่นเกินออกมา ศัลยแพทย์ก็จะตัดผิวหนังส่วนเกินบางส่วนของเปลือกตาล่างออกเพื่อรักษา แต่นายแพทย์เพอร์รี่ก็ยังเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับการทำศัลยกรรมจะต้องรับทราบว่าการผ่าตัดผิวหนังใต้ตาออกไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย และเกิดถุงใต้ตา การผ่าตัดผิวหนังส่วนเกินนี้เป็นเพียงการปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
สำหรับคนไข้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่านี้ ต้องการลดริ้วรอยมาก ๆ จะต้องเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งที่แก้ไขไปจนถึงโครงสร้างลึกลงใต้ผิวหนังด้วย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาจากไขมันส่วนเกินที่ใต้ตา รวมถึงถุงใต้ตาได้
“การผ่าตัดทำศัลยกรรมตกแต่งในสมัยก่อนจะใช้วิธีที่ค่อนข้างเรียบง่ายโดยการตัดไขมันส่วนเกินที่สะสมเป็นถุงใต้ตาออก แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถแก้ไขร่อยรองลึกที่มักจะอยู่ข้างใต้ของถุงใต้ตาอีกทีได้” นายแพทย์เพอร์รี่อธิบาย การผ่าตัดเอาไขมันออกเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าลดลง และทำให้ดูสดใสขึ้นได้ก็จริง แต่ไม่สามารถทำให้ดูอ่อนเยาว์ลงได้มากนัก เขากล่าวไว้
สำหรับการแก้ปัญหาร่อยรอยเหี่ยวย่นที่อยู่ใต้ถุงใต้ตานั้น ศัลยแพทย์มักเลือกที่จะเหลือไขมันบางส่วนไว้แทนที่จะผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินออกทั้งหมด และนิยมนำไขมันบางส่วนออกจากบริเวณที่ไม่ต้องการ แล้วย้ายไขมันที่ได้มาเติมบริเวณร่อยรองที่ดูลึกแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการย้ายไขมันแบบนี้สามารถรักษาปัญหาร่องรอยลึกใต้ตา รวมถึงรอยดำคล้ำรอบดวงตาได้ดีกว่าการฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูโรนิกเสียอีก แต่วิธีนี้ต้องอาศัยการเตรียมการผ่าตัดที่ยุ่งยากกว่าพอสมควร เขาอธิบาย
“เมื่อไหร่ที่เราผ่าตัดย้ายไขมันจากใต้ตาลงไปเติมร่องรอยเหี่ยวย่นเหนือแก้ม นั่นแปลว่าเรากำลังก้าวข้ามความเป็นธรรมชาติไปแล้ว ฉะนั้นแผลที่เกิดขึ้นก็จะหายช้าลง บางครั้งอาจะเกิดก้อนหรือรอยบุ๋มที่เราไม่ต้องการขึ้น ซึ่งร่องรอยเหล่านี้มักใช้เวลานานกว่าจะหาย” เขากล่าวไว้
วิธีที่ดีที่สุดที่คุณควรทำเมื่อรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผิวที่เหี่ยวย่น และหนังตาที่ตกลงเมื่ออายุมากขึ้นก็คือหาเวลาไปพบจักษุแพทย์ โดยเฉพาะจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์มาก ๆ ด้านการทำศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
“พวกเราจะเลือกวิธีการรักษาได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจดูลักษณะทางกายวิภาคของคนไข้แต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปอย่างละเอียด และได้พูดคุยถึงความต้องการในการรักษาของแต่ละคนเสียก่อน” นายแพทย์เพอร์รี่กล่าว
Reference:
https://health.clevelandclinic.org/the-best-options-for-droopy-eyelids-circles-and-sags/
อ้างอิงจาก: pixabay