กูไหว
กูไหว
โดย อักษราลัย
เรื่องมันเริ่มมาจากเมื่อวาน ขณะกำลังนั่งเพลิน ๆ กับงานออกแบบนวนิยายแนวป่า “มายาไพร” เนื้อหากำลังเข้มข้น อินกับพระเอกในเรื่องอยู่นั้น เสียงกรีดร้องเตือนดังขึ้นมาจากแทปเลท “ตุ๊ด ๆๆๆ” หันไปมองดูหน้าจอมีข้อความขึ้นว่า ...ฉีดวัคซีน
นั่นคือพรุ่งนี้ต้องไปฉีดวัคซีน AZ เข็มสอง ในเวลา 10.00 น. ที่ร.พ.ภูมิพลฯ ที่เดิม สมองเริ่มประมวลผล “งั้นต้องนอนเร็ว ครั้งที่แล้วไปแต่แปดโมงครึ่งรอนาน ข้าวก็ไม่ได้กิน คราวนี้ออกไปสักเก้าโมงครึ่งก็ทัน” วางแผนกับตัวเองเรียบร้อยก็เลิกงานตั้งแต่สามโมงเย็น พักผ่อนดูการประชุมสภาไปแบบเพลิน ๆ คือฟังผ่านหูแบบให้รู้ แต่ไม่เอามาเป็นประเด็น เพราะคงทำอะไรไม่ได้มากนัก นั่นจึงไม่ได้ทำให้ฉันเครียดอะไร
ตื่นเช้ากว่าปกติ เสียงไก่ขันแว่วมาเหมือนเคย เพราะนอนเปิดประตูระเบียงรับลม ปิดแค่ประตูมุ้งลวด ไก่ที่ฝั่งตรงข้ามเลี้ยงไว้ขันกันเซ็งแซ่เหมือนเช่นทุกวัน นอนฟังอยู่ครู่ใหญ่เพราะฟ้ายังไม่สว่างดี มองไปเห็นแสงสีส้มค่อย ๆ แย้มขึ้นมา จึงลุกไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อรอเวลา ยอมรับกับตัวเองว่าทั้งตื่นเต้น และกังวลเล็ก ๆ เปิดไลน์ครอบครัวขึ้นมาแจ้งว่าวันนี้จะไปฉีดวัคซีนเข็มสอง ต่อด้วยคำบอกรักและคิดถึง เอาน่ะเผื่อไม่รอดก็ได้มีข้อความสุดท้ายบอกรักไว้แล้ว
โรงพยาบาลวันนี้คนเยอะ ระหว่างรอแถวแบบไม่ต้องคิดเรื่องระยะห่าง เพราะวนไปวกมาไม่ต่างกับงูที่ขดตัว ยืนไปสักพักเลยรู้ว่าวันนี้เปิดให้มีการวอล์กอินเข้ามาฉีดได้โดยไม่ต้องนัดสำหรับผู้สูงอายุเกินหกสิบปี กับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง หลับตาคิดถึงภาพการติดโรคจากการไปฉีดวัคซีน ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะคนแน่นมากจริง ๆ นั่งรอคิวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้รับการเรียกเข้าไปลงทะเบียน คราวนี้ไม่มีการวัดความดันแล้ว เฮ้อ! รอดไป ขืนยังวัดคงต้องหลายรอบอีกแน่ ๆ เมื่อเข้าไปช่องที่จะฉีด เมื่อนั่งลงพยาบาลถามว่า
“เข็มสอง .. ครั้งที่แล้วเป็นไงบ้าง” น้ำเสียงอบอุ่นมาก
“มีไข้ตอนดึก และมีไปอีกสองวันค่ะ” ฉันตอบไปด้วยรอยยิ้มที่พยาบาลคงไม่เห็นเพราะมีหน้ากากปิดไว้ถึงสองชั้น
“รอดครั้งแรกมาได้ ครั้งนี้น่าจะดีขึ้นค่ะ ปกติเข็มสองแพ้ไม่มาก” แล้วคุณพยาบาลก็หยิบพลาสเตอร์มาให้เลือกสองสี พื้นมีสีส้ม กับ สีชมพู มีข้อความว่า I got my VACCINE น่ารักดี และแน่นอนฉันเลือกสีชมพูเข้ากับกระเป๋าที่สะพายไป เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่บรรยากาศน่ารักอบอุ่นเหลือเกิน พร้อมกับเสียงดังขึ้นว่า
“นั่งเอนสบาย ๆ ชิดพนักเก้าอี้เลยค่ะ อย่าเกร็งนะ เจ็บนิดเดียว” สิ้นเสียงเข็มแหลมก็แทงเข้าไป ปวดหน่วง ๆ ทันทีที่มีการดันยาเข้าไปในแขน เสร็จเรียบร้อยภายในระยะเวลาไม่ถึงสองนาที แต่ได้ความรู้สึกดี ๆ มาเต็มใจ อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ หันไปยกมือไหว้ พร้อมเอ่ยถาม
“เหนื่อยไหมคะ”
“ก็นิดหนึ่งค่ะ”
ฉันเต็มใจยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ แม้คุณพยาบาลจะอายุน้อยกว่าฉัน แต่ฉันก็ซาบซึ้งจากหัวใจจนไหว้ออกมาจากหัวจิตหัวใจจริง ๆ ตาของคุณพยาบาลหยีขึ้นนิดหนึ่ง นั่นแปลว่าคงกำลังยิ้ม เพราะตาของฉันก็หยีเช่นกัน
คราวนี้ฉันได้นั่งพักแค่สิบห้านาทีเท่านั้น เนื่องจากมาฉีดเข็มสองแล้ว ด้วยข้อความที่พยาบาลอีกคนกล่าวประกาศดังนี้
“ใครที่มาฉีดเข็มสองแล้ว ครบสิบห้านาทีมาหาพยาบาลลงใบประเมินได้เลยนะคะ จะได้ไม่ต้องอยู่เสี่ยงนาน ๆ” ฟังแล้วฉันถึงกับสะดุ้ง เมื่อยื่นใบคืนให้เจ้าหน้าที่จุดสุดท้าย เป็นน้องผู้ชาย เขายิ้มและทวนชื่อ ก่อนจะบอกว่า
“เดี๋ยวจะออกใบรับรองให้นะครับจะได้เอาไปใช้ เวลาไปไหนมาไหน แนะนำให้ถ่ายภาพใส่มือถือไว้นะครับ”
“ในหมอพร้อมไม่มีให้เหรอคะ” ฉันถามกลับไป
“มีครับแต่อาจช้าหน่อย” อ้อเป็นแบบนี้นี่เอง แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะไหนนี่หน่า แต่ก็ชื่มชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกคนในทุกจุด มีจิตอาสาที่ทำงานดีอย่างน่าชื่นชมจริง ๆ
เดินกลับออกไปตึกด้านหน้าที่เคยไปหาหมอประจำ เพื่อจะขอยาที่รักษาอยู่กลับบ้านไปเลยทีเดียว หลังจากนั่งรอพักใหญ่ ไม่มีการเรียกคิวของฉันเสียที จึงเดินไปยื่นใบนัดให้พยาบาลหน้าห้อง หลังจากอ่าน พยาบาลบอกมาเบา ๆ
“หมอมาบ่ายสาม ไม่ก็พรุ่งนี้มาใหม่นะ”
“อ้าวเมื่อกี้โทรหาหมอ หมอบอกจะสั่งยาไว้ให้”
“บ่ายสาม ไม่ก็พรุ่งนี้ หมอถึงจะมา” แล้วก็เลิกสนใจฉันไปทันที
เออ...ถ้าฉันไหว ฉันจะมา แต่ฉันจะไหวเหรอ?
ในสถานที่เดียวกัน การปฏิบัติงานของคนทำงานยังไม่เหมือนกัน งานจิตอาสาทั้งที่เหนื่อยแต่เจ้าหน้าที่น่ารักเหลือเกิน แต่กับอีกคนที่ฉันเอาเงินมาให้ครั้งละเกือบห้าพัน เสียงตอบมานั้น ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า “มะนาวไม่มีน้ำ”
แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ตอบกับตัวเองว่า
“ช่างมัน กูไหว ยังคงไหว”
.....
ฝากติดตามเพจกันด้วยนะคะ https://www.facebook.com/Auksaralai