Busy Culture สังคมที่ต้องทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลาถึงจะถูกมองว่าใช้เวลาคุ้ม
Busy Culture คือ การทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา แม้จะไม่มีอะไรทำก็ต้องดูยุ่งตลอดเวลา เดี่ยวคนอื่นเค้าจะหาว่าเราว่างเกินไป และอาจจะถูกมองว่าขี้เกียจได้
แต่มนุษย์เรานี่มันจะยุ่งอะไรตลอดเวลาเลยเหรอ ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหน มันก็ต้องมีเวลาว่างต้องพักต้องผ่อนกันบ้าง จริงมั้ยคะ และเวลาพักของแต่ละคน ก็ใช่ว่าจะเวลาเดียวกันด้วย บางคนเคลียร์งานเสร็จ กะว่าจะนั่งพักสายตาสักครู่ แต่ดูเหมือนโชคจะเล่นตลก พอเวลายุ่งหัวหมุน ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต เจ้านายกลับไม่เห็น อีพอจังหวะว่างหนึ่งสักลมหายใจเข้า ดั๊นเห็นซะงั้น เลเซอร์ดีแท้ และมาพร้อมคำถามเบสิก “ว่างเหรอ”
“ว่างเหรอ” คำถามสั้น ๆ แต่ดันรู้สึกผิดมาก 555555 ผิดที่ทำงานเสร็จและว่าง สังคมมันช่างโหดร้ายยิ่งนัก จนต้องคิดในใจว่า “ว่างไม่ได้รึไง นี่งานก็เสร็จแล้ว พักสายตาสักนิดไม่ได้เหรอ” (คิดในใจนะ) ต้องทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลาเหรอ ถึงจะคิดว่าเป็นคนขยัน ไม่อู้งาน ห๊ะ! (ย้ำว่าคิดในใจนะ 55555)
ยังมีอีกหลายคนมาก ๆ ที่คิดว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไร คือคนขี้เกียจ ในขณะที่คนที่มีอะไรทำมากมาย คนที่ดูยุ่งหัวหมุน เป็นคนที่ขยันทำมาหากิน แต่จริง ๆ แล้วตรรกะนี้มันไม่ไดถูกต้องซะทีเดียว
คนที่นั่งนิ่ง ๆ วัน ๆ เช็คแต่มือถือ แต่ใครจะรู้ว่า เขามีรายได้เข้าตลอดเวลาก็มีถมไป ไม่จำเป็นต้องดูยุ่งตลอดเวลา ไม่จำเป็นเคลื่อนตัวตลอดเวลาก็ได้ แค่งานเขาอยู่ที่หน้าจอมือถือ แท็บแล็ต หรือหน้าคอมก็มีรายได้แล้ว และไม่ได้ยุ่งหัวหมุนด้วย แต่เชื่อมั้ยคะว่าคนเหล่านี้ มักถูกหลายคนมองว่าว่างเกินไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ว่างหรอก แต่แค่งานที่ทำมันดูไม่หลากหลายในความคิดเห็นของคนอื่นเท่านั้น
เพราะสังคมโลกที่ต้องมีการแข่งขันตลอดเวลา การทำอะไรที่ดูเยอะ ๆ ยุ่ง ๆ มักจะถูกมองว่าเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ถ้ามองแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่การจะมองว่าคนที่เหมือนจะดูว่าง ๆ ปล่อยเวลาไหลไปเล่น ๆ เป็นคนไม่รู้สู้งาน ขี้เกียจ ก็ไม่ถูกเหมือนกัน เพราะมันขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตที่แต่ละคนเลือกต่างหาก