(สปอยเต็ม 1/4) เมียหอบลูกหนี เพราะสามี "ยากจน" (จากชีวิตจริง)
สวัสดีครับ มาพบกันอีกครั้งที่ช่องแมงวันมูวี่นะครับ สำหรับวันนี้ ผมมีภาพยนตร์ให้กำลังใจดีๆ ที่มาจากเรื่องจริง มีชื่อเรื่องว่า "ยิ้มไว้ก่อน พ่อสอนไว้" เป็นภาพยนตร์ที่ดีมากๆ หากใครที่กำลังเจอปัญหากับโควิท ตกงาน โดนทิ้ง โดดเดี่ยว ผมว่าวินาทีนี้ หนังเรื่องนี้จะช่วยชะโลมจิตใจของคุณได้เป็นอย่างดี... ลองดูนะครับว่า ชีวิตของคุณ กับของเขา อะไรมันย่ำแย่กว่ากัน โดยผมจะขอเล่าเหตุการณ์ที่สำคัญๆ เพียงเท่านั้นนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปรับชมรับฟังกันเลยครับ
โดยเริ่มเรื่อง เราจะได้รู้จักกับ คริส การ์ดเนอร์ ชายผิวสีที่กำลังจะไปส่งลูกไว้ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โดยที่เขาเองวันๆ ต้องหอบเครื่องแสกนกระดูกไปขายให้กับโรงพยาบาล และคุณหมอต่างๆ
ซึ่งทีแรกตอนที่เขาได้ทำงานนี้ เขามองว่า มันคืออนาคตที่ดี เลยใช้เงินเก็บของเขา ทุ่มไปกับการซื้อเครื่องแสกนกระดูกมาขายไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแรกๆ ภรรยาของเขาก็คิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดี แต่มันใช่ว่าจะขายได้ง่ายๆ เขาได้หอบเครื่องดังกล่าวออกไปขายวันละ 1 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องถือกลับมาบ้านแทบทุกครั้ง
และนั่น ก็ทำให้ภรรยาของเขาก็เริ่มทำงาน ทำโอที ความไม่ลงรอยและมองไม่เห็นอนาคตเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิดทีละน้อย รถที่เขามี ก็โดนใบสั่งอยู่บ่อยครั้ง จนเขาแทบจะไม่มีปัญญาจ่าย สุดท้ายรถก็โดนยึดไป เพราะของก็ยังขายไม่ได้ ซึ่งเขาขายเครื่องละ 450 ดอลล่า หรือประมาณเครื่องละ 15,000
วันหนึ่งของวันเกิดลูกชาย ภรรยาเอาลูกลูบิตมาให้กับคริส บอกว่ามีคนให้เป็นของขวัญลูก แต่ลูกเล่นไม่เป็น มันไม่ใช่ของเล่นสำหรับเด็ก ซึ่งพอคริสได้ลองเอามาหมุนๆ ก็รู้สึกว่ามันก็ยากพอควร หลังจากกินข้าวเสร็จ เขาก็คลุกอยู่กับรูบิตทั้งคืน พยายามหมุนๆ แต่ก็แค่เกือบจะได้ครบทุกช่อง
เช้าวันถัดมา เขาก็เดินไปเสนอขายของอีกตามเคย แต่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งขับสปอร์ตเปิดประทุนมาจอดหน้าตึกแห่งหนึ่ง
"เฮ้พวก..รถคุณสุดยอดไปเลย ผมขอถามคำถามคุณสัก 2 ข้อ คุณทำงานอะไร และทำอย่างไรถึงจะได้ไอ้รถคันนี้มา" ชายคนนั้นก็ยิ้มให้พร้อมตอบว่า เขาทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นที่นี่ พูดจบก็เดินยิ้มๆ เข้าตึกไป โดยที่คริสมองคนที่เข้าๆ ออกตึก เห็นมีแต่รอยยิ้ม.. เขาเลยเริ่มสนใจทันที
เช้าวันถัดมา เขาบอกภรรยาว่า วันนี้ช่วยไปรับลูกหน่อยได้ไหม พอดีว่าเดี๋ยวเขาจะเอาของไปเสนอขาย เสร็จแล้วเขาจะแวะไปดูงานหน่อย เขาสนใจจะไปสมัครเป็นโบรกเกอร์ หรือนายหน้าค้าหุ้น.. ภรรยาถึงกับบอกว่า
"ทำไมไม่ไปสมัครเป็นนักบินอวกาศซะเลยล่ะ" ซึ่งเหมือนว่าภรรยาเขากำลังดูถูกเขาอยู่ จนทำให้เขาเริ่มไม่พอใจ "ทำไม...คุณคิดว่าคุณมีปัญญาเหรอ ไอ้เครื่องบ้าๆ ที่มันสร้างปัญหาให้กับชีวิตก็ยังกองอยู่เต็มบ้าน แถมตอนนี้เราแทบจะไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านอีกด้วย ฉันต้องทำโอที ต้องควบกะ แล้วคุณจะยังมาให้ฉันไปรับลูก เพื่อที่จะไปลองสมัครงานบ้าๆ นั่นที่คุณไม่มีทางทำได้เนี้ยนะ" ซึ่งนั้นก็ทำให้คริสถึงกับเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
จนบ่ายวันนั้น เขาจึงตัดสินใจแวะไปที่อาคารดังกล่าว.. ก็เลยขอฝากเครื่องสแกนกระดูกไว้กับยิปปี้สาวที่เปิดหมวกดีดกีต้าร์อยู่หน้าตึกโดยให้เงินค่าฝากไว้ 1 ดอลล่า และบอกว่าเดี๋ยวออกมาจะให้เพิ่ม
ว่าแล้วก็เข้าไปสมัครงานทันที โดยเมื่อเขากำลังฟังรายละเอียดการสมัครงาน เขาก็มองดูกระจกด้านนอก ก็เห็นว่าสาวยิปปี้ กำลังหอบเครื่องแสกนกระดูกวิ่งหนีไปที่ทางเข้ารถไฟใต้ดิน
เขาจึงรีบตามทันที และนั่น ก็ทำให้เขาต้องสูญเสียเครื่องแสกนกระดูกไป 1 เครื่อง เหมือนกับทำเงินหายเป็นหมื่นเลยทีเดียว
เช้าวันถัดมา ก็เอาเครื่องใหม่ไปเสนอขายต่อ ในขณะที่ไปส่งลูกชาย ลูกชายบอกว่า ที่ศูนย์เขาเปิดทีวีให้ผมดูด้วย ทำให้คริสค่อนข้างไม่พอใจเป็นอย่างมาก เลยไปต่อว่าผู้ดูแลศูนย์ "นี่คุณ ผมเสียเงินฝากดูแลลูก ไม่ใช่ให้คุณมาเปิดทีวีให้เด็กดู แถมไม่ใช่รายการของเด็กอีกด้วย ถ้าแบบนั้นผมก็ให้ลูกนอนดูทีวีอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ต้องมาเสียเงินด้วย"
แต่ผู้ดูแลศูนย์บอกว่า ... แกจ่ายเงินช้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ.. เล่นเอาตอกหน้าแบบเจ็บๆ จนคริสพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เมื่อคริสออกมาจากตึก คริสก็เจอกับยิปปี้คนที่เคยจิ๊กเครื่องไป ก็เลยต้องรีบวิ่งตาม เพราะนั้นคือเครื่องของเขา มันคือรายได้ประทังชีวิตถ้าขายได้ เลยพยายามวิ่งตามไปจนสามารถนำคืนกลับมาได้ เมื่อไปรับลูกชาย ลูกชายถึงกับทำหน้าเซ็งๆ.. เมื่อเช้าพ่อถือออกมา 1 เครื่อง ทำไมตอนนี้ดันหอบมา 2 เครื่องซะงั้น พอกลับมา ก็เริ่มมีปากเสียงกับภรรยา เรื่องหาเงินมาใช้หนี้แทบไม่ได้ และเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตติดลบแบบนี้
หลายวันถัดมา คริสได้ไปที่ตึกที่สมัครงานไว้ แล้วได้กับกับ เจย์ คนที่เคยรับใบสมัครเขา เขาก็ถามว่า จะเรียกผมตอนไหนครับ ซึ่งเขาเองก็บอกว่า เขาเองยังไม่ว่าง ไว้ค่อยเจอกันใหม่ พอดีเขาต้องไปธุระ
ซึ่งคริสก็ขอติดรถไปด้วย โดยอ้างว่า เขาเองก็กำลังจะไปทางนั้นเช่นกัน ซึ่งในขณะที่นั่งรถไปด้วยกัน คริสก็ได้พูดหว่านล้อมว่าเขาได้ทำอาชีพอะไร และเขาสนใจการเป็นโบร็กเกอร์มาก แต่เจย์กลับไม่ได้สนใจเอาแต่เล่นรูบิต ซึ่งเขาก็บอกว่า ไอ้นี่มันเล่นยากจริงๆ ไม่มีใครทำได้เลย
คริสบอกว่าเขาทำได้... คุณต้องหมุนให้ถูกวิธี ซึ่งเจย์เองก็เชื่อว่าคริสทำไม่ได้ "ส่งมาให้ผม..ผมจะทำให้ดู" จากนั้นคริสก็พยายามหมุนๆ ซึ่งตอนนี้ผมเองก็ลุ้นนะว่าเขาจะหมุนได้หรือไม่ เพราะเหมือนเขาเองเคยทำแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
เขาเองได้บอกคนขับแท็กซี่ว่าให้ขับช้าๆ และเขาก็ค่อยๆ พยายามหมุนดู จนรถไปถึงที่หมาย เขาก็ยังหมุนไม่เสร็จ แต่ก็ยังพยายามต่ออีกพัก จนในที่สุด เขาก็ทำสำเร็จ.. และส่งให้กับเจย์ เล่นเอาเจย์อิ้งไปเลย เพราะเขาเชื่อว่ามันไม่มีใครทำได้ เลยบอกับคริสว่า ไว้ฉันจะติดต่อกลับไปหานะ นายมันเจ๋งมาก
หลังจากนั้นแท็กซี่ก็ถามว่าจะไปไหนต่อ เขาก็บอกว่าขับต่อไปอีกสัก 2 ไฟแดง แต่คือที่จริงเขาไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่นะครับ และกำลังหาทางชิ่ง
พอรถติดไฟแดง ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูเอาเครื่องแสกนกระดูกแล้ววิ่งกันทันที คนขับแท็กซี่ก็ไม่ยอม ทั้งขับรถตาม ทั้งวิ่งไล่ ก็ไม่ยอมแพ้ จนคริสวิ่งไปถึงสถานีรถไฟใต้ดินได้ แล้วรีบเข้าประตู แต่ประตูดันหนีบมือจับเครื่องแสกนซะก่อน สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้เครื่องมันหล่น หลุดมือไปในที่สุด
จากนั้นเขาก็โทรหาภรรยา เพราะวันนี้ไปนั้นไปนี่ จนไม่สามารถไปรับลูกได้ แต่ภรรยาบอกว่า เขาไม่อยู่แล้ว หอบลูกมาด้วย เขาทนไม่ไหวแล้ว เล่นเอาคริสถึงกับน้ำตาตก แล้วรีบกลับบ้านทันที
โดยคำปราศัยหนึ่ง ของ ประธานาธิปดีได้กล่าวไว้ ได้แล่นมาเข้าที่หัวของเขา ที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า "จงใช้ชีวิต ไล่ล่าความสุข... ทำไมเขาถึงพูดคำนี้ออกมา ทำไมเขาถึงรู้ ว่าความสุขมันไม่เคยอยู่กับที่ ทำให้มนุษย์ ต้องออกไล่ล่าค้นหาความสุขให้กับชีวิต.. และเขาก็พยายามไล่ล่าอยู่ แต่ยังไม่เคยสำเร็จ" เมื่อเข้ามาถึงในบ้าน ก็พบแต่ความว่างเปล่า แต่แล้วก็มีโทรศัพท์ดังเข้ามา ซึ่งเป็นเลขาของคุณเจย์ บอกว่าอีกสัก 3 วันช่วง 10 โมง ให้เข้ามาสัมภาษณ์งานด้วย.. นี่สินะ ความสุขที่เขากำลังไล่ล่า
ก็จบไปกันแล้วนะครับ กับพาร์ทแรก "ยิ้มไว้ก่อน พ่อสอนไว้" ภาพยนตร์จากเรื่องจริง ของคริส การ์เนอร์ ผู้ที่มีชีวิตตกต่ำจนถึงขนาดที่เคยไปนอนหลับในห้องน้ำสาธารณะ เพราะไม่มีที่อยู่อาศัย จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นคนหนึ่ง... เป็นภาพยนตร์ที่ให้กำลังใจดีมากๆ โดยในเรื่องนี้ ขอแบ่งเป็น 4 พาร์ทนะครับ เพราะรายละเอียดเยอะมาก ฝากกดติดตามกันด้วยนะครับ