โครงการสร้างลานจอดรถสวนนคราภิรมย์ แลนด์มาร์คใหม่ทางประวัติศาสตร์ หายไปใหน
#สามปี กับโครงการสวนนคราภิรมย์(ใหม่)ที่เลือนหายไป
สวนนาคราภิรมย์ เป็นสวนสาธารณะในการกำกับดูแลของกรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "สวนนาคราภิรมย์" มีความหมายถึง " สวนเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งของชาวพระนคร"
ในกลางปี พ.ศ. 2559 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ได้มีโครงการจัดทำอาคารจอดรถใต้ดินจำนวน 3 ชั้นครึ่ง บนพื้นที่ 7 ไร่ ภายในสวนนาคราภิรมย์ โดยเริ่มต้นก่อสร้างขึ้นในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน คาดว่าแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2 ปี โดยสามารถรองรับรถได้ทั้งหมด 700 คัน
"ในส่วนงานการออกแบบอาคารจอดรถใต้ดิน จำนวน 3 ชั้นครึ่งจะเป็นแบบแยกชั้น (Spit type) โดยแต่ละชั้นสูง 2.70 เมตร
ทำให้สามารถจอดรถตู้ชนิดหลังคาสูงได้ทุกชั้น อีกทั้งยังมีระบบแนะนำที่จอดรถ เพื่อดูจำนวนรถที่จอดอยู่ในแต่ละชั้นได้ และยังมีแนวคิดในการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม โดยมีการออกแบบทางเข้า-ออกที่สอดคล้องกับบริบทรอบข้าง ออกแบบช่องจอดสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชราให้อยู่ใกล้โถงลิฟต์และห้องน้ำมากที่สุด
สามารถใช้ Wheelchair ต่อเนื่องจากช่องจอดรถมายังทางเท้า โดยมีทางลาดรองรับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง และระบบรักษาความปลอดภัยที่มีความพร้อมกว่ามาตรฐาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใช้พื้นที่ อาทิ ออกแบบให้มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (Sprinkler) ใช้ร่วมกับระบบสายฉีดน้ำครอบคลุมอาคารทุกชั้น ใช้ระบบดับเพลิงอัตโนมัติแบบ GAS สำหรับห้องไฟฟ้า และต่อท่อดับเพลิงจากอาคารจอดรถใต้ดินไปยังฝั่งตลาดท่าเตียน เป็นต้น โดยส่วนพื้นที่ด้านบนจะยังคงเป็นสวนสาธารณะที่มีความสวยงามตามเดิม"
.
แต่ในช่วงเวลานั้นหลายๆคนที่อยู่ในย่านนั้นต่างก็รับรู้ดีว่าไม่มีโครงการหรือการดำเนินการใดๆ นอกจากการปรับพื้นที่และถอนต้นไม้ออกไป จนในปี 62 หลังกำหนดของโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ มีการถอดกำแพงเมทัลชีทที่ล้อมสวนนคราภิรมย์ลง และพื้นที่สวนนคราภิรมย์ลงโฉมใหม่ก็เผยแก่สายตา...
...ในภาพของที่จอดรถบนลานคอนกรีตชั้นเดียว (ซึ่งจะว่าไปก็คงสมกับชื่อท่าเตียนดี)
ถึงแม้จะเป็นบทสรุปที่น่าใจหายสำหรับสวนที่มีอายุมาไม่ถึงสิบปี แต่ด้วยสถานภาพของสำนักทรัพย์สินฯในปัจจุบัน เราคงจะทำได้แต่เก็บบันทึกกรณีสวนนคราภิรมย์นี้เป็นกรณีศึกษาหนึ่ง และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการวิพากษ์ถึงการดำเนินนโยบายของสำนักทรัพย์สินในอนาคต
.
ขอบคุณภาพและเนื้อหา