ผู้นำยูเครนเรียกร้องให้พลเมืองที่ฝักไฝ่รัสเซียออกไปจากดอนบาส
ผู้นำยูเครนเรียกร้องให้พลเมืองที่ฝักไฝ่รัสเซียออกไปจากดอนบาส
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ซีเลนสกีย์ (วอลอดือมือร์ แซเลนสกึย) ของยูเครน ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อโทรทัศน์ช่อง “โดม” ของยูเครนว่า พลเมืองในดอนบาสที่ฝักไฝ่รัสเซียไม่สมควรที่จะอยู่ในดอนบาส ส่วนพลเมืองที่ฝักไฝ่ยูเครนให้อดทนอยู่ต่อไป
ถ้อยแถลงของผู้นำยูเครนระบุว่า “ผมเชื่อว่าถ้าคุณอยู่ในดินแดนดอนบาสที่ตอนนี้ถูกยึดครองชั่วคราวด้วยความคิดที่ว่า เราเป็นรัสเซีย นั่นคือความผิดพลาดอย่างยิ่งที่จะอยู่ในดอนบาสต่อไป มันจะไม่มีวันเป็นดินแดนของรัสเซีย และมันจะพังทลายลงเหมือนกำแพงเบอร์ลิน ยูเครนจะเติบโตขึ้น และทำทุกอย่างแบบนั้นในดอนบาส ทั้งครอบครอง ตัดขาด ไม่ให้มีวันเติบโต แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนยูเครน ให้อยู่ที่นั่น และอดทนไว้ ดินแดนนี้จะยังคงอยู่ในความควบคุมของเรา ไม่ว่ากรณีใดๆ”
ท่าทีดังกล่าวของผู้นำยูเครนได้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่เขาได้ระบุว่าเวลาจะนำพาไครเมียกลับมาสู่ยูเครน นอกจากนี้ "ซีเลนสกีย์" ยังได้ยังข้อสังเกตุว่ารัสเซียไม่ได้มีความรักต่อแหลมไครเมียเท่ากับยูเครน
ถ้อยคำของผู้นำยูเครนได้ก่อให้เกิดเสียงประนามจากรัสเซียเป็นอย่างมาก โดยผู้บริหารในเครมลินหลายคนได้ระบุว่าคำพูดดังกล่าวเป็นการสร้างความแตกแยกมากยิ่งขึ้นแทนที่จะสร้างความปรองดองในพื้นที่และถือเป็นการคุกคามต่อประชาชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้นำยูเครนเจตนาเพิกเฉยต่อข้อตกลงมิ้นสก์ รวมทั้งมีทรรศคติที่ด้อยค่าต่อพลเมืองที่เห็นต่าง “ที่เปรียบได้กับการขว้างก้อนหินแห่งความแตกแยกลงไปในพื้นที่” ที่รังแต่จะเป็นผลเสียแก่ยูเครนเอง
สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกของยูเครนระหว่างรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านได้ก่อตัวขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2014 ภายหลังการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองอย่างฉับพลันในกรุงเคียฟจากวิกฤติการณ์ยูโรไมดาน ที่นำไปสู่การแยกตัวของไครเมียไปรวมกับรัสเซีย ทำให้การเรียกร้องเอกราชเกิดขึ้นอีกอีกหลายพื้นที่ในภูมิภาคตะวันออกจนนำไปสู่การสู้รบกันและยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน