เรื่องสยอง 12 ค่ำ: กูตายแล้ววะเพื่อน
เมื่อหลายสิบปีก่อนผมประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รถคว่ำบนถนนเส้นจากเพชรบุรีเข้าชะอำ ตอนนั้นผมอายุยี่สิบปี กำลังใช้ชีวิตคุ้มค่าอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทั้งเรียน ทั้งเล่นและทำกิจกรรม อุบัติเหตุครั้งนั้นเกือบคร่าชีวิตผม มันรุนแรงเหลือเกินครับ เพื่อนผมตายไปสามคน พิการอีกสอง แต่มันก็ให้อะไรบางอย่างแก่ผม นั่นคือ ความลึกลับของชีวิตหลังความตาย!
ผมจำได้ว่าวันนั้นอากาศแจ่มใสมาก ฟ้าใสสะอาด แดดสวย เราเพิ่งมาจากเขื่อนแก่งกระจานหลังจากไปค้างที่นั่นคืนหนึ่ง แล้วกำลังจะไปเที่ยวต่อที่ชะอำอีกสักสองสามวัน เราจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นเป็นเวลาราวห้าโมงเย็น แดดร่มลมตก เราไปรถกระบะของเพื่อนโดยเจ้าของเป็นคนขับ มีเพื่อนผู้หญิงนั่งในรถสี่คน ส่วนผมกับเพื่อนผู้ชายอีกห้าคนนั่งที่หลังกระบะโต้แดดโต้ลมอย่างสนุกสนาน
ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงร้อง เฮ้ย! ใครร้องก็ไม่รู้ แล้วมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วมากเพียงเสี้ยววินาที รถเหวี่ยงอย่างแรง แล้วโลกก็พลิกกลับมาทับตัวผม อันที่จริงน่ะไม่ใช่โลกทั้งโลกหรอกครับ แต่เป็นรถกระบะที่เรานั่งมานั่นแหละ มันเสียหลักแล้วพลิกคว่ำพังยับเยิน</p>
ผมถูกเหวี่ยงหวือลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศ แล้วตกวูบลงมากระแทกพื้นถนน ทุกอย่างดับวูบทันที ไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ตกใจและรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างมหาศาลเท่านั้น ราวกับตกอยู่ในฝันร้าย ผมเห็นตัวเองนอนคว่ำหน้าอยู่กลางถนน ใบหน้าตะแคงมาทางขวา แขนข้างขวานั้นบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างน่าตกใจ
ผมได้แต่ลืมตา บรรยากาศขณะนั้นเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในแดนสนธยา มันมีแสงสีส้มอมแดงฉาบทุกอย่าง รวมทั้งเพื่อนอีกหลายคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนนเหมือนผม
นั่น ...เจ้าอ่ำเพื่อนรัก! ทำไมมันมีสองคน ผมงงไปหมดแล้วครับ ร่างหนึ่งของเจ้าอ่ำนอนอยู่ ท่อนบนมันแหงนขึ้นสู่ฟ้า แต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมากลับคว่ำลงดิน ดูคล้ายตุ๊กตาที่ถูกบิด ตาของมันลืมค้างว่างเปล่า ปากกับจมูกมีเลือดทะลักออกมามากมาย
และนั่น! อ่ำอีกร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้นถนนเหมือนกำลังนั่งดูเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่กำลังเก็บศพ ท่าทางของอ่ำเหมือนจะเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหันมาเห็นผมมองอยู่ก็เลยยิ้มให้แล้วพูดว่า
กูตายแล้วว่ะ! เออ แปลกดี ไม่เจ็บเลย
ผมจำได้ทุกคำพูด มันติดหูติดตาจนถึงทุกวันนี้ และผมก็พยักหน้าทั้ง ๆ ที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม
เออ! ไม่เจ็บจริง ๆ แต่กูลุกไม่ได้อย่างมึง ผมว่า
อ่ำเดินมานั่งข้างผมแล้วมองปราดไปทั่วร่าง ก่อนจะบอกว่า
ฝากไปบอกแม่กูด้วยนะ ว่ากูไม่เป็นไรเลย กูสบายดี
เราคุยกันเหมือนปกติ แล้วมองไปยังเพื่อนอีกหลายคนที่กระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง นอกจากอ่ำแล้วยังมีป๊อบกับพจน์ ที่แยกออกเป็นสองร่างเหมือนกัน พวกเขาทั้งสามเดินสำรวจไปทั่วที่เกิดเหตุ โดยไม่มีท่าทีตื่นเต้นตกใจ ที่เห็นตัวเองตายอย่างสยดสยอง ต่างมองร่างเดิมของตัวเองเหมือนมองเสื้อผ้าฉีกขาดรุ่งริ่งที่ต้องถอดทิ้ง และไม่มีวันจะนำกลับมาสวมใส่ได้อีก
นาทีต่อมา ผมเห็นว่าบนถนนไม่ได้มีแต่พวกผมเท่านั้นที่นอนบาดเจ็บ ร้องโอดโอยกันอยู่ แต่ยังมีอีกเป็นสิบ ๆ ร่าง แขนขาขาดก็มี ผมไม่รู้จักพวกเขา ตอนนั้นในใจผมนึกทันทีว่านั่นคงเป็นวิญญาณของผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุตรงนี้มาก่อน บางคนไม่รู้และไม่ยอมรับว่าตัวเองตายแล้ว ก็ยังนอนทุรนทุรายเจ็บปวดทรมานอยู่อย่างนั้น
และภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือ เพื่อนผมทั้งสามเดินตามคนกลุ่มหนึ่งไป คนกลุ่มนั้นรูปร่างสูงใหญ่ เป็นเงาร่างดำทะมึน มองดูแล้วช่างน่ากลัว ผมเห็นแบบนั้นก็รู้แน่แล้วว่าคนกลุ่มนั้นมาพาวิญญาณเพื่อนของผมไป เพื่อนผมตายแล้ว แม้อยากจะตะโกนเรียกพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่เสียงก็ดังก้องอยู่แค่ในลำคอ
ผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนมาฟื้นที่โรงพยาบาล คราวนี้ล่ะมันเจ็บปวดมากจริง ๆ เจ็บไปทั้งตัว แต่ก็ยังดีกว่า เฟิร์น เพื่อนผู้หญิงของผมที่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไหร่ นั่นมันเป็นเพราะกระดูกสันหลังของเธอหัก และกลายเป็นอัมพาตไปเรียบร้อย ผมน้ำตาไหลและลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่งเพราะรู้สึกสงสารเธอจับใจ
สำหรับญาติ ๆ ของ อ่ำ ป๊อบ และพจน์ ผมไม่อายที่จะเล่าเรื่องที่ผมเห็นให้พวกเขาฟัง ไม่มีใครว่าผมเพ้อเจ้อหรือประสาทหลอนเพราะช็อกจากอุบัติเหตุ หลายคนเชื่อว่าผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในอีกมิติหนึ่ง อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้พ่อแม่ของเพื่อน ๆ ที่ตายรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง ที่รู้ว่าความตายนั้นลูก ๆ ของเขาไม่ได้รับความทรมาน และยังมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเราเรียกกันว่าโลกหลังความตายนั่นเอง
ฝากกดติดตามด้วยนะครับ กับเรื่องสยอง 12 ค่ำ