ฤาจะสายไป
ฤาจะสายไป
หลายวันมานี้อำพรครุ่นคิดถึงเรื่องของความตายบ่อยครั้ง เพราะกำลังจะตาย? ไม่ใช่หรอกความตายแค่มาในห้วงความคิดจากภาวะรอบตัวมากกว่า หรืออาจเพราะเธอไม่เคยลืมเรื่องที่ฝังใจ พอมีเรื่องมากระทบจิตใจก็มักจะหยิบเหตุการณ์นั้นมาคิดมากทุกครั้งไป นรกในใจเป็นแบบนี้นี่เอง
..........
"ถ้ากูตาย มึงก็ไม่ต้องมาเผาผี"
"ก็ไม่ได้อยากไป"
ตอบไปด้วยคำพูดร้ายกาจแบบนั้น จากปากเด็กชั้นมัธยมต้น และมันก็เป็นจริงตามนั้น
อำพรกับพ่อทะเลาะกัน พ่อ...ที่เธอเรียกว่า ลุง แม้จะรู้แล้วว่าคือพ่อบังเกิดเกล้า พ่อในไส้ แต่ยังคงเรียกลุงตลอดมา อาจเพราะความไม่คุ้นชิน อาจเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน อาจเพราะไม่ได้เลี้ยงดูกันอย่ามาอ้างสิทธิ์ เธอจำไม่ได้แล้วว่าเพราะเหตุผลกลใด ทำไมนะก็แค่พูดออกไป มันจะยากอะไรนัก แต่อำพรก็ไม่พูด ไม่เคยพูด และเป็นไปตามนั้น เธอไม่มีโอกาสได้เผาพ่อ ไม่ได้ไปงานศพ ไม่ได้เอ่ยคำนั้นจนทุกวันนี้ที่อยากเอ่ย อยากพูด แต่พูดได้แค่กับสถูปปูนปั้น ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าพ่อจะได้ยินมันไหม
แค่ประโยคเดียววันนั้น ฝังรากลึกในความทรงจำมาอีกยาวนาน จวบจนวันนี้ และอำพรไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย ได้แต่ก่นด่าตัวเองทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะเมื่อตัวเองอยู่ในสถานะ "แม่"
อำพรรู้และเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว รู้ถึงเหตุจำเป็นแล้วว่าทำไมพ่อจึงไม่อาจเลี้ยงดูเธอได้ อาชีพชาวประมงออกหาปลาในทะเล จะสามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างไร แม้จะเข้าใจลึกซึ้งในความคิด แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป วันเวลาไม่อาจย้อนคืน ไม่อาจแก้ไขความผิดนั้น เธอคงต้องกักเก็บความผิดนี้ไว้กับตัวเองจวบจนวันตาย
แต่เธอก็ละวาง ปล่อยให้มันตกตะกอนอยู่ในใจ ให้เวลาทำหน้าที่ ทุกวันนี้อำพรทำได้แค่เผากระดาษที่สมมติว่าคือเงินทอง เสื้อผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ที่ไม่เคยรู้ว่ามันไปถึงพ่อไหม แต่ในตอนนี้เธอทำได้แค่นี้ ได้แต่กระซิบผ่านควันธูปไปถึงคนทางฟากฝั่งโน้นว่า
"พ่อ หนูขอโทษ หนูเอาอาหาร เอาเสื้อผ้ามาให้ พ่อมากินนะ ของอร่อย ๆ ทั้งนั้น หนูรักพ่อค่ะ"
อำพรได้เรียนรู้ว่าความผิดบางอย่างนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ผลของมันจะอยู่ไปจนวันตาย การยอมรับและให้อภัยตนเอง นั่นจะทำให้เธอก้าวข้ามและผ่านมันไปได้อย่างแข็งแรง ... อภัยแต่ไม่ลืม
อักษราลัย