อยู่หรือจาก
อยู่หรือจาก
โดย : อักษราลัย
“ทำไม...ทำไม...ทำไมไม่เป็นผม?”
เสียงนี้อีกแล้ว ที่ปลุกฉันจากนิทราแสนหวานอันหลับใหลยามค่ำคืน กี่คืนมาแล้วนะ สามคืน เจ็ดคืน ทันทีที่รู้สึกตัวเต็มที่ ความหนาวเหน็บก็เข้ามากระแทกร่างทันที ฉันห่อไหล่ด้วยความหนาว แอร์ตั้งไว้ยี่สิบห้าองศาไม่น่าหนาวขนาดนี้นี่นะ
ฉันขยับตัวเบา ๆ ค่อย ๆ บรรจงวางสองเท้าไปข้างเตียง ลุกขึ้นเดินย่องปลายเท้า ค่อย ๆ จรดปลายเท้าเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน
“ทำไม...ทำไม?” เสียงคร่ำครวญยังคงแทรกขึ้นมาในโสตประสาทของฉัน เหลือบสายตามองไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ‘ตีสาม’ ดึกดื่นขนาดนี้ เสียงใครกันนะ ฉันบิดลูกบิดประตูพยายามไม่ให้เกิดเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกไป หลายคืนมาแล้ว ช่วงเวลานี้แหละที่ฉันได้ยินเสียงนี้แทรกมาทุกคืน แต่พอฉันเปิดประตูเดินลงไปดูครั้งใด กลับพบเพียงความว่างเปล่าทุกครั้ง แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกัน จะว่าจากบ้านหลังอื่นก็ไม่น่าเป็นไปได้
บ้านหลังนี้คือเรือนหอของฉัน เรา ฉันกับเอ เราแต่งงานกันมาได้สองปีแล้ว ทันทีที่เห็นบ้านหลังน้อยท่ามกลางสวนพืชผักสวนครัว แม้ว่าฉันจะทำอาหารไม่เป็นก็ตาม บ้านชานเมืองแถวบางใหญ่ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แถมยังมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงหากเร่งด่วนอยากเข้าเมือง ตัดสินใจภายในห้านาทีกับเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตที่เราเอามาเทรวมกัน ขาดเหลืออีกเกินครึ่งเอจึงกู้ธนาคารในส่วนที่เหลือ บ้านที่อยู่ห่างกันโดยมีสวนคั่น จะมีเสียงใครกันได้นะ
ฉันค่อย ๆ ย่องลงจากบันไดลงมา สายตาพยายามปรับตัวให้เข้ากับความมืด ในเงาสลัว ๆ นั้นมีเตียงตั้งอยู่กลางห้อง มีคนนั่งเก้าอี้ข้างเตียงฟุบหน้าลงกับเตียงนั้น นั่นมัน...
#
“ทางรักษาเดียวคือการผ่าตัดครับ แต่ด้วยสถานการณ์โรคติดต่อโควิดตอนนี้ นอกจากเลือดที่ขาดแล้ว ทางโรงพยาบาลยังมีนโยบายขอเลื่อนการผ่าตัดทุกชนิดออกไปก่อน” หมอในชุดขาวท่าทางสุภาพบอกกับเราแบบนั้น ในวันที่ไปพบล่าสุดเพื่อขอทราบกำหนดนัดหมายผ่าตัด ฉันบีบมือชายคนรักอย่างให้กำลังใจ เขาหันมามองลูบหัวฉัน และเราก็พากันกลับบ้าน
ฉันผวาตื่นขึ้นกลางดึกด้วยอาการหอบเหนื่อย หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างเร็วและแรง มือสั่นระริก หันไปมองข้างฝาภาพในกระจกสะท้อนภาพหญิงสาวผอมแห้งหนังแทบติดกระดูก จากผู้หญิงอ้วนหนักร้อยยี่สิบสามกิโล กลายสภาพเป็นคนผอมภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี ฉันอายุแค่ยี่สิบแปดปีเท่านั้น ชีวิตยังคงสดสวย วัยที่ยังคงเริ่มต้นสำหรับคนทั่วไป
แรกเริ่มฉันแค่ปวดท้อง คิดว่าอาการปวดตามรอบเดือนปกติ แต่เริ่มไม่ปกติเมื่อฉันถึงขั้นเป็นลมและถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลด้วยสิทธิ์สวัสดิการประกันสังคมในโรงพยาบาลเอกชนใกล้ที่ทำงาน นับจากวันนั้นโรงพยาบาลกลายเป็นบ้านหลังที่สองของฉัน จากสามสี่เดือนครั้ง กลายเป็นเดือนละครั้ง และถี่ขึ้นจนเราเลิกนับกันไปในที่สุด เรี่ยวแรงแค่จะเดินบันไดขึ้นบ้านยังแทบไม่มี เอจึงซื้อเตียงแบบที่ใช้ในโรงพยาบาลมาตั้งไว้ชั้นล่างของบ้าน เพื่อความสะดวกของการดูและรักษาพยาบาล ถึงแม้หมอจะไม่เคยบอกว่าฉันเป็นอะไร แต่ฉันคิดว่าฉันรู้
#
“เอคะ เมย์อยากไปทะเล เอนัดพวกเพื่อน ๆ ไปทะเลกันดีไหมคะ เดือนหน้ามีวันหยุดยาว นะเอนะ” และนั่นคือคำพูดที่ทำให้ฉันได้มานั่งรับลมเย็นสบายกับเพื่อน ๆ ชั้นมัธยมอยู่ในตอนนี้
“กู..มีความสุขที่สุดที่ได้มาเที่ยวกับพวกมึง” ฉันเอ่ยปาก
“มึงไม่ต้องมาดราม่า อยากมาอีกเมื่อไหร่ก็นัดมาสิ” ตาตอบกลับมา น้ำเสียงเหมือนดุแต่มีน้ำใส ๆ คลออยู่ในดวงตานั้น
ฉันยิ้มให้เพื่อนแล้วขยับมือไกวชิงช้าแรงขึ้น ดื่มด่ำความสุขในช่วงเวลานี้ไว้อย่างเต็มที่อย่างคนที่ยอมรับความจริง ยอมรับชะตาชีวิต สายลมเย็นที่ประทะเข้ามาโดนผิวกายจากการไกวชิงช้า ช่างให้อิสระเสรี ทำให้ลืมความเจ็บปวดได้
#
กลับจากทะเลได้เพียงสามวันฉันต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดในช่องท้องอย่างรุนแรง และจากวันนั้นฉันจำอะไรไม่ได้อีกเลย จำได้แค่เสียงที่ปลุกฉันขึ้นมายามดึกนี้ กับอาการหนาวสั่นสะท้านยามรู้สึกตัวตื่น ฉันยืนจังงันด้วยความสงสัย ฉันมีแรงขึ้นไปนอนบนบ้านได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ก็ฉันนอนเตียงข้างล่างนี่มาเกือบปีแล้วนี่ แขนขาลีบร่างกายที่ผ่ายผอมลงจนกลายเป็นคนละคน อยู่ ๆ ภาพในหัวก็เกิดขึ้นราวกับภาพยนตร์
"ผมส่งคุณได้แค่นี้นะที่รัก นี่คงเป็นภาพคู่รูปสุดท้ายของเราสองคน" ข้อความที่เอโพสลงโซเชียล ในภาพคือเอที่ใส่หน้ากากอนามัยสีเขียว ด้านหลัง...ด้านหลังนั่นคือภาพของฉันเอง ภาพนั้นตั้งอยู่บนขาหยั่งสำหรับวางภาพ ด้านหลังของภาพคือโลงศพสีขาวสะอาดตาอย่างที่ฉันเคยบอกเอไว้ว่าหากจัดงานให้ฉัน ฉันขอโลงสีขาวขลิบทองสะอาด ๆ สวย ๆ นะ เอทำตามที่ฉันขอทุกอย่าง ดอกกล้วยไม้สีขาวปนม่วงแบบที่ฉันชอบจัดเป็นพุ่มใหญ่อยู่บนโลงนั้น ภาพตัดไปยังควันที่ลอยฟุ้งกระจายขึ้นไปบนอากาศ ตัวฉันยืนมองภาพควันนั้นในอีกด้านของศาลา พยายามเอื้อมมือคว้ามือของตา เอ สุ ริน และเพื่อน ๆ ไม่มีใครสนใจฉันเลยทุกคนร้องไห้ตาแดงก่ำ
"เพื่อน...ฉันอยู่นี่...อยู่ตรงนี้" ฉันตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเดินไปหาเพื่อนคนนั่นคนนี้ ไร้ประโยชน์หมดแรง แล้วฉันก็ตื่นขึ้นมาบนห้องนอน ด้วยเสียงนั้นที่ปลุกฉันขึ้นมาวันแล้ววันเล่า
เสียงคร่ำครวญนั้นเงียบไปแล้ว ฉันเดินเข้าไปใกล้เตียงนั้น ใกล้จนมองเห็นคนที่ฟุบหน้าลงบนเตียง ร่างกายนั้นเริ่มบวมช้ำด้วยน้ำหนอง ในมือของเขากำภาพถ่ายไว้ใบหนึ่ง ฉันมองไปที่ภาพนั้น หญิงสาวตุ้ยนุ้ยกับหนุ่มหุ่นคล้ายกันในชุดบ่าวสาว ภาพนั้นยับยู่ยี่ด้วยแรงกำขยำ เมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันก็เจอกับเจ้าของเสียงที่ปลุกฉันจากการหลับใหล เราส่งยิ้มให้กัน เขาเอื้อมมือมาเกาะกุมมือฉัน แล้วเราก็กุมมือกันเดินจากมาด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ ... •