รากเหง้า(เรื่องสั้น)
เรื่อง...รากเหง้า
โดย...ทินภัทร สำเร็จงาน
******************************************************
๑
"อยู่ทำไมบ้าน กูอายชาวบ้านเขา หนีออกไปให้หมด อย่าให้กูเห็นหน้าพวกมึงอีก"
ผมจำคำที่พ่อไล่เหมือนหมูเหมือนหมาได้ดี ดูเหมือนวันนั้นมีผมกับน้องสาวคนเล็กสองคนอยู่บ้าน พี่ๆ น้องๆ คนอื่นหนีหายเข้ากลีบเมฆไปนานแล้ว
พี่น้องของผมออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนไหนผมก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก พวกเขาทยอยหายไปปีละคนสองคน ได้รับข่าวคราวกลับมาบ้างก็เพียงเล็กน้อย
แม่ทำงานแต่งาน ไม่มีปากมีเสียง ถึงแม้พ่อจะดุด่าว่ากล่าวลูกๆ อย่างไร แม่ก็ไม่เคยออกตัว รับแทน ปล่อยให้เป็นไปตามที่พ่อต้องการ ผมไม่รู้หรอกว่าแม่คิดถึงลูกๆ ที่หายไปบ้างไหม ใบหน้าแม่ซึมเศร้าเป็นปกติจนดูไม่ออกว่าแม่ยินดียินร้ายอะไรบ้าง
ผมและน้องสาวคนเล็กร้องห่มร้องไห้ พร้อมกับเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบเล็กเก่าคร่ำ ขึ้นรถสองแถวของหมู่บ้าน ต่อรถโดยสารเข้าจังหวัด จากนั้นก็นั่งรถเข้ากรุงเทพฯ
แรกๆ ผมพาน้องสาวไปทำงานอยู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นโรงงานห้องแถวเล็กๆ เวลาผ่านไปไม่ กี่เดือน เมื่อน้องสาวมีเพื่อนผู้หญิงที่ไว้ใจกันได้บ้าง ผมก็บอกลาน้องไปตามวิถีทางของตนเอง
๒
ผมก็ทำงานไปเรื่อย งานโรงานขนมปัง โรงงานทำทองเส้น พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า ย้ายไปจังหวัดต่างๆ เป็นประจำ ระหว่างทำงานก็เรียนไปด้วย สุดท้ายผมสอบเข้ารับราชการได้ และตั้งใจเรียนจนจบปริญญาโท ล่าสุดผมมีตำแหน่งผู้อำนวยการกองในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง
ผมมีครอบครัวเล็กๆ พ่อแม่ลูก อยู่กันเพียงสามคน มีบ้านมีรถยนต์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ลำบากอีกต่อไปแล้ว
ออกจากบ้านมาเกือบสามสิบปี ผมไม่เคยกลับบ้านเกิดเมืองนอน ไม่เคยกลับไปหาน้องสาวคนเล็กที่ออกจากบ้านมาด้วยกัน ไม่เคยติดต่อพี่ๆ น้องๆ ที่คลานตามกันมา ไม่เคยพบเห็นหน้าพ่อและแม่อีกเลย ทราบข่าวเพียงว่าพ่อกลายเป็นไอ้ขี้เมาประจำหมู่บ้านไปเสียแล้ว ส่วนแม่ก็ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ป้ำๆ เป๋อๆ คล้ายคนเป็นบ้า พ่อเสียชีวิตเมื่อสิบปีก่อนด้วยสภาพชายชราขี้เมาที่กอดภาพหมู่ของลูกๆ ไว้แนบอก หลังจากพ่อตายแม่ก็เดินหายออกไปจากหมู่บ้านโดยไม่กลับมาอีก
ตอนที่พ่อไล่ผมและน้องสาวออกจากบ้านนั้น ผมนึกโกรธและเกลียดพ่อมาก แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปก็นึกขอบคุณในความหวังดีของพ่อ พ่อแม่มีฐานะยากจน ที่ทางไม่มีสักไร่เดียว บ้านหลังเล็กเก่าโทรมจะพังแหล่มิพังแหล่นั้นก็ปลูกอยู่ในที่ของคนอื่น ลูกสิบเอ็ดคน จะอยู่กินอย่างไรให้มีชีวิตรอด ทางที่ดีที่สุดคือต้องออกจากบ้านเสาะหาชีวิตของใครของมัน
๓
ผมกักตัวอยู่บ้านเพราะไวรัสโคโรน่าระบาดไปทั่วทุกมุมโลก รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน และมีนโยบายให้ทำงานอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ งดการเดินทางข้ามจังหวัด งดการเดินทางด้วยเครื่องบิน เว้นแต่ชาวไทยที่ขออนุญาตเดินทางกลับมาเมืองไทย โรงเรียนของลูกชายก็ปิด และมีข่าวว่าจะเปิดเรียนอีกทีต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงหรือดีขึ้นอย่างใร
ภาพข่าวทางทีวีทำให้ผมสลดหดหู่ใจ ถนนกลางใจเมืองหลวงที่ไม่เคยว่างเว้นจากยานยนต์ ทุกประเภทแต่เช้ายันค่ำ บัดนี้มันโล่งว่างราวกับเมืองร้าง สายลมกลางเดือนเมษายนพัดกระดาษหนังสือพิมพ์ปลิ้วเคว้งคว้างไร้ทิศไร้ทาง
ตกกลางวันผู้คนต่างสวมหน้ากากเข้าแถวรอรับของแจกฟรีจากผู้ใจบุญหรือหน่วยงานต่างๆ ทั้งข้าวสารอาหารแห้ง และเงินสด
เงินเยียวยาที่รัฐบาลประกาศให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มต่างประสบปัญหาในด้านการลงทะเบียน เพราะข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน ทั้งกลุ่มอาชีพอิสระ เกษตรกร หรือกลุ่มผู้ประกันตน
หลายสิ่งหลายอย่างโกลาหล ผมไม่ทราบว่าอันไหนข่าวจริงอันไหนข่าวปลอมกันแน่ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ประเทศไทยมีผู้เดือดร้อนและขอรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลมากกว่ายี่สิบกว่าล้านคน วันๆ หน่วยงานของรัฐไม่ต้องทำอะไร แค่ตอบคำถามขั้นตอนการลงทะเบียนรับเงินเยียวยา การอุทธรณ์ และการรอรับผลยืนยันการลงทะเบียน แค่นั้นก็หมดเวลาทำงานไปหนึ่งวันแล้ว
การแถลงข่าวประจำวันเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจยิ่งกว่าละครหลังข่าว แต่ละวันต้องรอลุ้นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงจำนวนเท่าไร หากจำนวนเพิ่มขึ้นผมก็จะรู้สึกเศร้าระทม แต่ถ้าจำนวนลดลงใจก็แช่มชื่นขึ้น มีกำลังใจใจการกักตัวต่อ นับวันรอคอยจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่เป็นศูนย์ แล้วจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติเช่นเดิม
ระหว่างกักตัวอยู่กับบ้าน ผมต้องหันกลับมาคิดทบทวนความเป็นไปของตัวเอง ก่อนที่ผมจะมีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์ และตำแหน่งหน้าที่การงานผมผ่านความลำบากลำบนมามากแค่ไหน พบเจอคนที่จ้องคอยแต่เอารัฐเอาเปรียบมาอย่างไรบ้าง แต่ก็นั่นแหละ นึกแอบภูมิใจอยู่นิดหน่อยว่าตัวเองหาทุกอย่างมาด้วยลำแข้งของตัวเอง ลำแข้งที่พ่อเป็นผู้ผลักไสไล่มา
ผมปฎิเสธการรับของแจกทุกประเภท ถึงแม้จะมีคนมาเคาะประตูแจกถึงหน้าบ้าน ข้าวสารและวัตถุดิบต่างๆ สำหรับประกอบอาหารค่อยๆ ร่อยหรอลงตามวันเวลาที่รัฐบาลขยายประกาศภาวะฉุกเฉิน ในภาวะเช่นนี้บางครั้งมีเงินก็ไม่สามารถซื้อหาอาหารได้ ผมจะสอนให้ลูกเมียอดทนให้ถึงที่สุด ตอนเป็นเด็กผมเคยกินข้าวคลุกน้ำพริกตาแดงมานักต่อนัก
ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงพี่ๆ น้องๆ ทุกคน ป่านนี้บ้านหลังเก่าโทรมนั้นคงหายไปจากหมู่บ้านนั้นแล้ว อีกไม่นานคงไม่มีใครคิดว่ามันเคยมีอยู่
น้ำตาหยดแหมะลงบนแผ่นกระดาษที่ผมใช้เขียนเรื่องเล่าสั้นๆ เรื่องนี้...
********************************************