ผู้กินลมชมวิว(เรื่องสั้น)
ผู้กินลมชมวิว
...............................................................................................................................................
พี่เชนเป็นคนดี ทว่าไม่ค่อยมีใครชอบแกหรอก แม้แต่เมียของผมเองก็รังเกียจ
พี่เชนคือชายอายุสี่สิบต้นๆ ผิวคล้ำ รูปร่างผอมบาง ดวงตาข้างขวาเหล่จนสังเกตได้ ผมยาวเคลียต้นคอ ชอบใส่เสื้อยืดสีทึมๆ ทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์สีซีด กางเกงยีนส์ขาม้าเก่าพอกัน แกบอกว่าแกเป็นคนเพื่อชีวิต
“พี่มาทีไร เห็นแกโผล่ทุกที” เมียตั้งข้อสังเกต
“พี่เชนเป็นคนดีนะ ไม่เคยเกะกะระรานใคร” ผมเถียงแทนพี่เชน
ไม่เฉพาะเมียผมที่พูดอย่างนี้ พ่อ แม่ และญาติๆ บ้านใกล้เรือนเคียงก็อิดหนาระอาใจกับพี่เชนแทบทั้งนั้น
“ทำมึงไม่เหมือนพี่น้องมึงวะไอ้เชน พี่มึงแต่ละคนรวยมันสำปะหลังกันหมดแล้ว” เห็นหน้าพี่เชนทีไร พ่อจะพูดทำนองนี้ พ่อมีศักดิ์เป็นอาของพี่เชน
“หางานทำเป็นหลักแหล่ง หาผู้หญิงชาวบ้านสักคนจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา มัวแต่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ยังงี้ เดี๋ยวตายไม่มีญาติ” แม่เสริมเข้าอีก
พี่เชนก็เพียงแต่หัวร่อพร้อมกับพูดว่า “ใครจะมาเอาฉันล่ะ”
พี่เชนเกิดในครอบครัวที่พอมีที่ทางทำมาหากิน หลังจากพ่อแม่ของแกเสียแล้วได้ทิ้งที่ไว้ร้อยไร่ แกเป็นน้องคนสุดท้องจึงได้รับการศึกษาถึงระดับ ปวช. ครั้นเรียนจบพี่เชนก็ไม่สนใจทำงาน เตร็ดเตร่ไปทั่วสารทิศ พี่ๆ จึงไม่แบ่งที่ให้ คงกลัวจะเอาไปขายกินเสียหมด วันนี้โผล่ที่โน้น พรุ่งนี้อาจเห็นแกโผล่อีกจังหวัดหนึ่ง
“ฉันฉีกใบประกาศนียบัตรและใบรับรองผลการเรียนทิ้งหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่สมัครงานครั้งแรกแล้วบริษัทเขาไม่รับ เพราะฉันไม่มีประสบการณ์การทำงาน หลังจากนั้นก็ไม่เคยสมัครงานที่ไหนอีกเลย” พี่เชนเล่าให้ฟังเมื่อผมถามถึงเรื่องวุฒิการศึกษา
การพบปะกับพี่เชนทุกครั้งจะต้องมีการดื่มกิน หลายคนจึงมองว่าแกมาหาผมก็เพราะอยากกินเหล้า แต่ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้ ผมมักจะคิดถึงพี่เชนเมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด
ผมทำงานอยู่อีกอำเภอหนึ่ง นานๆ จะได้กลับมาเยี่ยมบ้าน พี่เชนเป็นคนหมู่บ้านอื่น แกเหมือนนกรู้ พอผมกลับมาเยี่ยมบ้านจะเจอแกเกือบทุกครั้ง
“มึงมันเป็นยังไงวะ มาทีไรเห็นหัวเชนทุกที” พ่อว่า
พี่เชนเป็นไม้หลักปักเลน เป็นนักเดินทางตัวยง บางครั้งไปช่วยพี่ๆ ทำไร่ในป่าดง บางครั้งไปเป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ บางทีก็หายเข้ากลีบเมฆไปเฉยๆ เป็นแรมปี
แกชอบเล่นดนตรี กลองชุดน่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่แกชอบมากที่สุด มีงานวัดงานบุญที่หมู่บ้าน พี่เชนจะตีกลองหรือไม่ก็เล่นกีตาร์เบสแห่นำขบวนผ้าป่า
ผมชอบฟังดนตรี ทว่าเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นสักชิ้น เคยรวบรวมนักดนตรีโดยมีพี่เชนร่วมอยู่ด้วย เพื่อออกเล่นตามงานหรือร้านอาหารต่างๆ ครั้นเห็นว่าวงไม่ก้าวหน้าผมก็เลิก แต่ผมสนิทสนมกับพี่เชนมากขึ้น
พี่เชนเคยเดินทางไปหาผมถึงบ้านพักของที่ทำงานซึ่งอยู่อีกอำเภอหนึ่งทั้งที่มีเงินไม่ถึงสองร้อยบาท ขากลับผมก็จะส่งค่ารถให้เหมือนที่เคยทำเป็นประจำที่พบเจอกัน
“อาจารย์...เมื่อไรจะมีงานเล่นอีก” พี่เชนเรียกผมว่าอาจารย์ทุกคำ ทั้งที่ผมไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่ไหน เจอกันตอนไหนแกมักจะถามคำถามเหล่านี้ ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้เต็มเสียงนัก หน้าที่การงานมันรัดตัวแทบกระดิกไม่ได้
บางทีพี่เชนก็มาขอความช่วยเหลือ
“อาจารย์ ฉันโดนตำรวจยึดบัตรประชาชนไว้”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ฉันขับมอเตอร์ไซค์ไปเล่นดนตรีแล้วเจอด่าน ตำรวจบอกว่าฉันไม่มีใบขับขี่ อาจารย์ช่วยไปเอาคืนที่โรงพักให้หน่อย” พี่เชนเล่า ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธ ผมจ่ายเงินค่าปรับให้ตำรวจก่อนเอาบัตรประชาชนไปคืนแก
เจอพี่เชนผมจะต้องเสียเงินเป็นค่าเหล้าค่ารถขากลับของแก แกอยู่ที่ไหนนานๆ ไม่เป็น เมียก็ได้แต่ทำตาปะหลับปะเหลือก ผมจึงหาทางออกด้วยการให้พี่เชนล้างรถบ้าง ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เป็นการลดความตึงเครียดในครอบครัว
วันเสาร์นี้ก็เช่นกัน ผมพร้อมลูกเมียกลับมาเยี่ยมบ้าน แดดร่มลมตก ผม น้องเขย และลูกพี่ลูกน้องอีกคนก็ตั้งวงกันที่หน้าบ้าน รสชาติของน้ำสีอำพันดูจืดชืดชอบกล
“พี่เชนไปไหนน้า...” ผมเปรย
“หายหน้าไปเป็นเดือนแล้วล่ะพี่” น้องเขยบอก
“อย่าพูดเป็นเล่นนะ เดี๋ยวแกก็มาจริงๆ หรอก” ลูกพี่ลูกน้องพูดทีเล่นทีจริง
ยังไม่ทันขาดคำ ชายผิวคล้ำ รูปร่างผอมบาง ใส่เสื้อยืดสีขี้ม้าทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์สีซีด กางเกงยีนส์ขาม้าเก่าๆ ก็เดินยิ้มเผล่มาแต่ไกล
“กูว่าแล้ว” ผมว่า
ทุกคนหัวเราะร่วน ยกเว้นเมียที่ละมือจากมีดสับหมูเงยหน้าหันไปมอง
........................................
ตีพิมพ์ครั้งแรก “ฅ.คน” สิงหาคม ๒๕๕๒