หญิงชรา เด็กน้อย และหมาเฒ่า (เรื่องสั้น)
หญิงชรา เด็กน้อย
และหมาเฒ่า
นางตื่นแต่เช้ามืดมาหลายปีแล้ว พอได้ยินเสียงไก่ขันเสียงแรกตาก็ลืมขึ้นราวกับได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก สลัดผ้าห่มเก่าๆ ออกจากตัว หันไปมองหลานสาวหลานชายสองคนที่กำลังหลับปุ๋ยครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ตลบตีนมุ้งขึ้นและพาตัวเองลงบันไดเรือนไปยังห้องครัวชั้นล่าง
บ้านหลังโทรมๆ นี้มีอยู่ด้วยกันสามชีวิต หากไม่มีเด็กๆ สองคนนั่นแล้วนางคงเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา แต่บางครั้งนางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตนเอง สามีของนางหนีเอาตัวรอดด้วยการบวช ลูกๆ ทั้งเก้าคนที่นางชุบเลี้ยงมาแสนเหนื่อยยากก็ไปตามวิถีทางของพวกเขาจนหมด ทิ้งไว้เพียงหลานสองคน หลานสาวอายุหกขวบเป็นลูกของลูกสาวคนที่หก หลานชายเป็นลูกของลูกสาวคนที่แปดอายุสี่ขวบ
ตั้งหม้อหุงข้าวสำหรับสามชีวิต ยังดีที่นางมีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ ถ้าจำไม่ผิดเป็นหม้อที่ลูกชายคนที่สองซื้อให้เมื่อสามปีที่แล้ว มันยังใช้งานได้ดี
ตอกไข่แล้วคนก่อนจะเทลงในกระทะร้อนๆ ซึ่งใช้ไฟจากเตาแก๊สที่ลูกชายคนที่สี่เป็นคนซื้อให้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง อันที่จริงหล่อนไม่ชอบไฟจากแก๊สนัก ทำอาหารอะไรก็ไม่ถูกปากนาง ดูอย่างต้มยำปลาช่อนนั่นปะไร ฝีมืออย่างนางไม่มีใครเทียบได้ ลูกๆ จะให้นางต้มยำปลาช่อนให้กินบ่อยๆ ตอนที่พวกเขายังเล็กๆ
นางชอบหาฟืนตามท้องไร่ท้องนา ทั้งหุงข้าวทั้งทำกับข้าว อาหารที่ทำแต่ละอย่างแม้แต่ไข่เจียวยังหอมกรุ่นน่าลิ้มลอง แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ความเร่งรีบของคนเมืองลามมาถึงชาวชนบทหมู่บ้านแห่งนี้ หากนางไม่ใช้เตาแก๊สหรือหม้อหุงข้าวลูกๆ ที่กลับมาเยี่ยมก็จะบ่นเข้าหู ว่าอายบ้านคนอื่นเขา
แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าพร้อมกับหม้อหุงข้าวดีดตัว จัดสำรับกับข้าวรอหลานตัวน้อยทั้งสอง หลานชายชอบไข่เจียวมากทีเดียว หลานสาวกินข้าวเหมือนแมวดม ไม่เคยกินข้าวหมดจานสักครั้ง ส่วนนางมีน้ำพริกปลาป่นกับสะเดาลวกก็เพียงพอแล้วสำหรับมื้อนี้
เสียงกึกๆ อยู่บนเรือนทำให้นางรู้ว่าหลานชายตื่นนอนแล้ว และอีกไม่นานเจ้าตัวดีก็จะลงมาหายาย จากนั้นก็ไถ่ถามไม่หยุดปาก สำหรับหลานสาวจะไม่ลุกจากที่นอนจนกว่าตะวันจะส่องก้น
“ยายเจียวไข่เหรอ หอม...หอม” นั่นไงมาถึงก็พูดทีเดียว
“กายจะกินเลยมั้ย เดี๋ยวยายเป่าให้ มันยังไม่เย็นดี” นางว่าพลางวางมือบนศีรษะหลานรัก
“รอพี่เพรงก่อนดีกว่า กินพร้อมกัน” หลานชายบอก
“ก็ดี...ถ้างั้นไปล้างหน้าล้างตาก่อน” นางบอกแล้วจูงมือหลานชายไปที่ห้องน้ำ จัดแจงบีบยาสีฟันลงบนแปรงแล้วยื่นให้เด็กน้อย เด็กน้อยรับไปอย่างว่าง่าย นางรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะปกติจะดื้อดึงและบอกยากตามประสาเด็กผู้ชาย หลานชายแปรงฟันสักพักแล้วก็บ้วนปาก ตักน้ำล้างหน้าเอง นางเช็ดหน้าให้หลาน
“วันนี้ยายอย่าตีกายอีกนะ” หลานชายพูด ทำเอานางต้องชะงักมือที่กำลังเช็ดหน้าอยู่นั้น นางใช้มือลูบศีรษะหลานชายเบาๆ
“ไม่ตีหรอก ถ้ากายไม่ดื้อ”
เมื่อวานฝนตกหนัก หลานชายกับหลานสาวพากันวิ่งเล่นน้ำฝนอย่างสนุกสนาน นางเรียกให้หยุดเล่นเดี๋ยวจะไม่สบาย ลำบากยายอีก พ่อแม่ก็ไปทำงานอยู่ไกล มาเยี่ยมลำบากหลานสาวหยุดเล่นแต่โดยดี หลานชายไม่ยอมหยุด นางจึงวิ่งตากฝนไปฉวยข้อมือกลับมาใต้ถุนเรือน แล้วก็ตีหลานชายหลายครั้ง หลานชายร้องไห้ไม่หยุดหย่อน ก่อนนอนนางเอายาหม่องทาบริเวณที่ถูกตีให้ ตอนที่หลานชายนอนหลับแล้วนางนั่งมองหลานชายพร้อมกับน้ำตาซึมไหล
หลานสาวตื่นตอนที่เสียงเพลงชาติดังมาจากที่หนึ่งที่ใดสักแห่ง นางจัดข้าวจัดปลาให้หลานๆ หลานชายเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มกระพุ้งแก้ม หลานสาวเขี่ยข้าวเล่น นางเห็นหลานสาวกินไม่เกินห้าคำ อาหารมื้อเช้าสำหรับเช้านี้จบลงด้วยดี และเหมือนเดิมอาหารยังเหลือให้กินมื้อเที่ยงได้อีก มีแต่ปากเล็กๆ กับปากแก่ๆ กินแค่นี้ก็ถมเถแล้ว
นางเทน้ำพริก ผัก และอาหารที่เหลือใส่ถุง เตรียมข้าวใส่ถุงลงไปด้วยอีกหนึ่งถุง ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของหลานๆ
“ยายจะห่อข้าวไปไหน” เป็นคำถามจากหลานสาว หลานสาวมักจะพูดจาเนิบช้า เหมือนกับการเคลื่อนไหวร่างกาย เดินช้า วิ่งช้า แต่ความคิดและพัฒนาการไม่ได้ช้าไปด้วย ออกจะแก่แดดเกินไปด้วยซ้ำ
“ไปหาปลา” นางตอบสั้นๆ
“แล้วใครจะเลี้ยงกาย” หลานสาวต่อคำ
“ก็เพรงไง”
“โอ๊ย หนูเลี้ยงเด็กดื้ออย่างนี้ไม่ได้หรอกยาย เดี๋ยวฆ่าลูกเขาตาย” หลานสาวพูด หลานชายกระแซะเข้ามาใกล้ๆ
“กายไปกับยายนะ กายอยากไปหาปลาด้วย พี่เพรงก็ไป ไอ้ดำก็ไป” หลานชายหมายถึงไปทุกคนนั่นแหละ รวมทั้งไอ้ดำหมาชราที่กระดิกหางรออาหารของมันอยู่
“มันร้อนนะลูก เพรงจะไปด้วยหรือ” นางถามอย่างไม่แน่ใจนัก นางเคยพาหลานไปนาเพื่อหว่านกล้า อากาศร้อนจัด หลานชายพยายามจะช่วยหว่านกล้าด้วย แต่นางไม่ยอม หลานตัวร้ายจึงร้องไห้เกลือกกลิ้งอยู่บนคันนาจนกว่านางจะหว่านกล้าเสร็จ
“ไปก็ไป ไกลมั้ยยาย” หลานสาวถาม
“ไม่แน่หรอกลูก ตรงที่ยายเห็นปลาอาจมีคนไปจับแล้วก็ได้” นางบอก การหาปลาในทุ่งนากว้างใหญ่บางทีก็ต้องเสี่ยงดวง ปลักตมที่เคยเห็นปลาและหมายตาไว้อาจมีคนตัดหน้าไปก่อนก็ได้
ตะวันสายโด่ง นางในเสื้อผ้าชุดลุยทุ่ง สวมหมวกสานเก่าๆ เดินนำหน้าหลานๆ ซึ่งสวมเสื้อผ้าตามปกติ คือไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือลงนาก็ชุดเดิม แต่มีหมวกที่ใหญ่กว่าศีรษะสวมทับทั้งสองคน ไอ้ดำหมาชราประจำเรือนที่ซื่อสัตย์เหยาะย่างปิดท้ายขบวน
เที่ยวทุ่งครั้งใดนางมักจะคิดถึงลูกๆ ลูกของนางมีเก้าคน แต่ละคนมีภาพความทรงจำคุ้นเคยอยู่กลางทุ่งนา ทั้งปักดำข้าวกล้า ไถนา หรือหาปูปลานกหนู พวกเขาเป็นลูกชาวนาอย่างแท้จริง อาจเป็นเพราะนางนำลูกๆ เที่ยวทุ่งจนติดเป็นนิสัยก็ได้
วิถีชาวนานั้นเมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้วก็หมดงาน รอเวลาที่จะถึงฤดูปักดำใหม่ ระหว่างนั้นชาวนาที่ว่างงานก็จะออกหาปลาหาผักเพื่อเป็นอาหาร
ลูกชายคนโตนั้นตัวโตยังกับยักษ์ปักหลั่น ผิวคล้ำเข้มผิดจากพี่น้องคนอื่น เรียนหนังสือจบแค่ปอสอง แถมยังมีชาวบ้านล้ออีกว่าออกจากโรงเรียนได้เพราะเอาไก่แลกออก ลูกชายคนโตชอบหาปลา ฤดูน้ำหลากคลองชลประทานเนืองแน่นไปด้วยนักหาปลาซึ่งมาจากทั่วสารทิศ ลูกชายคนโตกินนอนอยู่บนถนนคลองชลประทานจนกระทั่งน้ำลด นางขายปลาช่อนปลาดุกสนุกมือเลยทีเดียว
ลูกคนที่สามเป็นผู้หญิงหาปลาหาผักไม่เป็น ทว่าขยันขันแข็งในการงานมาก รับจ้างดำนาวันละแค่ยี่สิบบาทซึ่งเป็นครึ่งราคาของการจ้างผู้ใหญ่อย่างไม่ย่อท้อเหน็ดเหนื่อย หยุดเรียนคราวใดลูกสาวจะต้องติดตามนางไปด้วยทุกครั้ง เงินที่ได้ให้นางสิบบาท อีกสิบบาทลูกสาวเก็บ และที่นางไม่เคยลืมลูกสาวคนนี้ก็คือการหาบน้ำใส่ตุ่ม ลูกสาวนางตัวเล็กเกร็งหาบน้ำจากสระหน้าหมู่บ้านไปใส่ตุ่มในบ้านเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า เพราะมีคนรออาบรอใช้อีกสิบคน เมื่อใส่ตุ่มที่บ้านจนเต็มลูกสาวก็รับจ้างหาบให้บ้านอื่นอีกหาบละหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์
ลูกชายคนที่สี่ชอบหาหนู วันเสาร์อาทิตย์หยุดเรียนเขาจะออกทุ่งพร้อมกับหมาสักตัว มีจอบเสียมอยู่บนบ่า หายไปเกือบค่ำ กลับมาพร้อมกับหนูนาสามสิบสี่สิบตัว นางขายบ้าง ย่างกินบ้าง สามีนางชอบให้ผัดกระเพราแกล้มเหล้าขาว
ลูกชายอีกคนนั้นชอบยิงนก เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเยอะ หลักเลิกเรียนวางกระเป๋าหนังสือได้ก็คว้าหนังสติ๊กข้างเสาเรือนออกไปพร้อมกับเพื่อนๆ แรกทีเดียวนางคิดว่าเป็นเพราะความคึกคะนองของเด็กผู้ชาย แต่พอกลับมาพร้อมกับพวงนกสามีและนางก็ต้องอ้าปากหวอด้วยความคาดไม่ถึง
นางจำไม่ได้แล้วว่าลูกคนไหนชอบตกกบ อายุแค่เจ็ดแปดขวบหากบได้วันละหลายตัว ครั้นนางถามว่าตกกบทำยังไงถึงตกได้ ลูกก็บอกว่าใช้เบ็ดธรรมดานี่แหละ แต่ใช้คันยาวกว่าเบ็ดทั่วไป เหยื่อล่อก็ไม่ต้องลงทุนซื้อหา เอาดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองๆ เกี่ยวกับเบ็ด โยนเบ็ดลงไปในบ่อแล้วก็ลากเหยื่อระเรี่ยผิวน้ำ กบเห็นดอกไม้สีเหลืองเคลื่อนไหวก็คิดว่าแมลงปอกำลังบินจึงกินเบ็ดอย่างง่ายดาย
“ยายๆ” เสียงใสแจ๋วนั่นมาจากหลานชาย ความนึกคิดถึงความหลังครั้งลูกยังเด็กๆ ถูกทำลายลงเสียแล้ว นางหันไปมอง เวลานี้ทั้งหมดเดินแถวเรียงหนึ่งอยู่บนคันนาใหญ่ หลานชายอยู่ลำดับสองมีถังเปล่าในมือ หลานสาวอยู่ลำดับสามหิ้วเชี่ยนหมากของยาย ไอ้ดำลิ้นห้อยรั้งท้าย
“ถึงยังยาย ไกลบ้านแล้ว” หลานสาวเป็นคนถาม นางชี้มือไปที่บิ้งนาเบื้องหน้า นึกสงสารหลานอยู่เหมือนกัน พาลูกเขามาลำบากลำบนแท้เทียว
แดดเที่ยงวันแล้ว พอถึงบิ้งนาที่มีน้ำขังเพียงตาตุ่มหลานสาวหลานชายก็นั่งอยู่บนคันนาใต้ต้นหว้าใหญ่ ไอ้ดำนั่งลิ้นห้อยเช่นเดิม นางลงน้ำใช้ถังที่เตรียมมาวิดน้ำออก สองมืออันหยาบกร้านนั้นตักแล้วเทครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน พักหลังๆ นางไม่ค่อยได้ลงทุ่งนัก ตั้งแต่ลูกสาวสองคนนำหลานมาให้นางดูแล นางต้องเลี้ยงหลานสองคนนี้อยู่กับบ้าน กลัวลูกของเขาจะเปื้อนดินเปื้อนโคลนไปกับนางด้วย เมื่อก่อนนางเป็นคนหาปลาที่หาปลาได้มากคนหนึ่งในหมู่บ้าน หากว่างเว้นจากไร่นานางก็จะอยู่ท่ามกลางปลาเล็กปลาน้อย นางชอบกินปลามากกว่าอย่างอื่น
น้ำแห้งนางก็พักเหนื่อย เดินขึ้นไปหาหลานๆ แจกช้อนคนละคัน ม้วนถุงข้าวและถุงกับข้าวที่เหลือตั้งแต่ตอนเช้า ไม่ต้องใส่จานให้ยุ่งยาก นางจิ้มสะเดากับน้ำพริกปลาป่นอย่างเอร็ดอร่อย และเช่นเคยหลานสาวกินคำสองคำก็เขี่ยข้าวเล่น หลานชายกินเอาๆ จนไข่หมดถุง
ตอนเคี้ยวหมากนางรู้สึกใจสั่นชอบกล ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน เป็นไข้เป็นหวัด หรือปวดเมื่อยเนื้อตัวนั้นเป็นเรื่องปกติ นางแก่แล้ว ผมขาวโพลนทั้งหัว มือไม้ก็เริ่มสั่นเทา ทว่านางไม่เคยใจสั่นราวกับจะระเบิดออกมานอกอกอย่างตอนนี้
นางถ่มน้ำหมากปรี๊ด มองเห็นปลาดิ้นขลุกขลักอยู่ในบิ้งนา ยันกายลุกขึ้น อย่างไรเสียต้องเอาปลากลับบ้านให้ได้ นางแข็งใจลงจับปลาใส่ถัง หลานชายหลานสาวส่งเสียงเชียร์ไม่ขาดปาก หลานชายชี้ไม้ชี้มือตรงนั้นตรงนี้ และพยายามจะลงไปช่วยจับ แต่ถูกหลานสาวรั้งแขนไว้
บ่ายแก่ๆ ขณะนางล้างไม้ล้างมือในบิ้งนาติดกันที่มีน้ำสูงเลยตาตุ่มอยู่นั้น นางก็หน้ามืดล้มลง แว่วยินเสียงหลานๆ เรียก สายตาของนางพร่าเลือน โชคดีอยู่บ้างที่ศีรษะของนางวางลงพิงคันนาพอดี ไม่จมลงในน้ำ เนื้อตัวแขนขาของนางจมน้ำหมดแล้ว พยายามฝืนกายลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล
มือเล็กๆ สองคู่มือดึงมือนางคนละข้าง มันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
“ยาย ยาย ลุกขึ้น” แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงหลานสาวหรือหลานชาย
สักพักนางก็รู้สึกมีอะไรมากระทบบริเวณจมูกและมีกลิ่นยาดมโชย นางสูดหายใจลึก นางต้องยืนให้ได้ นางต้องพาหลานๆ กลับบ้าน บริเวณใบหน้ามีลิ้นสากๆ ของไอ้ดำหมาแก่เลียแล้วเลียอีก
“ยายดมแรงๆ” คราวนี้นางแยกออกแล้วว่าเป็นเสียงหลานสาว นางเหลียวกลับไปมองก็เห็นสีหน้าแววตาตื่นตระหนกของหลานชาย มือน้อยที่ดึงแขนนางนั้นเขย่าๆ สายตากลับมามองเห็นชัดดังเดิม นางยันกายลุกขึ้นโดยมีมือหลานๆ ช่วยพยุง ไอ้ดำครางงื้ดง้าดพลางกระดิกหาง นางบอกให้หลานๆ เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน
หากไม่มีหลานๆ กับหมาชรามาด้วยนางจะเป็นอย่างไรหนอ นางนึกขณะหิ้วถังปลา นางหันไปลูบศีรษะหลานสาวหลานชาย
“ตอนเย็นยายจะต้มปลาช่อนให้กิน” นางว่า จากนั้นก็หันไปลูบหัวไอ้ดำ
แดดโรยแสงเย็นนั้น มีร่างของหญิงชราเดินนำหน้า ร่างเด็กสองคนความสูงไล่เลี่ยกันเดิมตาม และมีสุนัขเฒ่าเดินรั้งท้ายกลับเข้าหมู่บ้าน
..........................
พิมพ์ครั้งแรก
สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ๙-๑๕ พฤศจิกายน ๖๑