(เรื่องสั้น)มารีน ผู้สืบทอด
"มารีน...มารีน…" เสียงของชายวัยกลางคน สวมแว่นตาขอบสีเงิน เส้นผมสีดำเรียบแป้และมันวาว เขาอยู่ในชุดวิคตอเรี่ยนแบล็คไทร์ดูคล้ายพ่อบ้าน
แม้มารีนจะลุกขึ้นมาแล้วแต่ยังรู้สึกตัวตื่นไม่เต็มที่จึงยังคงมึนงงอยู่ มารีนยกตัวและหัวขึ้นก่อนจะพบว่า ตัวเธอเผลอหลับบนโซฟาในห้องของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ความทรงจำของเธอเริ่มฟื้นคืนกลับมา
เธอชื่อ มารีน...เธอถูกมุนด์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้รับเลี้ยง ในตอนนี้เธออยู่กับชายวัยกลางคนผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในพิพิธภัณฑ์
มารีนเหยียดแขนทั้งสองออกเพื่อคลายความเมื่อย เธอจำไม่ได้ว่าก่อนจะหลับไป เธอทำอะไรอยู่ที่ไหน เธอรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ประตูห้องผู้ดูแลเปิดออกและมุนด์ได้กวักมือเรียกให้เธอออกไปได้แล้ว
เด็กสาวเดินตามไปอย่างว่าง่าย เธอเดินตามหลังเขาอย่างระแวดระวังราวกับสถานที่ที่เธออยู่นั้นเป็นสนามรบ
มีข้าวของมากไม่คุ้นตาตั้งโชว์ไว้ทั้งในกรอบกระจกและในตู้ สิ่งของบางอย่างเธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น สิ่งที่ดูคล้ายมือมนุษย์แต่มีขนสีดำยาวเกือบสองนิ้วปกคลุมเต็มไปหมด หินสีดำเมี่ยมที่มีรูปร่างคล้ายตับคน หรือแม้แต่ฟันสีขาวที่มีรากลึกเกือบสี่นิ้ว
นอกเหนือจากของแปลกในกรอบกระจก เด็กสาวยังสนใจสถานที่จำลองที่อยู่ในตู้กระจกกว้างเกือบสามเมตร
แต่ละตู้เป็นสถานที่ชื่อดังระดับโลกเช่น มหาพีระมิดกีซา โบโรบูดูว์ อะโครโพลิซ แต่กลับมีตู้หนึ่งที่มีสถานที่ที่เธอไม่รู้จักไม่มีป้ายข้อมูลกำกับ ในตู้จำลองนัันมีสวนหย่อม มีถนน มีเสาไฟ และป้ายบอกทางครบครัน หากแต่ตำแหน่งสิ่งก่อสร้างตรงกลางพื้นที่กลับแหว่งโหว่ไปเป็นสีขาว
"คุณมุนด์คะ ตู้นี้คืออะไร ทำไมมันถึงยังไม่เสร็จเหรอคะ?"
ฝีเท้าของมุนด์หยุดกึกในทันที
เขาหันกลับมามองลึกเข้าไปในดวงตาของมารีนราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ เด็กสาวมองกลับไปด้วยแววตาที่สงสัย แต่ในท้ายที่สุดมุนด์ไม่ได้ตอบอะไร เขาหันกลับและเดินหน้าต่อ
มารีนกลัวจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังจึงรีบจ้ำก้าวให้ทันพ่อบุญธรรมของเธอ แล้วทั้งสองก็มาถึงห้องเล็กที่สุดที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ ห้องนัันมืดทึบและมีแสงไฟสว่างน้อยกว่าทุกห้อง มุนด์หยุดเท้าก่อนจะถึงหัวโค้งด้านในสุดของห้อง
มารีนที่เห็นเพียงแสงสีเหลืองสะท้อนออกมาจากด้านใน หัวใจของเธอก็เต้นโครมครามออกมาด้วยความตื่นตกใจ
เด็กสาวไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมจู่ๆร่างกายของเธอจึงตอบสนองด้วยการสั่นไปทั่วทั้งร่างเช่นนีั มุนด์พยักหน้าเป็นสัญญาณให้มารีนเดินต่อไปตามลำพัง เด็กสาวทั้งลังเลและอึดอัดใจอย่างมาก
ใจเธอก็อยากรู้ว่า สุดท้ายปลายทางนั้นอะไรรออยู่ที่นั่น แต่ร่างของเธอกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง มันยังคงสั่นไม่หยุดหย่อน
พ่อบุญธรรมของเธอลูบหัวเธอเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะแตะแผ่นหลังคล้ายส่งกำลังใจช่วย มารีนถอนใจเฮือกใหญ่ พยายามเชิดหน้าเชิดอกขึ้น ทำใจกล้า เดินอาดเข้าไปทั้งที่ในอกยังคงขยับตึกตัก
แสงสะท้อนสีเหลืองนั้นออกมาจากหลอดแนวตั้งขนาดใหญ่ที่กว้างครึ่งเมตร สูงสองเมตรกว่า
ในหลอดแรกมีผู้ชายเปลือยแช่อยู่ในนั้น เขาอายุราวสี่สิบต้นๆ หลอดที่สองมีผู้หญิงเปลือยอายุราวสามสิบปลายๆ หลอดที่สามมีเด็กหนุ่มอายุมากกว่ามารีนไม่เกินสามปี ทั้งสามอยู่ในสภาพเหมือนหลับอยู่ในน้ำสีเหลืองอำพัน
หัวใจของมารีนทำงานอย่างหนักเมื่อเห็นทั้งสามคนอยู่ในหลอดแก้ว แต่เมื่อเธอเดินไปจนสุดทาง เธอพบหลอดแก้วเปล่าอีกหลอดหนึ่งที่บรรจุน้ำยาดองไว้พร้อมขาดแต่ร่างคนอีกคนเท่านั้น มารีนลืมหายใจ
เธอหันหลังกลับไปด้วยความหวาดระแวง บนตั้งแต่ลำคอจนถึงขนลุกชูชัน ไม่ว่าคนที่อยู่ในหลอดทั้งสามจะเป็นใคร ไม่ว่าพ่อบุญธรรมจะพูดจาดีแค่ไหน เธอก็ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
มารีนวิ่งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหน เธอต้องวิ่งหาทางออกจากพิพิธภัณฑ์พร้อมกับระวังพ่อบุญธรรมของเธอที่อาจจะโผล่ออกมาแล้วจับเธอยัดเข้าหลอดแก้วนั่นด้วย
แต่แล้วเธอก็เข้าใจผิดทั้งหมด
มารีนหาทางออกไม่เจอแม้จะพบประตูและหน้าต่างอยู่ตรงหน้าอีกทั้งมุนด์ก็ไม่ได้ออกมาจับตัว ไม่แม้แต่จะตามหาด้วยซ้ำ เด็กสาวหวาดระแวงไปกับทุกสิ่งทุกอย่างในพิพิธภัณฑ์ แม้จะไม่มีเสียงหรือความเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้น เธอหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังวิ่งวนเหมือนหนูติดจั่น
เด็กสาวหยุดพักที่หน้าตู้กระจกที่เคยเห็นว่า ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อความเหนื่อยทุเลาลง เธอมองไปข้างในและพบว่า โมเดลจำลองข้างในนั้นต่อเติมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
มารีนประหลาดใจกับความมหัศจรรย์ตรงหน้าและเกาะติดดูอย่างใกล้ชิด ส่วนบนของตู้เป็นฉากหลังสีดำอมม่วงบ่งบอกให้รู้ว่า เป็นยามค่ำคืน เธอเห็นหุ่นตัวเล็กรูปร่างเหมือนมนุษย์สี่คนกำลังทำท่าลับๆล่อๆแอบย่องเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จำลองแห่งนั้น เด็กสาวกรีดร้องและทุบกระจก
"อย่า!...อย่าเข้าไปในนั้น!"
แต่ทั้งสี่โดยมีผู้ใหญ่ชายหญิงเป็นคนนำจะไม่ได้ยินคำเตือนของเธอ ทั้งหมดลักลอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แห่งนััน เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาที่อยู่ด้านในบ้างแต่เธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ฉากหลังของตู้เปลี่ยนจากกลางคืนเป็นกลางวันสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์จำลองเข้าไปเท่าไหร่ก็ออกมาเท่านั้น จะมีก็แต่ครอบครัวสี่คนก่อนหน้าเท่านั้นที่หายไปแล้วไม่ได้ออกมาอีก…
มารีนทรุดตัวลง เธอร้องไห้และตะโกนออกมาว่า
"ปล่อยพวกเขาเถอะ ได้โปรด...หนูขอโทษ พวกเราขอโทษ พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยพวกเราออกไปเถอะ"
เด็กสาวจำทุกอย่างได้แล้ว เธอนึกทุกอย่างออกแล้ว พ่อกับแม่ของเธอวางแผนกันที่จะขโมยทรัพย์สินของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มาขายแต่คืนนั้นผู้ดูแลชาย ชื่อว่า มุนด์เป็นคนเฝ้า
เขาทำให้ครอบครัวของเธอเห็นภาพหลอนเมื่อเข้ามาด้านในตัวอาคาร มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เสียสติ เธอตามพวกเขามาด้วยเพียงเพราะไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียวจึงไม่ได้มีเจตนาขโมยเหมือนอย่างพ่อแม่และพี่ชายของเธอ
รอยยิ้มของผู้ดูแลนั้นน่าสยดสยองในสายตาของเด็กสาว มือของเขาเอื้อมมาลูบหัวเธอที่ยังสั่นเหมือนลูกนก ภาพทั้งหมดดับวูบลงไปเหลือเพียงเสียงของผู้ดูแลพูดว่า
"ต่อจากนี้ไป เธอจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้…"
มารีนนั่งร้องไห้บนพื้นด้วยความรู้สึกสงสาร สำนึกผิดและหวาดกลัว เมื่อนั้นเองที่มือของพ่อบุญธรรมลูบหัวของเธออย่างแผ่วเบาก่อนจะลูบแผ่น
เด็กสาวสงบลงและหยุดร้องไห้ในทันที เธอลุกขึ้นยืนและหันไปหามุนด์
"ขอโทษค่ะ คุณพ่อที่หนูอ่อนไหวเกินไป ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูทำงาน ต่อไปนี้หนูจะไม่ทำให้คุณผิดหวังค่ะ…"
"ดีมาก...เด็กดี" เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
เด็กสาวเหลือบมองพิพิธภัณฑ์จำลองที่อยู่ในตู้กระจกด้วยหางตา เพียงครู่เดียวก่อนจะเดินตามหลังพ่อบุญธรรมของเธอไป เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของคนสามคนดังขึ้นจากในพิพิธภัณฑ์จำลองโดยไม่มีใครได้ยิน
…