ดัน พ.ร.บ.อี-เซอร์วิส ตามเก็บภาษีโซเชียลมีเดีย 3,000 ล้านบาทต่อปี
30 กรกฎาคม 2563
ใจความสำคัญ
- กรมสรรพากร ตอบรับนโยบายรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการเร่งเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิสหรือร่างกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เพื่อบังคับใช้เก็บภาษี VAT 7% กับทุกแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพลย์ สปอร์ติฟาย บุ๊กกิ้งดอทคอม อะโกด้า ลาซาด้า ช้อปปี้ เป็นต้น
- หากสภาฯ เห็นชอบต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลให้บริษัทดิจิทัลต่างประเทศที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย และมีรายได้ต่อปีจากค่าบริการตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า มูลค่าการเก็บภาษีจะอยู่ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญยังช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่แบกรับภาระภาษีแทนมาโดยตลอด
-
ดัน พ.ร.บ.อี-เซอร์วิส ตามเก็บภาษีโซเชียลมีเดีย 3,000 ล้านบาท
งานด้านกฎหมาย, 30 กรกฎาคม 2563
ใจความสำคัญ
- กรมสรรพากร ตอบรับนโยบายรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการเร่งเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิสหรือร่างกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เพื่อบังคับใช้เก็บภาษี VAT 7% กับทุกแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพลย์ สปอร์ติฟาย บุ๊กกิ้งดอทคอม อะโกด้า ลาซาด้า ช้อปปี้ เป็นต้น
- หากสภาฯ เห็นชอบต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลให้บริษัทดิจิทัลต่างประเทศที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย และมีรายได้ต่อปีจากค่าบริการตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า มูลค่าการเก็บภาษีจะอยู่ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญยังช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่แบกรับภาระภาษีแทนมาโดยตลอด
ในโลกยุคใหม่ที่โซเชียลมีเดียตอบสนองได้เกือบทุกความต้องการ จึงมีคนไทยกว่า 51 ล้านคนใช้ชีวิตอยู่กับโซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3.10 ชั่วโมงต่อวัน เรียกว่าเมื่อหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเมื่อได้ ก็ต้องเปิด Facebook Line Twitter Google Yahoo หรือ YouTube หากจะซื้อสินค้าก็ต้อง Lazada Shopee Amazon Ebay ฯลฯ หากจะดูสื่อบันเทิงก็ต้อง Netflix ซึ่งทั้งหมดเป็นสื่อที่อยู่ในต่างประเทศ แต่เข้ามากอบโกยเม็ดเงินจากค่าโฆษณาค่าสมาชิก ปีละจำนวนหลายหมื่นล้านบาท แต่ทว่าสื่อเหล่านี้กลับไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ ทั้งสิ้น
นั่นก็เพราะกรมสรรพากรไม่เคยมีฐานกฎหมายที่จะให้อำนาจในการตามเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ได้ ที่พอจะเก็บได้บ้าง ก็น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับตัวเลขภาษีที่ควรจะเก็บได้ซึ่งเคยมีการประมาณการไว้ถึง 3,000 ล้านบาท โซเชียลมีเดียเหล่านี้จึงถูกเปรียบว่าเหมือน “เสือนอนกิน” มาเป็นเวลานาน ซึ่งนอกจากไทยแล้ว ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็คิดหาวิธีที่จะจัดเก็บภาษีกับโซเชียลมีเดียเหล่านี้เช่นเดียวกัน
รัฐบาลภายใต้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตระหนักดีว่า ไทยควรมีมาตรการที่ไม่ปล่อยให้โซเชียลมีเดียเหล่านี้เอาเปรียบ และเพื่อให้มีรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ต้องยอมแบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% โดยต้องคำนึงถึงวิธีการในการจัดเก็บที่เหมาะสม รวมทั้งต้องได้รับความร่วมมือกับประเทศในระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มีการเสียภาษีอย่างถูกต้องและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้กรมสรรพากรจัดทำร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส (e-Service) ขึ้น เพื่อจัดเก็บภาษี VAT จากทุกผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างชาติที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเข้ามาทำการค้าขายในประเทศไทย และทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งที่ผ่านมา ยังได้เปรียบผู้ประกอบการในประเทศเนื่องจากไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อเสนอในการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส (e-Service) เพื่อให้ อี-เซอร์วิส (e-Service) มีคำจำกัดความที่ครอบคลุมธุรกิจกว้างขวางมากขึ้นและกำหนดให้ธุรกิจที่เข้าข่ายมีหน้าที่ชัดเจนในการเสียภาษี ซึ่งจะทำให้กรมสรรพากรมีเครื่องมือที่จะใช้ในการจัดเก็บภาษีจากบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติได้จริง
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิส ดังกล่าวผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2563 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา และคาดว่า กฎหมายจะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2563
ใจความสำคัญของร่างกฎหมายนี้ระบุให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยและมีรายได้ต่อปีจากค่าบริการตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าว ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยประเมินเบื้องต้นว่า มีมูลค่าการให้บริการรวมอยู่ที่ปีละ 40,000 ล้านบาท และคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญ ยังจะสามารถช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่มีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ในปัจจุบัน
พ.ร.บ.อี-เซอร์วิส แบ่งธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ส่วน คือ
- ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือการค้าขายบนมาร์เกตเพลส อย่าง ลาซาด้า (Lazada) หรือช้อปปี้ (Shopee) โดยผลักดันให้ยกเลิกประกาศกรมศุลกากรที่ให้ยกเว้นการเก็บภาษี VAT สำหรับสินค้าต่างประเทศที่นำเข้ามาที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาทเสีย เพื่อให้สินค้านำเข้าที่ซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเสียภาษี VAT เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศไม่ให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบ
- ธุรกิจ อี-เซอร์วิสเป็นบริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัล แบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
- ธุรกิจที่มีรายได้จากค่าโฆษณา เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ที่ขายโฆษณาบนแพลตฟอร์ม โดยลูกค้าในไทยต้องชำระค่าโฆษณาผ่านการจ่ายบัตรเครดิตไปยังประเทศปลายทาง ทำให้ภาครัฐของไทยไม่สามารถเก็บภาษีใด ๆ ได้
- ธุรกิจเพลง-หนังบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพย์ (Apple Play) สปอร์ติฟาย (Spotify) ที่มีรายได้จากการสมัครสมาชิก
- ตัวกลางแบบ P2P ได้แก่ แกรบ (Grab) แอร์บีเอ็นบี (Airbnb)
- ตัวกลางที่เป็นเอเย่นต์จำหน่ายสินค้าและบริการ เช่น บุ๊กกิ้งดอทคอม (Booking.com) อะโกด้า (Agoda)
- อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม เช่น อเมซอน (Amazon) อีเบย์ (Ebay) โดยเป็นการเก็บ VAT จากรายได้จากการให้ใช้แพลตฟอร์มในการขาย
ปัจจุบัน ทั่วโลกต่างหันมาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการของตนเอง โดยมีประเทศที่บังคับใช้กฎหมายแล้วกว่า 60 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย ซึ่งต่างก็กำหนดบทลงโทษตามกฎหมายไว้หลายรูปแบบ เช่น การบล็อกไม่ให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม การบล็อกเส้นทางการชำระค่าบริการ ตลอดจนใช้ภาคีระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาภาคีสมาชิกเพื่อร่วมบริหารภาษีระหว่างประเทศ (Mutual assistant on tax administration) แลกเปลี่ยนข้อมูลบริษัทจดทะเบียนระหว่างกัน เพื่อนำมาประเมินภาษีที่ต้องจัดเก็บ หากมีบริษัทต่างชาติในประเทศนั้น ๆ เปิดให้บริการแพลตฟอร์มในไทย
โดยรัฐบาลได้เน้นย้ำว่า การเก็บภาษีนี้ ไม่ใช่เก็บจากตัวสินค้า แต่เป็นการเก็บจากค่าบริการ และค่าโฆษณาผ่านแต่ละแพลตฟอร์ม ยิ่งนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราก็ได้เห็นแล้วว่า ธุรกรรมออนไลน์ยิ่งเติบโตอีกหลายเท่าตัว ทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งภาษีอี-เซอร์วิสนี้ ก็จะครอบคลุมการเก็บภาษีในทุกแพลตฟอร์มของต่างประเทศได้ทั้งหมด
หากกฎหมายฉบับนี้เริ่มบังคับใช้ได้จริงโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่า จะดีทั้งต่อการเพิ่มรายได้เข้าประเทศไทย ต่อประชาชนคนไทย และต่อผู้ประกอบการไทยนั่นเอง