ว่านหางจระเข้ สมุนไพรไทยกับคุณประโยชน์ที่มากมาย
ว่านหางจระเข้ สมุนไพรไทยกับคุณประโยชน์ที่มากมาย
“ว่านหางจระเข้” เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ไม่เพียงให้ความสวยงาม แต่ยังมักจะนิยมปลูกไว้ติดบ้าน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้อย่างหลากหลาย วันนี้เราจึงจะนำทุกท่านมาทำความรู้จักกับพืชสมุนไพรชนิดนี้ว่ามีลักษณะอย่างไร และใช้ทำอะไรได้บ้าง
ว่านหางจระเข้ หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า Aloe Vera. จัดเป็นพืชไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี สูงประมาณ 0.5 – 1 เมตร ลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น มีใบเลี้ยงเดี่ยวสีเขียว อวบน้ำ ข้างในจะเป็นวุ้น ส่วนดอกจะเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด สีแดงอมเหลือง สำหรับผลจะเป็นผลแห้งคล้ายดอกกระสวย และจัดเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรค
สรรพคุณของว่านหางจระเข้
- ใช้สำหรับแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกด้วยการประคบเย็น จากนั้นนำวุ้นว่านหางจระเข้มาวางไว้บนแผล
- ใช้บรรเทาบำรุงผิวพรรณ โดยการนำวุ้นว่านหางจระเข้ทาลงบนผิวหนัง ก่อนออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำเพื่อช่วยในการเติมน้ำให้ผิวพรรณและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
- รักษาสิว โดยการนำวุ้นมาฟอกประมาณ 10 - 15 นาที จะช่วยยับยั้งการติดเชื้อ ลดรอยดำ ป้องกันการเกิดฝ้า และช่วยควบคุมความมันเนื่องจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ (ไม่แนะนำให้ใช้กับสิวที่อักเสบ)
- รักษาอาการแผลกดทับให้กับผู้ป่วย ที่เกิดจากการนั่งหรือนอนทับนานๆ และยังสามารถนำไปรักษาโรคริดสีดวงทวาร หรือโรคเบาหวานได้อีกด้วย
- ใช้เป็นเครื่องสำอาง เพราะปัจจุบันผู้คนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น สารสกัดจากว่านหางจระเข้จึงกลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมของครีมบำรุงผิว ครีมทาหน้า สบู่ และแชมพู ที่วางขายตามท้องตลาดนั่นเอง
- ใช้ประกอบเป็นของหวาน เช่น น้ำว่านหางจระเข้ น้ำวุ้นแช่อิ่ม หรือท็อปปิ้งใส่ในเมนูเครื่องดื่มต่างๆ ได้อีกด้วย
คำแนะนำในการใช้ว่านหางจระเข้
- ควรเลือกว่านหางจระเข้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป เพื่อนำมาใช้งาน
- ทดลองทาบนหลังมือเพื่อตรวจสอบความีอาการแพ้หรือมีรอยแดงขึ้นผื่นหรือไม่ เพราะแม้จะเปร์เซ็นต์การแพ้น้อย แต่คุณอาจเป็นคนใน 1% ได้
- เมื่อตัดว่านหางจระเข้แล้วควรนำมาใช้ทันทีเพราะมีสรรพคุณทางยาที่ดีกว่าและสำหรับวุ้นนั้นสามารถเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น
- เพื่อให้ได้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แนะนำให้นำว่านหางจระเข้ไปแช่ในตู้เย็นก่อนนำมาใช้
ทั้งหมดนี้ก็คือส่วนหนึ่งของว่านหางจระเข้ จะเห็นได้ว่านอกจากจะหาได้ง่ายแล้ว ยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การใช้ทำเครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งนำมาประกอบอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะต้องใช้งานให้ถูกวิธีและเหมาะสม
อ้างอิงจาก: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและ https://www.healthline.com/