พระมหาไพรวัลย์ เตือนแรงๆ "การสวดมนต์ ไม่ช่วยขับไล่โรคระบาด"
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ โพสต์ในเฟสบุค #การสวดมนต์ไม่ช่วยขับไล่โรคระบาด มีข้อความว่า....
ในสมัยโบราณเก่าก่อน เริ่มต้นแต่รัชกาลที่ ๒ มา ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๓ เกิดโรคห่าระบาด คนในพระนครล้มตายมากกว่า 30,000 ชีวิต (หรืออาจมากกว่านี้ด้วยซ้ำ) แม้แต่ภายในราชสำนักเอง ก็ยังอยู่เฉยกับวิกฤตการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ มีการให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ มีการให้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อสวดพระปริตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์กำจัดโรคระบาด
ในบันทึกพระราชพิธีสิบสองเดือน ตอนหนึ่งอธิบายถึงอาฎานาฎิยสูตร ที่ใช้ในพระราชพิธีอาพาธพินาศว่า
"...แต่การพระราชพิธีนั้นเปนการคาดคเนทำขึ้น มิใช่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ให้ทำสำหรับแก้ไขโรคภัยเช่นนี้ จึ่งได้คิดขับไล่ผีเปนการผิดอิกขั้นหนึ่งด้วย เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยผี เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้…”
เมื่อได้อ่านตามบันทึกนี้แล้ว เราจะเห็นได้ชัดว่า การจัดให้มีพระราชพิธีหลวงและการนิมนต์พระสงฆ์ให้ไปสวดพระปริตร ไม่ได้ช่วยให้โรคห่าหายระบาดแต่อย่างใดเลย มิหนำซ้ำยังทำให้โรคเกิดระบาดร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงบันทึกถึงคำบอกเล่าในการพระราชพิธีที่ทำนี้ว่า
"...มีเรื่องราวอันเปนที่พฤกพึงกลัวเปนอันมาก เปนต้นว่าคนที่เข้ากระบวนแห่แลหามพระพุทธรูป และพระสงฆ์เดินไปกลางทางก็ล้มลงขาดใจตาย ที่กลับมาถึงบ้านแล้วจึ่งตายก็มีมาก แลตั้งแต่ตั้งพิธีแล้วโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบร้ายแรงหนักขึ้น…คนทั้งปวงก็พากันลงว่าเพราะการพิธีนั้นสู้ผีไม่ได่ ผีมีกำลังกล้ากว่า ตั้งแต่ทำพิธีอาพาธพินาศในปีมะโรงโทศกนั้น ไม่ระงับโรคประจุบันได้ ก็เปนอันเลิกกันไม่ได้ทำอิกต่อไป..."
อาตมาเห็นข่าวที่สำนักงานพุทธเสนอจะให้มีการจัดสวดมนต์เพื่อขับไล่โรคโควิค หรือแม้แต่ที่อ้างว่า เพื่อเป็นการให้กำลังใจอะไรก็ตามแต่ คืออาตมาอยากให้ดูอดีตเป็นตัวอย่างบ้างนะ
คนโบราณยังเข้าใจเลยว่าโรคภัยนั้น "...เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้…” แล้วพวกเราซึ่งเกิดในยุคนี้ ทำไมจึงยังจะทำในสิ่งที่คนโบราณท่านเคยลองทำแล้วและไม่เป็นผลอีก
การอ้างแต่เรื่องความสบายใจ อาตมาเห็นว่าควรระมัดระวังมาก อย่าให้มันเป็นยากล่อม ทำให้คนเมินเฉยที่จะไม่ตระหนักถึงการป้องกันการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเป็นเหตุเป็นผล องค์กรทางศาสนาพุทธควรเป็นแบบอย่าง เหมือนที่โบสถ์คริสต์บางแห่งเขาทำกันแล้ว กิจกรรมใดที่จะต้องอาศัยการรวมตัว หรืออยู่ด้วยคนหมู่มาก กิจกรรมนั้นควรยกเลิกเสีย
ถ้าจะเอาเรื่องการสร้างขวัญกำลังใจเป็นสำคัญ อาตมาเห็นว่า การภาวนาและการส่งความปรารถนาดีเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันสวดมนต์ หรือชุมนุมกันทำกิจกรรมใดๆ อันจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่มากขึ้น
ขอให้ได้ลองพิจารณาดู
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/paivan01/posts/898949137204099