ดับเจ้าพ่อภาคตะวันออก◾ตอนที่ 2◾เสี่ยจิว
๑๐ กว่าปีหลังผ่านเส้นกึ่งพุทธกาล นายเกียง
จึงประเสริฐ หรือหลงจู๊เกียง เสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ มรณกรรมของ
หลงจู๊เกียง นอกจากจะเป็นการ ปิดตำนาน เจ้าพ่อเมืองชลรุ่นแรกยังเป็นการ เปิดตำนาน เจ้าพ่อเมืองชลรุ่นใหม่ รุ่นที่นิยมบู๊ล้างผลาญ พูดด้วยปืนคุยด้วยระเบิด
ครั้งยังมีลมหายใจ หลงจู๊เกียง เป็นเจ้าของธุรกิจมากมายในภาคตะวันออกทั้งโรงเลื่อย โรงสี
สวนผลไม้ และไร่กสิกรรม ด้านทรัพย์ศฤงคารว่ากันว่าล้นฟ้า ขณะที่ด้านอิทธิพลบารมีก็ถึงขั้นล้นแผ่นดิน ระดับเข้านอกออกในบ้านจอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นผู้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้ทุกตารางนิ้วของเมืองไทยในสมัยนั้นได้อย่างสบายๆ ล้นฟ้าล้นแผ่นดินขนาดไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลา
ทว่ากลางความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานบนแผ่นดินภาคตะวันออกของ หลงจู๊เกียง มีดาวรุ่งคนหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นดาวดวงใหม่ที่เปล่งประกายรัศมีอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่ารุ่นพี่หมดเขี่ยวเล็บเมื่อไหร่พร้อมจะปีนข้ามแซงขึ้นหน้าทันที ดาวรุ่งดวงใหม่คนนี้คือ นายจุมพล สุขภารังษี หรือเสี่ยจิว
กว่าจะมาเป็นเสี่ย ด.ช.จิวต้องปากกัดตีนถีบหนักเอาเบาสู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตรอดตามความเป็นจริงของลูกคนจีนโพ้นทะเลที่มาเมืองไทยเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ความโชกโชนของชีวิต ความแกร่งกล้าของประสบการณ์ ผนวกกับความใจสู้ใจถึงชนิดเกิน ๑๐๐% ความรู้แค่ชั้น ป.๔ ไม่สามารถสกัดกั้นจิวให้ไปสู่คำว่าเสี่ยแล้วยกระดับขึ้นสู่ทำเนียบเจ้าพ่อเอาไว้ได้ ขณะหลงจู๊เกียง นั่งบัลลังก์เจ้าพ่อเมืองชลมีสมุนบริวารมากมายพินอบพิเทา มีความสุขบนกองเงินกองทอง เสี่ยจิว ยังเป็นแค่ไอ้จิว ยึดอาชีพไอ้หนุ่มตังเก มีเรือเป็นบ้านมีน้ำเป็นเพื่อนอย่างไม่รู้อนาคต กระทั่งพลิกผันตัวเองขึ้นบกมาประกอบอาชีพพ่อค้าหมู
จากอาชีพพ่อค้าหมูก็ค่อยๆ จับนั่นนิดจับนี่หน่อยไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็น เสี่ยจิว สมใจมีกิจการหลายอย่างไม่น้อยหน้าเสี่ยคนอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่ดินเติบโตพรวดพราดทำเงินทำทองให้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งยังไม่นับธุรกิจของเถื่อน ที่ในเวลาต่อมาผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองต่างยกให้ เสี่ยจิว เป็นหนึ่ง
สำหรับธุรกิจที่ดิน พ.ศ. นั้น แม้แต่เด็ก ๒ ขวบในภาคตะวันออกยังรู้ว่า หลงจู๊เกียง ผูกขาดเพราะไม่เฉพาะเมืองชล ที่ดินผืนงามทำเลทองของระยอง, จันทบุรี และตราด ต่างตกอยู่ภายใต้อุ้งมือทั้งหมด ด้วยสำนึกในใจที่ว่า ปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็งเสี่ยจิวจึงเดินนโยบายไม่ปะทะ ยอมได้ยอม เลี่ยงได้เลี่ยง กระทั่งสวรรค์มีบัญชาให้หลงจู๊เกียง ลงจากบัลลังก์อย่างชั่วนิรันดร์วันที่ผืนดินกลบร่างก็คือวันที่เสี่ยจิวประกาศก้องในใจ...ถึงเวลาของข้าแล้ว
วันเดียวกันนั้น นายนคร จึงประเสริฐ ทายาทหลงจู๊เกียง ที่ยอมตัดสินใจสละเครื่องแบบปลัดอำเภอ จังหวัดแม่ฮ่องสอนมารับช่วงดูแลธุรกิจนับร้อยนับพันแห่งทั่วภาคตะวันออกของบิดาร่วมกับนายประเสริฐ จึงประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านในอำเภอบ้านบึง ชลบุรีผู้พี่ชายต่างมารดาก็ประกาศนั่งบัลลังก์
เจ้าพ่อ สืบแทนผู้ให้กำเนิด
สำหรับนายประเสริฐ จึงประเสริฐ บุคลิกลีลาท่าทางเป็นเจ้าพ่อเต็มตัว แต่ออกไปทางลูกทุ่ง นิยมแต่งตัวเลียนแบบคาวบอยสไตล์ชุดหนังดำ สวมหมวกปีกกว้าง คาดเข็มขัดปืน สวมรองเท้าบู๊ตทรงสูง มือซ้ายถือแส้มือขวาถือปืน ส่วนนายนคร จึงประเสริฐ ผู้น้อง เลือดเจ้าพ่อเข้มข้น บุคลิกแข็งกร้าว มุทะลุดุดันตามสไตล์อัลคาโปน และเพื่อประกาศตัวให้ผู้คนได้รู้จักทายาท
หลงจู๊เกียง ลงทุนจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ที่อำเภอพนัสนิคม ชลบุรี เนื่องจากเวลานั้นเสียงร่ำลือนายเฉลิมชัย เจริญสุข หรือ #ผู้ใหญ่เอี๊ยก บริวารมือขวาหลงจู๊เกียง ผงาดบนตำแหน่งหมายเลข ๑ ของภาคตะวันออกเป็นที่เรียบร้อย
งานวันนั้น ข้าราชการ นายทุน พ่อค้า นักธุรกิจ และนักเลงน้อยใหญ่เดินทางไปเสริมบารมี
นคร จึงประเสริฐ ล้นหลามบรรดาสมุนเก่าแก่
หลงจู๊เกียง ที่แตกกระซ่านกระเซ็นไปส่องสุมกำลังที่ป่าแดง-ทุ่งเ...ยงต่างแบกอาวุธสงครามเข้าอวยพร นายน้อย คับคั่ง บรรยากาศน่าเกรงขามดีแท้ ทว่าหลังเลิกราเกิดคำถามกับผู้คนที่มาร่วมงานหลายต่อหลายคนว่า...ใครยอมรับบ้าง?
มิเพียงเท่านั้น งานระดับอภิมหายิ่งใหญ่ระดับเปิดตัว เจ้าพ่อ ที่ใครต่อใครไม่กล้าไม่ไปร่วมงาน
กลับไม่มีเงาเสี่ยจิวปรากฏในงาน การแสดงออกเช่นนี้คนในวงการรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร
สิ้นหลงจู๊เกียงไปคนทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่ว่าวงการเจ้าพ่อ วงการเมือง รวมทั้งความสงบสุขของตระกูล “จึงประเสริฐ” ธุรกิจนับร้อยนับพันที่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลถูกฝ่ายตรงข้ามรุกคืบอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ผลประโยชน์ที่เคยได้รับลดน้อยถอยลงตามลำดับ ในทางตรงกันข้ามเสี่ยจิว กลับโตวันโตคืนผลประโยชน์ไหลมาเทมา ควบคู่กับ #ดาวเพชฌฆาต ในตัวลุกวาวร้อนแรง ว่ากันว่าบนแผ่นดินเมืองชลยามนั้นราศี
เสี่ยจิว เหนือกว่าใครๆ
เมื่อตกเป็นฝ่ายรับจนทำท่าโคมา ๒ ผู้กุมบังเหียน “จึงประเสริฐ” รีบแก้เกมวางหมากสู้ไว้ลายทายาท หลงจู๊เกียง ผู้มีสายเลือดเจ้าพ่อเข้มข้น ปฏิบัติการตอบโต้ทุกรูปแบบ แรงมาแรงไป เบามาก็ยังต้องแรงไป ไม่มีคำว่าถอยหลังแต่ยังไม่ทันรู้ว่าแพ้หรือชนะเสียงปืนก็ระเบิดขึ้น นคร จึงประเสริฐ
ถูกมือปืนฮิปปี้ บุกกระหน่ำยิงตายสยองคาบันไดศาลากลางจังหวัดชลบุรี ขณะเตรียมเดินมาขึ้นรถ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เพราะทูตมัจจุราชกระทำการสุดอุกอาจยิ่งกว่าหนังก๊อดฟาเธอร์ ผลงานชิ้นนี้ส่งเสริมให้มือปืน ฮิปปี้ ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว กลายเป็นนักฆ่าระดับหัวแถว แล้วต่อมาวันเวลาก็ให้คำตอบว่ามือปืนฮิปปี้ผู้นี้คือใคร
ตระกูล “จึงประเสริฐ” สูญเสียหัวเรือใหญ่ ๒ คนภายในเวลาไม่ห่างกันนัก ทุกสิ่งทุกอย่างถึงระส่ำระสายคละเคล้ากับความโศกเศร้าเสียใจจะว่านรกชังหรือสวรรค์แกล้งไม่ทราบได้ ยังไม่ถึง ๑๐๐ วันของการจากไปของนครหัวเรือใหญ่คนที่ ๓ ก็สิ้นชื่อ ประเสริฐ จึงประเสริฐ ถูกยิงตายสยดสยองไม่แพ้น้องชายบริเวณหน้าศูนย์การค้า
การุณนิเวศน์ ชลบุรี ๒ ศพผ่านไป แต่ “จึงประเสริฐ” ยังไม่พ้นคราวเคราะห์ ลูกปืนจากปากกระบอกนานาชนิดกระชากวิญญาณไปอีกชนิดแทบหมดตะกูล ทั้งประสิทธิ์, ประสงค์ และแฉล้ม #คุณนายหลงจู๊เกียง แม่ของนครที่ไปรอบนสวรรค์ก่อนหน้า
ท่ามกลางเสียงปืน กลิ่นคาวเลือด และความตายของคนตระกูล “จึงประเสริฐ” บัลลังก์เจ้าพ่อ
ตกเป็นของหนุ่มใหญ่ร่างมหึมานามเสี่ยจิว ชนิดไร้คู่ต่อกร และไม่เฉพาะเมืองชลเท่านั้น ตะวันออกทั่วทั้งภาคล้วนตกอยู่ภายใต้ความยิ่งใหญ่เสี่ยจิว ช่วงเป็นดาวรุ่งยุคปี ๒๕๐๐ เสี่ยจิว เริ่มก้าวสู่วงการเมืองด้วยการเป็นหัวคะแนนคนสำคัญถึงขั้นเกินถือกระเป๋าหาเสียงให้กับนายธรรมนูญ เทียนเงิน อดีต ส.ส.ชลบุรี และ ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกรุงเทพฯ
ในอีกไม่กี่ปีต่อมา หมดยุคนายธรรมนูญ เทียนเงิน ก็เป็นช่วงที่เสี่ยจิว ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับคนตระกูล “จึงประเสริฐ” เพื่อแย่งชิงบัลลังก์เจ้าพ่อ เลยทำให้ห่างเหินวงการเมืองไปพักใหญ่ๆ กระทั่งครองบัลลังก์หมายเลข ๑ ภาคตะวันออกสมใจ ปี ๒๕๑๙ จึงหวนกลับสู่สิงที่รักที่ชื่นชอบอีกคำรบ
เสี่ยจิว เริ่มบนถนนการเมืองภาค ๒ ด้วยการเป็นหัวคะแนนใหญ่ให้กับนายบุญชู โรจนเสถียร อดีตรองหัวหน้าพรรคกิจสังคม และรองนายกรัฐมนตรี การกลับมาภาคใหม่แตกต่างรางฟ้ากับดินหากเปรียบเทียบกับเมื่อปี ๒๕๐๐ เนื่องจากเสี่ยจิว สามารถใช้อิทธิพลบารมีที่มีอยู่ล้นเหลือสนับสนุนให้นายบุญชู โรจนเสถียรได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ เมืองชลท้ังๆ ที่ พ.ศ. นั้นถือว่าหน้าใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ปล่อยให้ พล.ต.ศิริ ศิริโยธิน ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย ส.ส.เมืองชลหลายสมัยสอบตกอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ พล.ต.ศิริ พ่ายแพ้คือ นายเจตน์ ศรีรุ่งสุขจินดา หรือเสี่ยงำ เจ้าของคิวรถคอนซูลสายชลบุรี-กรุงเทพฯ และหุ้มส่วนใหญ่แซมเปญไนท์คลับ หัวคะแนนใหญ่พรรคชาติไทยและเป็นพวกเดียวกับตระกูล “จึงประเสริฐ” ถือมือพระกาฬถล่มด้วนเอ็ม-๑๖, อาก้า และลูกซองสิ้นชื่อคาคิวรถอันเสมือนถ้ำตัวเอง ใครคือมือพระกาฬเหล่านั้น และใครบงการอยู่เบื้องหลังไม่มีใครกระชากหน้ากากออกมาได้ แต่ที่แน่ๆ การเลือกตั้งสมัยต่อมา พล.ต.ศิริ ยอมเป็นฝ่ายเข้าหา เสี่ยจิว ถึงคฤหาสน์ และขอย้ายจากเขต ๑ หนีไปเขต ๒ กระทั่งได้รับเลือกตั้งในที่สุด
นอกจากผลักดันสนับสนุนนักการเมืองให้ได้รับเลือกตั้งมาทุกสมัยแบบไม่มีพลาด เสี่ยจิว
ยังสร้างสมฐานการเมืองให้ตัวเองด้วยการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานลูกเสือชาวบ้านภาคตะวันออก มีสามชิกเรือนแสนเรือนล้านคนไม่เท่านั้น กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นทั้งของ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกคนในชลบุรีต่างวิ่งเข้าหาบันไดไม่แห้ง ขึ้นชื่อว่ามนษย์ปถุชนไม่มีใครปฏิเสธลาภยศ สรรเสริญ เสี่ยจิว ก็เช่นกันแม้จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม โดยเฉพาะทรัพย์สินเงินทองเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก ๑๐ ชาติก็ยังเหลือเป็นกระบุง แต่ก็ไม่อาจหนีความ อยากไปได้ เจ้าพ่อภาคตะวันออกทะเยอทะยานวาดฝันว่าจะต้องเป็น ส.ส.เมืองชลในการเลือตั้งปี ๒๕๒๖
การเป็น ส.ส.เมืองชลของ เสี่ยจิว ในสมัยนั้น
ถ้าบอกว่าพลิกฝ่ามือยังยากกว่าคงไม่เกินไปนัก แต่เจ้าพ่อภาคตะวันออกคงจะบุญไม่ถึงเพราะเช้าตรู่วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ ทีมเพชฌฆาตถล่มอาวุธสงครามนานาชนิดกระชากวิญญานออกจากร่างคารถเบนช์ ๒๘๐ เอส ทะเบียน ชบ.๘๘๘๘ บนถนนสายตำบลหนองไม้แดง-ตำบลบางทราย เมืองชลบุรี จบชีวิตด้วยวัยเพียง ๕๔ ปี ประเด็นสังหารที่เจ้าที่พุ่งเป้าไปหาคือ เรื่องขัดผลประโยชน์เหมืองแร่พลวง บริเวณกิ่งอำเภอบ่อทอง ชลบุรี สมมติฐานมาจาก เสี่ยจิว เข้าไปแย่งชิงผลประโยชน์เหมืองแร่ของบริษัทสหบ่อทองพัฒนา ซึ่งได้รับสัปทานอย่างถูกต้องตามกฏหมายจากกรมทรัพยากรธรณี และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ด้วยการซื้อแร่จากประชาชนตัดราคาแล้วไปขายในตลาดมืด
จากสมมติฐานดังกล่าว เมื่อนำมาประมวลกับเหตุการณ์ในอดีตช่วง เสี่ยจิว ก้าวขึ้นนั่งบัลลังก์เจ้าพ่อภาคตะวันออกแทน หลงจู๊เกียง ซึ่ง เสี่ยจิว ใช้ความรุนแรงโค่นคนตระกูล “จึงประเสริฐ” ไปคนแล้วคนเล่า และที่สำคัญที่สุด หุ้นส่วนส่วนใหญ่ในบริษัท สหบ่อทองพัฒนาล้วนเป็นบริษัทในเครือ “จึงประเสริฐ” ทั้งสิ้น ความที่ถูกเหยียบมาตลอดจึงน่าเชื่อว่าล้างแค้น เสี่ยจิว ให้สิ้นชื่อ
กล่าวถึงแร่พลวง ทรัพย์ใต้ดินอันล้ำค่าที่ทำให้มนุษย์ถึงหน้ามืดตามัวขนาดฆ่าแกงกันเพื่อเป็นเจ้าของ ได้รับการค้นพบที่กิ่งอำเภอบ่อทอง ระหว่างปี ๒๕๐๓-๒๕๐๔ ขณะตระกูล
“จึงประเสริฐ” ยังมากอิทธิพลบารมี และเสี่ยจิว
ยังเป็นแค่พ่อค้าหมูธรรมดาๆ โดยนายประโยชน์ เนื่องจำนวค์ อดีต ส.ส.ชลบุรี กับ พ.อ.ประยงค์ เฉลิมสุข (ยศขณะนั้น) เข้าไปทำไม้บริเวณป่าทึบ ปรากฏว่าวันหนึ่งรถบรรทุกไม้เกิดติดหล่ม บรรดาคนรถช่วยกันขนหินไปหนุนล้อรถ และเกิดความสงสัยว่าทำไมหินจึงมีน้ำหนักมากผิดปกติ ต่อมานายประโยชน์ เนื่องจำนงค์ จึงส่งหินดังกล่าวให้กรมทรัพยากรธรณีวิเคราะห์ปรากฏว่าผลการวิเคราะห์สรุปว่าหินดังกล่าวเป็นแร่พลวง ทำให้เจ้าของก้อนหินล้ำค่าถึงกับปิดเรื่องเป็นความลับ พร้อมๆ กับหาลู่ทางทำแร่และหาตลาดส่งขาย
แต่ความลับไม่มีในโลก ไม่นานนักข่าวก็แพร่สะพัดผู้คนพากันอพยพเข้าไปขุดแร่อย่างมากมาย
ต่อมากรมทรัพยากรธรณีต้องการให้บริษัทเอกชนเข้ารับสัมปทานอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งมีบริษัทต่างๆ ถึง ๒๘ บริษัททำเรื่องยื่นขอสัมปทานบัตร แต่ชาวบ้านที่อพยพเข้าไปปักฐานสร้างฐานเห็นว่าหากให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานพวกตนเดือดร้อนแน่
จึงร่วมกันจัดตั้งบริษัทมหาชนขึ้นในชื่อ สหบ่อทองพัฒนา
บริษัท สหบ่อทองพัฒนา มีหุ้นทั้งหมด ๕๐,๐๐๐ หุ้น หุ้นละ ๑๐๐ บาท โดยชาวบ้านที่อพยพเข้ามาทำแร่ในบริเวณนั้น ๓,๑๒๕ ครอบครัว
ถือหุ้น ๓๑,๒๕๐ หุ้น เฉลี่ยกันครอบครัวละ ๑๐ หุ้น รวมเป็นเงิน ๓,๑๒๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก ๑๘,๗๕๐ หุ้น บริษัทในเครือของตระกูล
“จึงประเสริฐ” กับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นบางคนรวมทั้งสิ้น ๗๕ คน ถือหุ้นเฉลี่ยคนละ ๒๕๐ หุ้น
รวมเป็นเงิน ๑,๘๗๕,๐๐๐ บาท กรรมการบริษัท
สหบ่อทองพัฒนา ประกอบด้วย นายเชาว์ บุญรอด นายเฉลิมชัย เจริญสุข หรือ ผู้ใหญ่เอี๊ยก
นายประสิทธิ์ กาญจนบัตร นายบุญฤทธิ์
สิทธิเสมอ นายอุทัย สุภาผล โดยมีนายหลี
ประสมทรัพย์ หรือ กำนันหลี เป็นประธานกรรมการ และนายสุชาติ สุขพันธ์ถาวร หรือ
ผู้ใหญ่ย้ง เป็นกรรมการผู้จัดการ
เมื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนขึ้นมาแล้วชาวบ้านเหล่านี้ก็เดินขบวนเรียกร้องให้จังหวัดออกสัมปทานอนุญาตแก่บริษัท สหบ่อทองพัฒนา เข้าดำเนินการ รัฐบาลสมัยนั้นจึงตั้งคณะอนุญาโตตุลากานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อพิจารณา โดยมี พล.ต.สุตสาย หัสดิน ขณะนั้นทำงานอยู่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน) เป็นประธาน
หลังจาก พล.ต.สุตสาย ได้รับเลือกเป็นประธาน บรรดากรรมการบริษัท สหบ่อทองพัฒนาต่างพยายามวิ่งเข้าหาเพื่อทำความสนิทสนมสร้างผลประโยชน์ให้แก่บริษัท แล้วก็เป็นผลเมื่อ พล.ต.
สุตสาย ออกบัตร กอ.รมน.ให้ถือเป็นบัตรให้คุณให้โทษที่สำคัญในขณะนั้นเพราะสามารถมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองได้ ไม่นานนักคณะอนุญาโตตุลาการมีมติให้ บริษัท สหบ่อทองพัฒนาได้รับสัมปทานทำแร่พลวง จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีด้วยเงื่อนไขต้องแบ่งรายให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๗๐% ของรายได้ทั้งหมด แต่สห่อทองพัฒนาดำเนินกิจการไม่นานนัก กรรมการบริหารบริษัทเกิดปัญหาขัดแย้งกันถึงขั้นแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม และต่างก็หาทางตักตวงผลประโชน์เข้ากระเป๋าตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กลุ่มแรกนำโดยนายสุชาติ สุขพันธ์ถาวร หรือ
ผู้ใหญ่ย้ง ใช้วิธีลักลอบซื้อแร่แข่งกับบริษัท ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวเห็นว่าหากทำในนามบริษัทจะต้องแบ่งส่วนแบ่งให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดถึง ๗๐% กลุ่มที่สอง นำโดยนายเฉลิมชัย เจริญสุข หรือ ผู้ใหญ่เอี๊ยก ใช้วิธีตกแต่งบัญชีในเรื่องการตั้งงบฯค่าใช่จ่าย ตลอดจนช่องทางอื่นๆ ที่สามารถจะทำให้เงินรั่วไหลออกมาได้ เสี่ยจิว จ้องรอจังหวะที่จะสอดเข้ามามีผลประโยชน์ในเหมืองแร่พลวงมานานแล้ว ทันทีที่กรรมการบริหารบริษัท สหบ่อทองพัฒนาแตกเป็น ๒ กลุ่ม จึงแทรกตัวเองเข้าทางผู้ใหญ่ย้ง ด้วยการร่วมมือรับซื้อแร่จากชาวบ้านแย่งกับบริษัท สหบ่อทองพัฒนา ด้วยเหตุนี้ทำให้ ผู้ใหญ่ย้ง กับ ผู้ใหญ่เอี๊ยก และกรรมการบางคนขัดแย้งกันอย่างหนักถึงขั้นแตกหัก เมื่อมีการประชุมกรรมการบริหารคราวใด ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องจวกกันแหลก กระทั่งการประชุมคราวหนึ่ง ผู้ใหญ่ย้ง ถึงกับประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แต่มีกรรมการหลายคนยับยั้งเอาไว้
พฤติการณ์ระหว่าง เสี่ยจิว กับ ผู้ใหญ่ย้ง
ที่ลักลอบซื้อแร่พลวงจากชาวบ้าน ทางฝ่าย
ผู้ใหญ่เอี๊ยก ไม่สามารถหาวิธีการใดมาต้านทานได้จึงรายงานให้ พล.ต.สุตสาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าสนับสนุน ผู้ใหญ่เอี๊ยก ทราบต่อมามีข่าวว่า พล.ต.สุตสายเรียก เสี่ยจิว เข้าเจรจากันที่กรุงเทพฯ แต่ไม่มีข้อตกลงอะไรเกิดขึ้น ความขัดแย้งที่อึมครึมมานานก็ถึงขั้นแตกหัก เมื่อนายเชาว์ บุญรอด กรรมการบริหารฝ่ายเดียวกับ ผู้ใหญ่
เอี๊ยก ถูกยิงตายหน้าบริษัท นายเชาว์คนนี้เป็นน้องชาย คุณนายแฉล้ม ภรรยาคนหนึ่งของ
หลงจู๊เกียง และเป็นนักเลงใหญ่ที่เติบโตมาจากตระกูล “จึงประเสริฐ” พร้อมๆ กับ ผู้ใหญ่เอี๊ยก และพี่สาวผู้ใหญ่ยังเป็นภรรยานายเชาว์อีกด้วย
ภายหลังนายเชาว์ตายไม่นาน นายประสิทธิ์
กาญจนบัตร กรรมการบริษัทอีกคนฝ่าย ผู้ใหญ่
เอี๊ยก ก็ถูกยิงตายขณะยังดำรงตำแหน่งกำนัน และยังเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชลบุรีด้วย
ต่อมาผู้ใหญ่ย้งถูกตอบโต้กลับโดยมือปืนบุกยิงได้รับบาดเจ็บ ผู้ใหญ่ย้งเชื่อว่าผู้บงการสังหารครั้งนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ผู้ใหญ่เอี๊ยก มูลเหตุสำคัญๆ นอกจากเรื่องขัดแย้งในบริษัทแล้ว ยังปีนเกลียวกันเรื่องสมัครรับเลือกตั้งกำนันตำบลบ่อทอง กิ่งอำเภอบ่อทอง ซึ่งทั้งคู่ต่างห็หมายปอง
การเข่นฆ่ายังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่กี่วันต่อมา ผู้ใหญ่เอี๊ยก ถูกมือปืน ๕ คนใช้รถปิกอัพบุกกราดด้วยเอ็ม-๑๖ ขณะกำลังเล่นกับเด็กๆ บริเวณหน้าบ้านตอนเช้า คมกระสุนทำให้ขาข้างหนึ่งเป็นอัมพาตชั่วชีวิต มือปืน ๑ ใน ๕ ที่หวังสังหาร ผู้ใหญ่เอี๊ยก จำได้ว่าชื่อ ต้อง หรือ หรือวินัย สุขแสวง มือปืนประจำตัวนายนพดล สุขภารังษี หรือ ปาน ลูกชายคนเล็ก เสี่ยจิว หลังถูกยิง ๑๐ วัน ในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ เจ้าหน้าที่ตำรวจับกุมนายวินัย สุขแสวง ในข้อหาพาพวกยิง ผู้ใหญ่เอี๊ยก
จากการตรวจค้นตัวพบจดหมาย ๒ ฉบับ ซึ่งปาน เขียนมาจากสิงคโปร์ ฉบับแรกเป็นจดหมายลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ สั่งให้ไปเอาปืนเอ็ม-๑๖ จำนวน ๒ กระบอกที่ผู่ใหญ่บ้านคนหนึ่งในบ่อทอง พร้อมให้ไปเอาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทจากญาติสนิทของ ปาน เพื่อซื้อรถออกมาทำงานล่าสังหารครั้งนี้ อีกฉบับเป็นบัญชีรายชื่อบุคคลที่ ปานสั่งให้เก็บ รวมทั้งหมด ๕ คน ประกอบด้วย ๑.แสวง(ตีไก่) หรือกำนันแสวง จันทวงศ์ หรือ เสือแหวง อดีตมือปืนคนสนิท เสี่ยจิว ที่แตกคอออกไปเป็นกำนันตำบลเกษตรสุวรรณ กิ่งอำเภอบ่อทอง แล้วไปสนิทสนมกับ ผู้ใหญ่เอี๊ยก บัญชีสั่งฆ่ารายที่ ๒ ระบุชื่อ พร เป็นมือปืน ผู้ใหญ่เอี๊ยก รายที่ ๓ ผู้ใหญ่เอี๊ยก รายที่ ๔ นายทม หรือบรรทม เจริญสุข พี่ชายผู้ใหญ่เอี๊ยก และรายที่ ๕ นายวิน(เกาะโพธิ์ประสิทธิ์) มือปืนรบจ้างที่มีคดีพัวพันฆ่านายประสิทธิ์ กาญจนบัตร บุคคลทั้ง ๕ ที่อยู่ในบัญชีสั่งเก็บ ล้วนแต่เป็นผู้มีบทบาทในบริษัท สหบ่อทองพัฒนาและเป็นผู้ต่อต้านผู้ใหญ่ย้งกับเสี่ยจิว จากการที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายวินัย สุขแสวง และค้นพบบัญชีสั่งเก็บฝ่ายตรงข้ามดังกล่าว อีก ๒๐ วันต่อมา เสี่ยจิว ก็เหลือเพียงชื่อ!
หลังมรณกรรม เสี่ยจิว วันรุ่งขึ้น ปาน ทายาทคนเล็กที่เจ้าพ่อภาคตะวันออกส่งตัวไปอยู่ที่สิงคโปร์เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากอาศัยอิทธิพลบารมีพ่อก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเดินทางกลับเมืองชล และยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมทันทีที่เหยียบแผ่นดินเกิดก็ประกาศกร้าว จะตามล้างแค้นคนฆ่าพ่อให้หมดโดยเฉพาะบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชี วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๗ กำนันแสวง หรือ #เสือแหวง ๑ ในบัญชีสั่งเก็บถูกมือปืนชุดเขียว ๕ คน แยกเป็น ๒ ชุดบุกถล่มด้วยอาวุธระเบิดมือ และเอ็ม-๑๖ ตายสยอง พร้อมมือปืนคู่ใจ ๓ คน คือ นายเล็ก มินา นายสายชล มินา และนายเชื้อ ศรีเรือง ขณะเดินออกจากบ่อนไก่นายสำเนียง รัตนะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านบึง
ปาน ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เช้าวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. เสียงปืนกลดังกระหึ่มอีกครั้งบนถนนสุขุมวิทระหว่าง ก.ม. ๑๔๐-๑๔๑ ท้องที่ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง ชลบุรี ห่างจากสถานีตำรวจบางละมุงเพียง ๑๐๐ เมตร หลังสิ้นเสียงปืน รถเบนซ์ ๒๘๐ คันเดียวกับที่ เสี่ยจิว ถูกยิงสิ้นชื่อถลำตกลงคูน้ำข้างทาง สภาพพรุนทั้งคัน กระจกหน้าและกระจกข้างแตกละเอียด ทายาทคนเล็ก เสี่ยจิว นอนฟุบตายอนาถคาเบาะ ศรีษะแหลกใบหน้าหายไปทั้งแถบ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ๕ คน คือ นางปัทมา สุขภารังษี ภรรยา ปาน ที่กำลังตั้งท้อง ๖ เดือน ถูกกระสุนเข้าแกมขวาเนื้อหายไปทั้งแถบพร้อมจมูก และกระสุนอีกนัดยังเจาะเข้าท้องฟุบข้างๆ ร่างสามี
เบาะหลังมีร่างโชกเลือดของนางศักดิ์ศรี และนางฉวีวรรณ สินธุสาร เพื่อนสนิททายาทเจ้าพ่อภาคตะวันออก, เด็กชายปิยวุฒ สุขภารังษี อายุ ๓ ขวบ บุตรและหลานชาย ปาน ตามลำดับ ปาน ทายาทเจ้าพ่อผู้นี้ เริ่มประวัติร้ายกาจด้วยการเข้ามาคลุกคลีกับบรรดามือปืนลูกน้อง เสี่ยจิว ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และอาศัยอิทธิพลบารมีพ่อผงาดขึ้นมาในวงการ เจ้าพ่อเมืองชล ก่อเรื่องวุ่นวายสร้างความเดือดร้อนเป็นประจำ แต่ก็ได้ เสี่ยจิว คอยแก้ปัญหาเคลียร์เรื่องต่างๆ ให้ ก่อนส่งไปอยู่สิงคโปร์
เมื่อไม่มีพ่อคอยคุ้มกะลาหัว ปาน ก็สิ้นชื่อตามแบบฉบับ เจ้าพ่อด้วยอายุเพียง ๒๗ ปี บัลลังก์เจ้าพ่อเมืองชล แม้จะชะโลมด้วยเลือดเซ่นด้วยวิญญาน แต่ใครต่อใครต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาครอบครองแม้จะแลกด้วยชีวิตก็ไม่หวั่น จากหลงจู๊เกียง มายังเสี่ยจิว จนถึง เจ้าพ่อคนปัจจุบัน
เสียงปืนและความตายยังอยู่คู่บัลลังก์แห่งนี้