หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ปูมหลัง 'โสเภณี' ในสยามประเทศ

โพสท์โดย Fukurou

ปูมหลัง 'โสเภณี' ในสยามประเทศ

เขียน: พีรทรัพย์ วิชิตรัชนีกร และ วรรษชล คัวดรี้

     ในสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น สยามเมืองยิ้ม และซ่องโสเภณีแห่งเอเชียในเวลาเดียวกัน เพราะนอกจากการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับธรรมชาติอันสวยงามแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิงทางเพศที่มีชื่อเสียง จากการมีสถานบริการทั้งในรูปแบบของโรงแรมม่านรูด ร้านอาบ อบ นวด ทั้งในกรุงเทพมหานคร ตลอดจน ‘ย่านโลกีย์’ ชื่อดังตามหัวหัวเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ พัทยา และภูเก็ต

     แต่จากภาพโคมแดง โคมเขียว และหญิงสาวนุ่งน้อยในเมืองหลวงที่เราพบเห็นจนชินตานั้น แท้จริงแล้วการมีอยู่ของโสเภณีที่หยั่งรากลึกในประเทศไทยมีจุดกำเนิดมาจากอะไร? และท่ามกลางการถกเถียงระหว่างนักอนุรักษนิยมเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและนักวิชาการเกี่ยวกับการขับเคลื่นเพื่อให้โสเภณีในประเทศถูกกฎหมาย ทิศทางของการให้บริการทางเพศในประเทศควรเดินทางไปสู่จุดไหนกันแน่?

จุดกำเนิดของโสเภณีในประเทศไทย

     หากนั่งไล่ประวัติศาสตร์ของโลก หลากหลายสำนักมีหลักฐานกล่าวว่า โสเภณีในอดีตจริงๆ แล้วมีจุดกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนา ในช่วงแรกการเสียพรหมจารีถือเป็นการเสียสละเพื่อความศรัทธา เพื่อความเชื่อมากกว่าการกระทำสนองความต้องการทางโลกดังเช่นปัจจุบัน

 

 

     ซึ่งเมื่อพูดถึงเหตุผลทางโลกจากหลักฐานที่จับต้องได้ จุดกำเนิดของโสเภณีในประเทศไทยจึงอาจสืบย้อนไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยในช่วงต้นพัฒนามาจากผู้หญิงที่ตกเป็นทาส ดังหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ว่าด้วยบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี เช่น พระไอยการลักษณะลักพา พ.ศ.1901 พระไอยการลักษณะผัวเมีย พ.ศ.1904 กล่าวถึงหญิงที่มาประกอบอาชีพโสเภณีนั้น ล้วนพัฒนามาจากการเป็นนางทาส ทั้งที่เป็นทาสจากการเป็นเชลยสงคราม ถูกนำมาจากเมืองประเทศราช ตลอดจนหญิงที่มีฐานะยากจน ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากสภาพสังคมไทยปกครองด้วยระบบเจ้าขุนมูลนาย อันเอื้อต่อการทำให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ทำให้ผู้หญิงส่วนมากต้องกลายเป็นข้าทาสบริวาร ซึ่งทำให้พวกเธอถูกมองไม่ต่างจากสิ่งของ ซ้ำยังถูกเอารัดเอาเปรียบโดยเฉพาะเรื่องเพศ จนต้องกลายเป็นโสเภณีในที่สุด

     ต่อมาเมื่อเริ่มมีการค้าโสเภณี เพื่อควบคุมการค้าและสร้างรายได้ให้แผ่นดิน ทางการได้กำหนดให้มีการจดทะเบียนการค้าประเวณีเพื่อเสียภาษี ดังจดหมายเหตุของลาบูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงความชอบธรรมของขุนนางและนายเงิน ในการที่จะเกณฑ์ให้หญิงและเด็กหญิงที่ตนได้ซื้อมานั้น สามารถนำมาค้าประเวณีได้ เพียงแต่การค้าประเวณีดังกล่าวจะต้องเสียเงินถวายพระมหากษัตริย์ โดยตำแหน่งขุนนางที่ค้าประเวณีนั้น มีปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุความตอนหนึ่งว่า

     “บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์นั้น หาใช่เจ้าใหญ่เจ้านายโตเสมอไปไม่ เช่น เจ้ามนุษย์อัปรีย์ที่ซื้อผู้หญิงและเด็กสาว มาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็น ออกญา เรียกกันว่า ออกญามีน (Qc-ya Meen) เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามกเท่านั้นที่ไปติดต่อด้วย...”

 

 

     ล่วงเข้าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จากการมีชาวจีนอพยพเข้ามาในเมืองจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่ไม่มีหรือไม่ได้นำครอบครัวมาด้วย และต้องทำงานหนักจากการเป็นแรงงาน หรือกรรมกรแบกหามขนส่งสินค้าภายในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความต้องการโสเภณีขึ้น การค้าโสเภณีจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนมีการตั้งหอนางโลมหรือโรงโสเภณีขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนนั่นเอง อันทำให้สำเพ็งกลายเป็นแหล่งโสเภณีที่มีชื่อเสียง ถึงกับปรากฎคำสแลงว่า นางสำเพ็ง ซึ่งหมายถึงหญิงที่ค้าประเวณีหรือประพฤติตนในทางสำส่อน และชายที่ชอบเที่ยวหญิงโสเภณีว่า เจ้าชู้สำเพ็ง

โคมเขียวแห่งสำเพ็ง

     สำหรับผู้ริเริ่มตั้งโรงโสเภณีขึ้นคือ ยายแฟง เศรษฐินีในย่านสำเพ็ง โดยวิธีที่จะหาผู้หญิงเข้ามาทำงานคือ รับซื้อหญิงที่มีฐานะยากจนหรือมีคนนำมาขาย เข้ามาไว้เป็นทาส บ้างก็รับเอาหญิงที่เคยมีประวัติชู้สาวเข้ามา หรือแม้กระทั่งรับเอาคนที่สมัครใจเข้ามาทำเองก็มี โดยจะมีการติดโคมกระจกสีเขียวหน้าโรงโสเภณี เพื่อบ่งบอกเป็นเครื่องหมาย จนมีการเรียกโสเภณีอีกชื่อหนึ่งว่า หญิงโคมเขียว แม้โรงโสเภณีจะสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากมีคนใช้บริการมาก แต่โรคติดต่อทางเพศที่เกิดจากการร่วมประเวณี ก็ได้ทำให้นางโลมเหล่านี้ต้องเสียชีวิตไปไม่น้อย ยายแฟงจึงได้สร้างวัดแห่งหนึ่ง เพื่อนำกำไรที่ได้มาอุทิศส่วนกุศล วัดแห่งนี้ชาวบ้านจึงเรียกกันอย่างติดปากว่า วัดใหม่ยายแฟง หรือนามอย่างเป็นทางการว่า วัดคณิกาผล อันแปลว่า ผลที่สร้างขึ้นด้วยทรัพย์ของหญิงโสเภณี โดยปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามสถานีตำรวจพลับพลาไชย

ภาพวัดคณิกาผลในปัจจุบัน

     ถึงแม้โสเภณีส่วนใหญ่มาจากการเป็นทาส แต่เมื่อมีการประกาศเลิกทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กลับยิ่งทำให้โสเภณีมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากหญิงสาวถึงแม้จะเป็นไทแก่ตัว แต่เพราะไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้รับการศึกษา และไม่มีเงินทุนในการนำไปตั้งตัว ทำให้สุดท้ายก็ต้องตกเข้าสู่วังวนของการค้าประเวณี โดยในช่วงเวลาเดียวกัน จากการมีผู้หญิงชาวจีนโดยเฉพาะจากมณฑลกวางตุ้งเข้ามาค้าประเวณีจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติสัญจรโรค ร.ศ. 127 ที่ให้โรงโสเภณีแต่ละแห่งจะต้องขึ้นทะเบียนโสเภณีในสังกัดของตน เพื่อเก็บภาษี ตลอดจนเพื่อการตรวจโรค ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ

     การออกพระราชบัญญัติดังกล่าวทำให้โสเภณีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนสร้างรายได้ให้แก่แผ่นดิน ทั้งยังเปรียบเสมือนการรับรองการค้าประเวณีภายในประเทศอย่างกลายๆ ด้วย จนธุรกิจค้าประเวณีได้รับความนิยมอย่างมาก โดยใน พ.ศ.2452 ปรากฏว่ามีโรงโสเภณีจดทะเบียนที่ตั้งอยู่ในสำเพ็งมากถึง 40 แห่ง ขณะที่รายชื่อของโสเภณี มีการจดทะเบียนแบ่งตามสัญชาติเป็นหญิงจีน 1,441 คน หญิงไทย 950 คน หญิงเวียดนาม 58 คน หญิงลาว 50 คน

     ผู้หญิงที่ประกอบอาชีพเป็นโสเภณี ในช่วงแรกอาจมีแต่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ภายหลังเมื่อสถานการณ์โลกได้ทำให้มีผู้คนจากชนชาติอื่นเข้ามาพำนักอาศัยภายในประเทศ ก็ได้ทำให้อาชีพนี้กระจายตัวไปทั่วภูมิภาคของประเทศ เริ่มตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพที่กาญจนบุรี เพื่อบุกพม่าเข้าตีอังกฤษ จากนโยบายบ้านพักผ่อน ที่ทหารญี่ปุ่นจะนำหญิงสาวจำนวนหนึ่ง มาเป็นนางบำเรอประจำกองทัพ ผู้หญิงไทยจำนวนหนึ่งก็ได้กลายเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่นด้วย โดยมีทั้งที่เกณฑ์มาจากกรุงเทพฯและภายในกาญจนบุรีเอง ซึ่งมีทั้งที่เป็นโสเภณีอยู่แล้ว และหญิงสาวชาวบ้านในละแวกนั้น

     ขณะที่เมื่อกองทัพสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพื่อทำสงครามเวียดนาม ใน พ.ศ.2519 ก็ยิ่งทำให้หญิงไทยจำนวนมากเข้าสู่การค้าบริการทางเพศมากขึ้น ส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการสนองตอบต่อความต้องการของทหารสหรัฐฯแล้ว ยังเกิดจากปัญหาความยากจนในชนบท ทำให้ชาวบ้านจำต้องขายลูกเพื่อค้าประเวณีหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ขณะที่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาครอบครัว การมีภาระหนี้สิน ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้หญิงสาวและเด็กส่วนหนึ่งต้องกลายเป็นโสเภณี โดยปัญหาข้างต้นยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่กลายเป็นโสเภณีมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเปลี่ยน (ที่ไม่ได้เปลี่ยน) ของโสเภณีในประเทศไทย

     จะเห็นได้ว่าจากเดิมที่การค้าประเวณีแบบจดทะเบียนสร้างรายได้ให้กับประเทศแบบเป็นกอบเป็นกำ การประกอบธุรกิจดังกล่าวกลับมีผลเสียอื่นๆ ตามมาอีกมาก จริงอยู่ว่าการออกกฎหมายควบคุมอายุขั้นต่ำของหญิงสาวให้บริการและการตรวจโรคถือเป็นการออกกฎหมายเพื่อป้องกันผลกระทบของการขายบริการ แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีหญิงต่ำกว่าเกณฑ์แอบเข้ามาหรือจะไม่มีการติดเชื้ออีก นี่เป็นเพียงแค่ปัญหาเบื้องต้น เพราะหากมองให้ลึก จำนวนเม็ดเงินที่ทำได้มหาศาลยังเย้ายวนเชื้อเชิญให้เกิดธุรกิจการค้ามนุษย์ การเปิดธุรกิจดังกล่าวเพื่อฟอกเงิน ไหนจะว่าด้วยเรื่องของสิทธิมนุษยชน และการรณรงค์เรื่องการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่สหประชาชาติกำลังรณรงค์ในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลไทยจึงป้องกันปัญหาและสนับสนุนเจตนารมณ์ของสหประชาชาติด้วยการประกาศใช้ พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มีใจความว่า ให้การค้าประเวณีนั้นถือเป็นความผิดอย่างสมบูรณ์

     แต่ถึงจะมีการปราบปรามก็ใช่ว่าปัญหาการค้าประเวณีจะหมดไปจากประเทศไทย เพราะในปี พ.ศ.2509 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติสถานบริการขึ้นใหม่ และนั่นเป็นช่องโหว่ให้การค้าประเวณีออกมาในรูปแบบแอบแฝงแทนที่จะจัดระเบียบให้ถูกกฎหมาย การแอบแฝงที่ว่าคือรูปแบบธุรกิจที่เราพบเห็นกันดีอย่างอาบ อบ นวด หรือคาราโอเกะ ซึ่งด้วยขอบเขตการให้บริการที่ไม่ได้ ‘ระบุ’ ว่าร่วมประเวณี ทำให้ธุรกิจนี้เป็นเหมือนแหล่งบันเทิงอย่างผับบาร์ทั่วไป แต่การตกลงกันนอกเหนือจากนั้นระหว่างหญิงผู้อยู่ในสถานบริการ และชายผู้เข้าใช้บริการ จะมีอะไรมากกว่านั้นหรือไม่ ถือเป็นการตกลงที่นอกเหนือความรับผิดชอบของสถานที่ จึงถือเป็นเรื่องเอาผิดไม่ได้ และเป็นเรื่องยากกว่าเดิมที่จะควบคุมหรือปราบปรามกิจกรรมดังกล่าว

การถกเถียงเรื่องโสเภณีในยุคสมัยปัจจุบัน

     จุดที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของการค้าประเวณีจริงๆ เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2543 จุดที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรียกร้องให้รับรองยอมรับโสเภณีเป็นอาชีพถูกกฎหมาย หลังจากที่ผ่านมาเคยรณรงค์ต่อต้านมาตลอด ดังเช่นตัวอย่างของการที่องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization หรือ ILO) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่รัฐบาลของแต่ละประเทศควรให้การรับรองอาชีพโสเภณีในฐานะอาชีพที่สุจริตอาชีพหนึ่ง กระทั่งละแวกบ้านเราเองก็เกิดการสัมมนาแรงงานหญิงบริการทางเพศแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดขึ้นโดยมูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิง (Empower Foundation) จัดขึ้นในอีกสองปีถัดมา ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้การประชุมจะได้รับผลตอบรับในทางลบซะมากกว่าทางบวก อย่างน้อยการถกเถียงกันในครั้งนั้นก็ทำให้สังคมกลับมามองอาชีพนี้ใหม่อีกครั้ง

ทิศทางของประเทศไทยในอนาคต

     เยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ประกาศให้การค้าบริการทางเพศเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ซึ่งนอกเหนือจากเมื่อถูกกฎหมายแล้วรัฐบาลสามารถเรียกเก็บภาษีได้ และสร้างรายได้ให้ประเทศจากนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการแล้ว อีกอย่างที่เราควรคำนึงคือการขายบริการบางทีไม่ใช่เรื่องถูกบังคับอีกต่อไปแล้ว อย่างที่แต่ก่อนเรามองว่าจะต้องเป็นเด็กยากจน จากลาพ่อแม่จากต่างจังหวัดมาเพื่อหาโลกใหม่ แต่การทำให้ถูกกฎหมายและยอมรับในประเทศเยอรมนียังแฝงไปด้วยบริบทที่ว่า อาชีพนี้คืออาชีพหนึ่งที่สุจริต และการบังคับให้ลงทะเบียนทำใบอนุญาตและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอยังถือเป็นการรับรองความสมัครใจของผู้ให้บริการและป้องกันปัญหาเรื่องโรคติดต่อที่อาจตามมาด้วย

     ทุกวันนี้เราอยู่กับความย้อนแย้งในตรรกะที่เอาความสวยงามของขนบธรรมเนียมมาพูดดูถูกอาชีพอย่างว่า ทั้งๆ ที่เมื่อปลายปี 2560 การเข้าใช้บริการอาบ อบ นวด (ซึ่งถือเป็นแหล่งค้าประเวณีแบบแอบแฝง) ยังนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วยซ้ำ การสรุปแบบอุดมคติจึงพูดได้ว่า การทำให้โสเภณีเป็นเรื่องถูกกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาในประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไม่ผิด แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือการปราบปรามกระบวนการค้ามนุษย์ กล่าวคือ ให้อาชีพนี้เป็นอาชีพทางเลือกที่ผู้ให้บริการได้เป็นผู้เลือกเองอย่างสมบูรณ์ การกำหนดอายุขั้นต่ำ และการคุมเข้มป้องกันโรค เหล่านั้นซะมากกว่าเป็นเรื่องที่ควรยกขึ้นมาพิจารณาบ้าง ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปแล้วลืมคิดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตามมา และสุดท้ายก็สายเกินแก้

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Fukurou's profile


โพสท์โดย: Fukurou
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: zerotype, อ้ายเติ่ง
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
มือถือระเบิดใส่หูสาวอินเดียจนเสียชีวิต เพราะคุยโทรศัพท์ขณะชาร์จดื่มนม ชนิดไหนดีฮ่องเต้ตำหนักเยียนสี่ แห่ง เล่ห์รักวังต้องห้าม เช็คอินเมืองไทย ควงฮองเฮาตัวจริง ดื่มน้ำมะพร้าว เที่ยวไทยแลนด์ทำไมฝรั่งถึงติดใจเมืองไทยจนโบกมือลาไม่ไหว ฟังความลับจากคุณคริสคู่มือเอาตัวรอดนักดื่มสายปาร์ตี้ช่วงสิ้นปี 2024! วิธีปาร์ตี้ยังไงให้ปลอดภัย ไม่แฮ้งค์ ไม่ช็อตฟีล!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ดื่มนม ชนิดไหนดีไลฟ์สด Tiktok เป็นเหตุ ครูสอนพิเศษโดนรถไฟชนดับอนาถดาวtiktok นปโปะ สุนัขคอร์กี้ที่กลายเป็นขวัญใจโลกโซเชียลด้วยเพลงสุดฮิต “นปโปะ หม่ำ ๆ”ทำไมฝรั่งถึงติดใจเมืองไทยจนโบกมือลาไม่ไหว ฟังความลับจากคุณคริสฮ่องเต้ตำหนักเยียนสี่ แห่ง เล่ห์รักวังต้องห้าม เช็คอินเมืองไทย ควงฮองเฮาตัวจริง ดื่มน้ำมะพร้าว เที่ยวไทยแลนด์
กระทู้อื่นๆในบอร์ด MISCELLANEOUS-จิปาถะ
ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดในรอบ 20 ปี"เจี๊ยบ อมรัตน์"ยอมรับรู้จัก"พ่อกำนันนก"ข้าวปลูกครั้งแรกอย่างน้อย 9,400 ปีที่แล้วในจีนสหรัฐฯยอมยกเลิกการอาญัติกองทุนน้ำมันอิหร่านกว่าสองแสนล้านบาท เพื่อแลกกับนักโทษ 5 คน
ตั้งกระทู้ใหม่