เรื่องราว 5 วัดในไทย ที่ขึ้นชื่อ เรื่องเฮี้ยน ที่สุด!!
เรียกได้ว่าประเทศไทยเรานั้น มีเรื่องราวลึกลับมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องผี เชื่อว่าหลายๆคนคงจะอยากรู้เหมือนว่าในไทยแล้ว วัดใดบ้างที่ขึ้นชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับไม่น้อย และอาจจะขนลุกกันอย่างแน่นอน
วันนี้จะพาเพื่อนๆไปชมกับ 5 อันดับวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องผีดุที่สุดในประเทศไทย จะเป็นไง
1.วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา
ตำนานวิญญาณเฮี้ยน ณ.ลานประหารวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ เดิมชื่อว่าวัดเมือง จ.ฉะเชิงเทรา การประหารชีวิตอั้งยี่ ที่วัดเมืองเมื่อปี 2391 สมัยรัชกาลที่ 3 ครั้งนั้นเป็นข่าวดังไปทั่วหัวเมืองต่างๆ บ้างก็รู้สึกสาสมใจ บ้างก็รู้สึกสงสารและเกิดทุกขเวทนา ศพอั้งยี่แต่ละศพเป็นผีหัวขาด และนำถูกไปฝังแบบไร้ญาติ ไม่มีใครกล้านำศพไปทำพิธีให้ถูกต้องตามประเพณี เพราะเกรงว่าอาจจะถูกประหารตามไปด้วย ข้อหาสมรู้ร่วมคิด จึงจำต้องปล่อยให้พ่อ แม่ ลูก และพี่น้องของตัวเองถูกตัดหัวไปต่อหน้าต่อตา ความตายอั้งยี่นั้นทุกข์ทรมานนัก จิตสุดท้ายก่อนสิ้นลมเต็มไปด้วยความกลัว มีอารมณ์โกรธแค้น ชิงชัง ยามที่วิญญาณออกจากร่าง จิตจึงยึดอารมณ์ดังกล่าวเป็นที่ตั้ง จนนำพาไปยังทุกขติยภูมิ อยู่ในโลกของวิญญาณ ในภพภูมิที่ทุกข์ทรมาน แรงอาฆาตพยาบาลของความแค้น ที่ฝังใจก่อนความตาย ทำให้วิญญาณแต่ละดวงไม่สงบสุข หาทางไปเกิดไม่ได้ เพราะเป็นวิญญาณตายโหง ที่ยังไม่ถึงเวลาตาย แต่ด้วยกรรมมาตัดรอน จำต้องตาย วิญญาณทั้งหลายจึงสิงสถิตอยู่ในวัดเมืองเต็มไปหมด วัดเมืองจึงขึ้นชื่อว่าเป็นวัดผีดุมานับตั้งแต่นั้น ด้วยกิตติศักดิ์ความเฮี้ยน ที่เคยมีผู้พบเห็นอั้งยี่ ประสบหลายคนเล่าว่าเห็นคนจีนเลือดท่วมหัว หิ้วหัวเดินรอบวัด บางคนเป็นคนแขนขาด ขาขาด ไส้ไหลเดินโซซัดโซเซ ผอมเหลือแต่กระดูก สภาพอดอยาก หิวโหย ไม่มีใครทำบุญไปให้ เพราะญาติพี่น้อง หรือคนรู้จักคงจะกลัวว่า ถ้าจะนำเครื่องเซ่นไหว้ตามประเพณีจีนก็กลัวจะถูกจับอีก จนทำให้วิญญาณอดโซทรมาน จึงออกอาระวาด หลอกหลอนหนักขึ้นไปอีก
2.วัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย
วัดสุวรรณาราม เดิมเรียกว่าวัดทอง สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี เป็นสถานที่ที่พระเจ้าตากสิน ทรงมีพระราชดำรัส ให้นำเฉลยศึกพม่าจากค่ายบางแก้ว ไปประหารชีวิต วัดสุวรรณาราม ริมคลองบางกอกน้อย ก็มีเรื่องผีๆอยู่มากเช่นกัน วัดสุวรรณเป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และเมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี บริเวณวัดแห่งนี้ก็ยังใช้เป็นลานประหารชีวิตเฉลยพม่าในการตัดคอ ซึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนเคยเห็นร่างของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ นุ่งผ้าโจงกระเบน แต่ไม่มีหัวมายืนอยู่ให้เห็น ส่วนสถานที่ที่นำศพเหล่านั้นมาฝัง ก็คือบริเวณที่เป็นวงเวียนสนามวัดสุวรรณาราม และลานวัดสุวรรณารามในปัจจุบัน ที่เชื่อว่าบริเวณนี้ เป็นสถานที่ที่เคยฝังศพ เนื่องจากว่าเมื่อครั้งมีการขุดปรับแต่งพื้นที่บริเวณนี้ ก็มีคนพบกระดูกคนอยู่มากมาย และมีเรื่องเล่าน่ากลัวว่า มีคนเคยพบเห็นกระดูกท่อนขาหรือท่อนแขนก็ไม่ทราบ แต่ก็มีกำไลทองคล้องอยู่ แสดงว่าเจ้าของกำไลนั้น น่าจะเป็นทหารพม่า ระดับนายกองชั้นผู้ใหญ่พอควร คนที่ขุดเจอกำไล ก็เอาไปขายนำเงินมาซื้ออาหารให้ภรรยาที่กำลังท้อง แต่คืนนั้นก็ฝันเห็นทหารพม่ามาบีบคอ ทวงกำไลคืน และภรรยาก็เสียชีวิต แบบที่เรียกได้ว่าตายทั้งกลม ต่อมาจึงมีการตั้งศาลเพียงตาไว้ที่บริเวณโรงเรียนวัดสุวรรณแห่งนี้ ที่น่าสนใจก็คือ หากใครที่มาไหว้ศาลแห่งนี้ แล้วมองเข้าไปในศาล ก็จะเห็นภาพวาด เป็นรูปกองทหารพม่าไว้สามรูป แทนที่จะมีจเวกอยู่ด้านในแบบศาลพระภูมิทั่วไป คงเพื่อเป็นการระลึกถึงดวงวิญญาณทหารพม่าที่เสียชีวิตในอดีต อีกทั้งด้านหน้าศาลก็ยังมีพิระมิดเล็กๆตั้งไว้ด้วย โดยมีความเชื่อกันว่าสถานที่ตรงไหนที่มีความอาถรรพ์มากๆ ก็จะใช้พิระมิดสะท้อนสิ่งอาถรรพ์นั้นออกไป
3.วัดพลับพลาชัย กรุงเทพฯ
อีกที่ต่อมาคือ วัดพลับพลาชัย ย่านป้อมปรามศัตรูพ่าย มีวัดวัดหนึ่ง ชื่อวัดพลับพลาชัย ตั้งอยู่หลังวัดเทพศิรินทร์ ภายในมีโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัด แต่เดิมวัดพลับพลาชัย มีชื่อเรียกว่าวัดโคก หรือวัดโคกอีแร้ง เดิมที่วัดนี้เป็นที่ประหารนักโทษ เหมือนกับวัดสระเกศ ศพที่ประหารแล้วจะถูกส่งออกมาด้านหลังวัดสระเกศ บริเวณนั้นจึงถูกเรียกว่าประตูผี อย่างที่บอกนั้นแหละ พอประหารเสร็จ บางครั้งทางวัดก็จะปล่อยให้อีแร้งมากินศพที่ถูกประหาร บริเวณนั้นจึงมีอีแร้งชุกชุม ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่าวัดโคกอีแร้ง
ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้นมีการสร้างถนน ไม่ก็ขุดถนนแถวหน้าวัดพลับพลาชัย เพื่อซ่อมแซ่ม แต่เมื่อขุดลงไปทีไร ก็เจอแต่โครงกระดูกอยู่ใต้ดินเต็มไปหมดทุกครา
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตั้งกองเสือป่ารักษาดินแดนขึ้น ได้มีการซ้อมรบ พระองค์ได้มาพลับพลาเสือป่าขึ้นที่นั้น ที่วัดโคกอีแร้ง กาลเวลาต่อมาวัดจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดพลับพลาชัย เรื่องราวสยองขวัญของวิญญาณคนตายที่วัดนี้ มีเล่าขานกันอยู่เนืองๆ ทั้งทั่วบริเวณวัดและในโรงเรียนพลับพลาชัยด้วย เคยมีเด็กนักเรียนพบเจอสิ่งแปลกๆอยู่บ่อยครั้ง
จนมาถึงยุคนี้ เรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆเลือนหาย ไปพร้อมๆกับกิตติศักดิ์ความเฮี้ยนที่เคยมีก็ไม่ค่อยได้เห็นมีอีกแล้ว
4.วัดปทุมคงคา
สถานที่เฮี้ยนสุดท้ายคือสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา เป็นวัดโบราณสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาถูกทิ้งจนเป็นวัดร้างที่ห่างไกลผู้คน ดูวังเวงและน่ากลัว ในเวลาต่อมาได้ใช้เป็นลานประหารบรรดาชาติพระวงศ์หลายๆพระองค์
เรื่องเล่าของวัดนี้ ยังมีเรื่องของต้นอโศกผีสิง ซึ่งเมื่อก่อนในวัดมีต้นอโศกอายุร้อยปี ตั้งตระหง่านอยู่ในวัด ชาวบ้านย่านนั้นเล่าว่า มีวิญญาณมาปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆในหลายรูปแบบ แล้วมักจะหายวับเข้าไปในต้นอโศก เรียกว่าเฮี้ยนจนชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าเข้าวัด จึงถูกตัดโค่นทิ้งในปี พ.ศ.2495 เรื่องราวทั้งหมดจึงเงียบลงได้ จะว่าเป็นความสบายใจ คลายระแวงของผู้คน ข่าวลือน่ากลัวนั้น จึงยุติลงก็น่าจะใช่
5.วัดสระเกศ
และอีกที่ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ก็คือวัดสระเกศ ย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 1 ศูนย์รวมของชุมชน บ้านเรือนผู้คนจะอยู่ภายในกำแพงเมือง ส่วนด้านนอกกำแพงจะมีการทำนาหรือเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ ภายในกำแพงเมืองนี้ ถือธรรมเนียมกันว่า หากมีคนเสียชีวิตจะต้องขนศพออกไปเผาด้านนอกกำแพงเมือง และทางออกที่ใช้ขนศพออกไปก็คือ ประตูทิศตะวันออกของเมือง ซึ่งเมื่อระบุตามตำแหน่งก็คือ บริเวณใกล้สี่แยกสำราญราชในปัจจุบันนั้นเอง ประตูนี้ถูกเรียกขานกันว่าประตูผี โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดในพระนคร และเมืองใกล้เคียงในสมัยรัชกาลที่ 2 ด้วยโรคห่าหรืออหิวาตกโรคระบาดไปทั่วทำให้มีคนตายหลายหมื่นคน ศพจำนวนมากถูกลำเรียงผ่านประตูผี ไปยังวัดสระเกศซึ่งอยู่ติดๆกันเรียกว่า ว่ากันว่ามีศพมากมายกองพะเนินวัดไม่สามารถเผาหรือฝังได้ทัน จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังลงไปในหลุมเดียวกันคราวละมากๆ แต่จำนวนศพที่มากเกินไป ทำให้ฝูงแร้งแห่กันมาจิกกินซากศพกันเป็นอาหาร
ครั้นมาสมัยรัชกาลที่ 3 และสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังเกิดโรคระบาดซ้ำขึ้นอีก วัดสระเกศก็ยังประสพปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม ทำให้กลายเป็นแหล่งหากินของฝูงแร้งที่มาจิกกินซากศพ จนมีคำเรียกว่าแร้งวัดศระเกศเกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง
ปัจจุบันไม่มีประตูผีให้เห็นกันอีกแล้ว อันเนื่องมาจากการตัดถนนบำรุงเมืองผ่านประตูผี และมีการลื้อถอนประตูเมืองและกำแพงออกไป ประตูผีจึงเหลือแค่ชื่อไว้ให้ระลึกถึง แม้ว่าภายหลังจะเปลี่ยนชื่อเรียกตามประตูผีมาเป็นสำราญราช เพื่อเป็นสิริมงคล แล้วก็ตาม แต่ชื่อประตูผีก็ยังเป็นชื่อเรียกติดปากของผู้คนจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่ของกินอร่อย ที่เต็มไปด้วยร้านดัง อาทิร้านผัดไทยหอยทอด ข้าวต้มเป็ด ที่ทุกค่ำคืน จะมีคนมายืนรอ ซื้อกินกันอย่างคึกคัก ไม่เหลือความวังเวงน่ากลัวให้เห็นกันอีกแล้ว