ศัลยกรรมไทยโต พุ่งอันดับ 8 โลก
ปัจจุบันการศัลยกรรมความงาม ถือเป็นเรื่องที่สังคมให้การยอมรับมากขึ้นทั่วโลก และมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (International Society of Aesthetic Plastic Surgery : ISAPS) เมื่อปี 2017 ได้เปิดเผยรายงานสถิติการศัลยกรรมเสริมความงามของคนทั่วโลกพบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5% ซึ่ง 5 อันดับประเทศที่มีจำนวนผู้เข้ารับการศัลยกรรมมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, บราซิล, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก และอิตาลี ส่วนประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 8 จากเดิมเมื่อปี 2016 อยู่อันดับที่ 18 โดยศัลยกรรมเสริมหน้าอก เป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับ 1 จากผู้คนทั่วโลก
สอดคล้องกับผลสำรวจของ Fortune Business insights ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลออกมาเมื่อช่วงเดือน ก.ย.2019 ที่ผ่านมาว่า จากข้อมูลสถิติในปี 2018 มูลค่าตลาดถุงซิลิโคนเต้านม มีมูลค่าตลาดรวม 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2026 มูลค่าตลาดถุงซิลิโคนจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การเพิ่มจำนวนการศัลยกรรมเสริมหน้าอก และเสริมสร้างหน้าอกใหม่ ทั้งนี้ ได้มีการอ้างอิงสถิติของผู้หญิงที่เข้ารับการศัลยกรรมเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคนทั่วโลกจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (ISAPS) ในช่วงปี 2016-2017 มีอัตราเพิ่มขึ้น 13% โดย 3 อันดับแรกประเทศที่มีการทำศัลยกรรมหน้าอกมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา, บราซิล และเม็กซิโก
นอกจากนี้ ความต้องการมีรูปร่างที่สวยงาม โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูง (Elite), กลุ่มที่เต็มใจจ่าย, กลุ่มเซเลบริตี้ในหลายๆ ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น, จีน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ช่วยกระตุ้นให้จำนวนการศัลยกรรมหน้าอก และทำให้ความต้องการใช้ถุงซิลิโคนเพิ่มขึ้นด้วย
ปัจจุบันภาพรวมมูลค่าตลาดศัลยกรรมทั่วโลกมีตัวเลขสูงกว่า 21 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต ทางด้านตลาดศัลยกรรมในประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็มีตัวเลขมูลค่ารวมเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นเดียวกัน โดยแบ่งเป็นศัลยกรรมจากโรงพยาบาล 70% และศัลยกรรมจากคลินิกเสริมความงามอีก 30% โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 20% จากเดิมเมื่อปี 2559 ตลาดศัลยกรรมมีมูลค่าเม็ดเงินในตลาดสูงประมาณ 30,000 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 เม็ดเงินที่หมุนเวียนในตลาดศัลยกรรมมีอัตราเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท และในปี 2561 ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดศัลยกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรม รพ.บางมด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันจำนวนของสถานพยาบาลที่มีการให้บริการศัลยกรรมมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องในทุกปี ทั้งการขยายสาขา, การเข้ามาเปิดสาขาในรูปแบบการร่วมทุนของโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศเกาหลี เป็นต้น โดยศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ณ ปัจจุบัน คือ ศัลยกรรมเสริมจมูก, ศัลยกรรมตาสองชั้น, ศัลยกรรมเสริมหน้าอก, ศัลยกรรมดูดไขมัน และการฉีดไขมันเติมเต็มหน้า
สำหรับประเทศไทย เดิมภาพรวมสถิติการเข้ารับการศัลยกรรมเสริมความงามจากผลการสำรวจของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (ISAPS) อยู่ในอันดับ Top 20 แต่เมื่อปี 2017 ประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 8 ของโลก และอยู่ในอันดับ Top 8 ในทุกศัลยกรรมยอดนิยม ได้แก่ ศัลยกรรมเสริมหน้าอก, ศัลยกรรมดูดไขมัน, ศัลยกรรมตาสองชั้น, ศัลยกรรมเสริมจมูก และศัลยกรรมตกแต่งหน้าท้อง ดังนั้น แสดงให้เห็นได้ว่า คนไทยมีการยอมรับศัลยกรรมมากขึ้นจากเดิม
นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแพทย์นานาชาติ (Medical Hub) โดยจัดเป็น 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมในอนาคต (New S Curve) อีกทั้ง ความเชี่ยวชาญและเทคนิคการผ่าตัดของศัลยแพทย์ไทยได้รับการยอมรับระดับสากล จากการจัดอันดับของ Medical Tourism Index (MTI) เมื่อปี 2016-2017 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ในกลุ่ม Medical Tourism Industry จาก 54 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก”
ปัจจุบันศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด ได้รับความสนใจ จากกลุ่มชาวต่างชาติ และเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหตุผลสำคัญคือ ความชำนาญ และชื่อเสียงของศัลยแพทย์ ที่ได้รับการแนะนำแบบปากต่อปาก รวมทั้ง ผลลัพธ์หลังการศัลยกรรม ด้วยเทคนิคบางมด ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะทาง ทำให้แผลเล็ก พักฟื้นน้อย และดูเป็นธรรมชาติ ถือเป็นจุดแข็งที่สามารถตอบโจทย์สำหรับ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ เพราะใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพียง 7 วัน ก็สามารถเดินทางกลับได้
จากสถิติการเข้ามาทำศัลยกรรมของกลุ่มชาวต่างชาติและคนไทย ศัลยกรรมที่ยังคงได้รับความนิยม คือ ศัลยกรรมดึงหน้า, รองลงมาคือ ศัลยกรรมตา, ศัลยกรรมเสริมหน้าอก, ศัลยกรรมเสริมสะโพก และศัลยกรรมตกแต่งหน้าท้อง ดูดไขมัน
เมื่อหันมามองในฝั่งของผู้บริโภค จากผลการสำรวจของบริษัทวิจัยตลาด “GlobalWebIndex” ได้มีการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความสนใจเกี่ยวกับการศัลยกรรมในกลุ่มชายและหญิงที่มีอายุ 25 – 64 ปีระดับ C-Level ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงในองค์กร ใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์ Luxury Brand พบว่า “พวกเขาใส่ใจในภาพลักษณ์ของตนเอง ต้องการรู้ข้อมูลต่างๆ มากที่สุด และพร้อมลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเมื่อลงรายละเอียดเกี่ยวกับการศัลยกรรม พวกเขาบอกว่า พวกเขามีความสนใจศัลยกรรมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งราคาไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจ เพราะพวกเขาพร้อมจะจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องได้รับการวิเคราะห์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะทำการจ่าย นอกจากนี้ พวกเขาต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ไม่ใช่ความสวยที่มีความเหมือนคนดังหรือใครๆ
ปัจจุบัน ราคาศัลยกรรมความงามในสถานพยาบาลระดับใหญ่ล้วนมีราคาสูง และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากจำนวนของผู้เข้ารับการศัลยกรรมทั่วโลกในแต่ละปีมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็นตัวเลขเพียง 1-2% แต่เมื่อดูตัวเลขมูลค่าตลาดศัลยกรรมกลับพบมูลค่าขยับขึ้น 20% ซึ่งเหตุผลสำคัญในการขยับราคามาจากต้นทุนทั้งในเรื่องของเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคนิคการผ่าตัดของศัลยแพทย์ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วยวิเคราะห์ก่อนทำการผ่าตัด เช่น เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัท GC Aesthetic ได้ประกาศเปิดตัวซิมูเลเตอร์ที่มีชื่อว่า “Eve 4.0” ออกมาในยุโรปและบราซิล เพื่อแสดงภาพการเปลี่ยนแปลงของขนาดไซส์หน้าอกที่มีความแตกต่างกันบนร่างกายก่อนที่จะตัดสินใจเสริมหน้าอก และได้มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้แล้วในวงการศัลยกรรม หรือการใช้เครื่องมือมาช่วยในการผ่าตัด และดูแลอาการบวมช้ำหลังการผ่าตัด เป็นต้น
ปัจจุบันราคาศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมในโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ ศัลยกรรมเสริมจมูก เดิมราคา 20,000 - 40,000 บาท ปัจจุบันราคาขยับขึ้นมาเริ่มต้นอยู่ที่ 60,000 – 250,000 บาท, ศัลยกรรมตาสองชั้นเดิมราคาอยู่ที่ 10,000 – 20,000 บาท แต่ปัจจุบันราคาเริ่มต้น 40,000 – 100,000 บาทขึ้นอยู่กับเทคนิค, ศัลยกรรมเสริมหน้าอก เดิมราคา 100,000 บาท ปัจจุบันราคาขยับขึ้นมาเริ่มต้นที่ 300,000 บาทขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดและวัสดุซิลิโคน, ศัลยกรรมดูดไขมัน เดิมจุดละ 50,000 บาท ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 70,000 บาท เป็นต้น
“สิ่งสำคัญในการศัลยกรรม ควรคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนเป็นประการสำคัญ อย่าเลือกราคา หรือภาพการโฆษณารีวิว ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะทาง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของ แพทยสภา หรือสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย เป็นต้น รวมทั้ง การเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะแพทย์จะทำการตรวจอย่างละเอียดว่า ลักษณะโครงสร้างของคนไข้สามารถเสริมได้ขนาดไหนที่จะพอดีกับร่างกาย การเลือกวัสดุ ปัญหาของคนไข้ เพื่อแก้ไขได้ตรงจุด” นพ.ธนัญชัย กล่าว