จากเมียน้อยสู่เมียหลวง!! สาวใหญ่รักสามีมาก ยอมเป็นน้อยมา 30 ปี อดทนจนได้เป็นภรรยาหลวง
เรียกว่าเป็นเรื่องราวความรัก โดยสื่อต่างประเทศได้ลงเรื่องราวระบุว่า หงจิงเหมยเป็นภรรยาของอดีตนักร้องโอเปร่าสังกัดให้ดังในฮ่องกงเคยมีผลงานการแสดงและอื่นๆมากมายอายุเริ่มมากขึ้นเขาก็เลือกที่จะออกจากวงการบันเทิงแต่ที่น่าแปลกคือมรดกกว่า 402 ล้านเธอไม่ได้เลยสักบาท ชีวิตของเธอดูเหมือนกับปูด้วยพรมแดงมีเรื่องราวมากมายนั้นเป็นเพราะสงครามการแย่งชิงมรดก เรื่องของครอบครัวนี้ทำให้คนฮ่องกงเข้าใจว่าอะไรคือศัตรูระหว่างสามีภรรยาความเกลียดชังระหว่างความคิดของหงจิงเหมยทั้งชีวิตมีเพียงอย่างเดียวคือมีผู้ชายที่รักและมีลูกด้วยกัน เพราะเธอมีทั้งเงินทองชื่อเสียงแล้ว
เธอใช้ทั้งชีวิตและทุ่มเทกับการดูแลรักษาผิวพรรณ สุขภาพให้อ่อนเยาว์ตลอดเวลา จนกระทั่งคนทั้งประเทศตั้งฉายาให้เธอว่า “เซียงเซ่า” (เมียของพี่เซียง)ในฮ่องกงคงไม่มีใครไม่รู้จักเธอคนนี้ หงจิงเหมย คือภรรยาคนที่ 4 ของนักร้องโอเปร่า กวางตุ้งชื่อดัง เติ้งยงเซียง ซึ่งได้จากโลกนี้ไปแล้วในวัย 74 ปีด้วยโรคปอด หลังจากที่สามีของเธอจากไปก็มีคนจำนวนมากอยากรู้เรื่องราวของเธอว่า แต่งงานของเธอราบรื่นและมีความสุขจริงหรือ
หงจิงเหมยต้องเป็นน้อยอายุเพียง 17 ปี และเมื่ออายุ 47 ปีก็ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพี่ใหญ่ การได้มาพบกันของทั้งคู่เหมือนละครในปี 1962 ตอนนั้นแม้เธอจะไม่ได้สวยงามสง่าดั่งนางงาม รูปร่างหน้าตาพี่แหลมคม กับเอวที่บอบบาง มีเสน่ห์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร ไม่นานเธอก็ได้นักเต้นแนวหน้าของโรงละครแห่งหนึ่ง เป็นเพราะโอกาสที่มาแบบกระทันหัน ทำให้หงจิงเหมยในวัย 17 ปีได้รู้จักกับเติ้งยงเซียงวัย 49 ปี ทั้งคู่เหมือนรักแรกพบ ทั้งที่เติ้งยงเซียงก็มีภรรยาอยู่แล้ว ในตอนนั้นเขามีชื่อเสียงหน้าที่การงานมากมาย เมื่อเข้าวงการบันเทิงเต็มตัวก็มีผลงานการแสดงภาพยนตร์มากกว่า 50 เรื่อง กลายเป็น พี่ใหญ่ของฮ่องกงไปแล้ว
แม้ว่าในตอนนั้น เติ้งยงเซียงจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังคงมีหน้าตาที่มีเสน่ห์ดึงดูดสาวๆได้ และนี่เป็นอีสาเหตุที่ทำให้หงจิงเหมยหัวใจหวั่นไหว และความฝันของเธอในชีวิตนี้ก็คือการได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีและมีลูกด้วยกัน มีชีวิตคุณหญิงคุณนายที่แสนสบาย และเติ้งยงเซียงก็มีคุณสมบัติตรงตามที่เธอต้องการอย่าง ทำกูลงรักกันอย่างหัวปักหัวปำ หลังจากที่ได้พบหน้ากันแล้ว หงจิงเหมยก็มาจะได้กินน้ำชาให้เติ้งยงเซียงเสมอ นอกจากนี้เธอยังตุ๋นรังนกให้เขากิน และขอจัดการวางแสดงของเขาเสมอมา ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เธอก็จะเป็นคนจัดการเอง ขอเพียงแค่เติ้งยงเซียงปิดปากคำเดียว หนูก็จะวิ่งไปทำให้ทั้งหมด โดยไม่บ่นเลยสักคำ
ทั้งคู่เริ่มคบหากันอย่างเปิดหูเปิดตา ผ่านไป 3 ปีก็ย้ายมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ในตอนนั้นเขายังไม่ได้หย่ากับภรรยาคนที่ 3 คนทำประเทศกับให้ฉายาเธอว่า เซียงเซ่า (เมียของพี่เซียง) มีอยู่ครั้งหนึ่ง เติ้งยงเซียงเคยพูดอย่างน้อยใจทั้งน้ำตาว่า หงจิงเหมยไม่เหมาะกับตนเองเนื่องจากเธอยังอายุน้อย ตนเองอายุมากแล้ว เป็นต้นมาหงจิงเหมยเขาทำผมพองๆ เพื่อให้ตนเองดูอายุแก่มากขึ้น ทั้งคู่ครองรักกันมาตลอด 20 กว่าปีและเธอเองก็ไม่เคยเปลี่ยนทรงผม เขาบอกว่าชอบเบลที่บางของเธอ เธอติดตามเติ้งยงเซียงมาตลอดอย่างไม่ห่างกลาย เธอได้ทำนั้นทำให้เติ้งยงเซียงยิ่งหลงรักเธอมากขึ้น
ในปี 1992 เป็นปีที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมาครบ 30 ปี มีลูกด้วยกันกี่คนในที่สุดไปสำคัญที่เธอรอมาทั้งชีวิตก็มาถึง ตอนนั้นพวกเขาจัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางยิ่งใหญ่มาก นักข่าวเต็มไปหมด แขกสำคัญมากมายภายในงาน มีดาราชื่อดังมากมายที่มาร่วมงาน อาทิ หลิวเต๋อหัว อู๋ จวินหรู ดิกกี้จาง เจิ้งจื่อเหว่ย เป็นต้น แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากแต่งงานได้เพียง 5 ปี สามีก็ล้มป่วยจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้เธอกลายเป็นแม่หม้าย ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นความรักอันชื่นมื่นกลายเป็นเรื่องทุกข์ระทม
หงจิงเหมยมีบุคลิกภายนอกแข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังลึกลึกในใจกลับมีปมที่แก้ไม่ออก หลังจากที่เติ้งยงเซียงจากเธอไป เธอก็บอกว่าหากวันใดที่เธอจากโลกนี้ไปพอจะขอฝังศพไว้ใต้ต้นลิ้นจี่เคียงข้างสามีที่รัก เป็นสามีภรรยากันตลอดไปทุกชาติทุกภพ เธอได้ใช้ทั้งชีวิตในการแสดงบทบาทให้ทุกคนเห็นว่าอะไรคือความหมายของผู้หญิงของพี่ใหญ่ แม้ต..า..ยก็จะขอเป็นวิญญาณเฝ้าพี่ใหญ่ ในตอนที่หงจิงเหมยหนูจะกลับเติ้งยงเซียง เขามีภรรยาอยู่แล้ว 3 คน ซึ่งซึ่งภรรยาคนนี้คือคนที่ 3 ของเขา คนแรกยากันเนื่องจากเข้ากันไม่ได้ คนที่สองเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด แต่น่าเสียดายเธอต้องจากไปเพราะสุขภาพที่อ่อนแอ
ส่วนหงจิงเหมยเป็นภรรยาคนที่ 4 มีลูกชาย 2 คน ลูกสาว 2 คน โดยทั่วไปผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อมีลูกก็จะรักลูกมากกว่าสามีตรงกันข้าม เธอกลับยิ่งรักสามีมากขึ้น มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานเสียอีก เพราะเธอกลัวสามีจะไปมีเล็กมีน้อยนอกบ้านอีก เธอบอกว่า “ฉันไม่อยากให้มีคำว่า เมียคนที่ 5 ของเติ้งยงเซียงอีก ฉันจะเป็นคนเดียวที่ครอบครองเขา
ในปี 1997 เติ้งยงเซียง จากไปทิ้งไว้เพียงมรดก 402 ล้านให้เธอ ตามหลักแล้วคู่สมรสต้องได้สมบัติครึ่งหนึ่ง เธอต้องได้สมบัติมากที่สุดถึงจะถูก แต่เรื่องตลกกับเกิดขึ้นกับเธอเพราะ ในพินัยกรรมของเติ้งยงเซียงกลับไม่แบ่งสมบัติให้เธอสักบาท แถมยังเขียนว่า “หากไม่พอใจก็ให้เธอ 1 เหรียญก็พอ”
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ที่แท้ในปีสุดท้ายที่เติ้งยงเซียงล้มป่วยอยู่นั้น เขารู้มาว่าหงจิงเหมยแอบโอนทรัพย์สมบัติบางอย่างเป็นชื่อของเธอ หลังจากที่สามีจากไป เธอกับลูกๆก็เริ่มเกิดถกเถียงจนแตกแยก เพราะเรื่องสมบัติจนเป็นข่าวดังไปทั่วเกาะฮ่องกง
ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ในพิธีงานศพของเติ้งยงเซียงลูกๆไม่ให้หงจิงเหมยเข้าไปในห้องโถงที่มีโกศของสามีของเธอ ทำให้เธอโมโหเป็นอย่างมาก เธอได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกที่หอประชุมเพื่อไว้ทุกข์เท่านั้น จากเรื่องราวของเธอทำให้นักเขียนชาวฝรั่งเศส Simone de Beauvoir เผยว่า “ไม่ว่าชายหรือหญิงสิ่งสำคัญคือการที่คนคนนึงโตเป็นผู้ใหญ่ได้นั้น จะลองพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน อย่าเหมือนเช่นหงจิงเหมยที่มอบชีวิตของตนเองไว้กับคนอื่นจนมากไป มันเป็นเส้นทางแห่งการทำร้ายตนเอง”
แม้ว่าเส้นทางของเธอจะดูเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ที่จริงกลับเหมือนเส้นทางขวากหนามมากมาย เมื่อได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเธอ ทำให้อยากถอนหายใจดังๆเป็นเมียของพี่ใหญ่ ดูเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ดีกว่า ทุกคนล้วนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง อย่ามีชีวิตโทรหาคนอื่นอย่าหวังอะไรจากคนอื่นทั้งนั้น แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง เป็นเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ในปี 2019 เธอก็จากไปด้วยโรคมะเร็งปอดปิดฉากชีวิตของเธอด้วยวัย 73 ปี
แหล่งที่มา: https://www.xn--42c2dgos8bxc2dtcg.com/