เปิดตำนาน “โรงรับชำเราบุรุษ” และ “โคมเขียว”! จนถึงห้ามค้าประเวณีกับเพศเดียวกัน!
เปิดตำนาน “โรงรับชำเราบุรุษ” และ “โคมเขียว”! จนถึงห้ามค้าประเวณีกับเพศเดียวกัน!
อาชีพโสเภณีมีอยู่ทุกประเทศ แม้แต่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็ยังมีโสเภณี ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบต่างๆ ไทยเราก็ทันสมัยกับเขาไม่เบา มีหลักฐานทางการปรากฏมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองแล้ว และด้วยความที่เป็นคนซื่อๆ พูดตรงๆไม่อ้อมค้อม เลยมีชื่อสำนักอย่างเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า “โรงรับชำเราบุรุษ” ซึ่งยุคนั้นคงจะมีคนจีนนำขบวน เพราะมีอยู่ที่ตลาดบ้านจีนถึง ๔ โรง ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่เปิดประเทศรับอารยะธรรมตะวันตก นิยมการใช้สัญลักษณ์แบบฝรั่ง เลยเป็น “โคมเขียว” ยุคนี้มีสาวรัสเซียนำขบวน เฉลยข้อสงสัยที่ว่าในปัจจุบันก็ยังมีสาวรัสเซียเข้าขุดทองด้านนี้กันมาก เพราะชำนาญเส้นทางมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว
นอกจากในพระไอยการลักษณะผัวเมีย’ ซึ่งตราขึ้นใน พ.ศ.๑๙๐๔ สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึงหญิงนครโสเภณี ซึ่งแสดงว่ามีการค้าประเวณีเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ซึ่งพระเจ้าอังวะได้ให้พระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยที่ถูกจับเป็นเชลยไปเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ.๒๓๑๐ ได้ลำดับเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา จดบันทึกไว้ว่า
“…มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วย รวมเป็น ๓๐ ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด ๑”
ส่วนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เปิดประเทศต้อนรับชาวตะวันตก มีการจัดระเบียบต่างๆตามแบบตะวันตก เริ่มมีการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้ พร้อมกับมีการเก็บภาษีการค้าประเวณีตามธรรมเนียม แต่เรียกว่า “ภาษีบำรุงถนน” เพื่อนำเงินไปตัดถนนที่เริ่มมีในรัชกาลนี้
โปรดอย่ามองว่าเป็นการนำเงินสกปรกมาพัฒนาประเทศ หลายประเทศก็เคยใช้นโยบายนี้ อย่างสมัยหนึ่งหนุ่มไทยแห่ไปเที่ยวไต้หวันกันมาก เพราะนอกจากจะให้ค้าประเวณีอย่างเปิดเผยแล้ว ทางการยังสนับสนุนเปิดอบรมวิทยายุทธกันเลย แต่เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ผู้เสียสละเพื่อชาติเหล่านี้ก็หันไปหาอาชีพอื่นที่ไม่ต้องขมขื่นใจ
ในบางประเทศที่อ้างว่าเศรษฐกิจดีแต่ก็ยังมีโสเภณีอยู่ แสดงว่าดีกระจุกอยู่แต่คนบางกลุ่ม ไม่ได้กระจายไปทั่วถึงคนทั้งประเทศ
สมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเจริญขึ้นมาก คนหลายชาติหลายภาษาต่างหลั่งไหลเข้ามา โสเภณีต่างชาติเลยเข้ามาด้วยเป็นขบวน ผลก็คือชายไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เป็น “โรคบุรุษ” หรือ “กามโรค” กันครึ่งค่อนเมือง จึงได้ตรา “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค” ขึ้น ประกาศใช้ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๑ แต่ก็ให้ใช้เฉพาะกรุงเทพฯเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงประกาศใช้ทุกมณฑลทุกจังหวัดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๕๖
จุดมุ่งหมายของกฎหมายฉบับนี้ ก็เพื่อควบคุมดูแลและตรวจโรคให้หญิงโสเภณีเป็นประจำ พร้อมกำหนดให้ดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสำนักไว้หลายข้อ แต่ข้อหนึ่งกำหนดให้ต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย แม้ไม่ได้กำหนดว่าเป็นสีอะไร แต่เจ้าพนักงานเอาโคมที่มีกระจกสีเขียวเป็นรูปพัดด้ามจิ้วมาเป็นตัวอย่าง เลยมีผู้ทำออกมาจำหน่ายและใช้สีเหมือนกันหมด จนได้ฉายาว่า “สำนักโคมเขียว”
ในสมัยโสเภณีต่างชาติเข้ามาเป็นขบวน ไม่ได้มีแต่หญิงเอเชียคือ กวางตุ้ง ญี่ปุ่น ญวน ลาว แต่สาวยุโรปก็เข้ามามาก โดยมีสาวรัสเซียนำขบวนเยอรมัน อิตาลี ทำให้กรุงเทพฯของเรากลายเป็นเมืองทันสมัยในระดับโลกกับเขาทันที
ธุรกิจการค้าของสำนักหญิงยุโรปนี้คงจะตึกคักครึกโครมกันทั้งกลางวันกลางคืน ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๕๓ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ อุปทูตเยอรมันได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ ขอให้จัดการย้ายโรงโสเภณีที่อยู่ติดกับสถานทูตที่ถนนสุรศักดิ์ออกไป เนื่องจากส่งเสียงดังรบกวนสถานทูตอย่างมากทั้งกลางวันกลางคืน แต่เมื่อกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามคำร้องนี้ ก็พบว่าโรงโสเภณีนี้เป็นของสตรีชาวรัสเซีย ซึ่งเช่าสถานที่มาจากหญิงชาวจีนคนในบังคับอังกฤษ
ในยามนั้นสยามยังอยู่ใต้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของมหาอำนาจต่างๆ จึงไม่สามารถใช้กฎหมายไทยบังคับซ่องโสเภณีแห่งนี้ได้ กระทรวงต่างประเทศจึงขอร้องไปยังอุปทูตรัสเซียให้ช่วยแก้ไขให้ด้วย ซึ่งต่อมาอุปทูตรัสเซียได้แจ้งว่า โรงโสเภณีจะย้ายออกไปเมื่อหมดสัญญาในวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๕๓ กระทรวงต่างประเทศจึงแจ้งไปยังสถานทูตเยอรมันให้ทนฟังเสียงอึกทึกครึกโครมต่อไปอีก ๕ เดือนเศษ
ต่อมาในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ออก “พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓” ถือว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และมีความทันยุคทันสมัยโดยห้ามการค้าประเวณีในเพศเดียวกันด้วย โดยกำหนดความหมายของคำว่า “การค้าประเวณี” ไว้ว่า
“การค้าประเวณี หมายความว่า การยอมรับการกระทำชำเรา หรือการยอมรับการกระทำอื่นใด หรือการกระทำอื่นใดเพื่อสำเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนเพื่อสินจ้าง ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ยอมรับการกระทำและผู้กระทำจะเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือคนละเพศ”
แต่กฎหมายที่แค่ “ปราม” ในปี ๒๕๐๓ แล้วปรับปรุงมาเป็น “ป้องกันและปราบปราม” ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการค้าประเภทนี้ได้ กลับกระจายออกไปทั่ว เป็นอบอาบนวด คาเฟ่ บาร์ ไนต์คลับ จนถึงทางโทรศัพท์
วันนี้ พ.ศ.๒๕๖๒ แล้ว “ป้องกันและปราบปราม” กันได้หรือไม่ ก็รู้ๆกันอยู่ ไม่งั้นเขาคงไม่เรียกว่าเป็นอาชีพดึกดำบรรพ์ของโลกที่อยู่ยั้งยืนยงหรอก