รีวิวเที่ยวภูทับเบิก สวรรค์บนดิน ขอบฟ้าอยู่แค่เอื้อม
อู้ฮู้! ภูทับเบิก 18-19 ธ.ค. 61
ดินแดนแห่งทะเลหมอก หยอกเย้ากับภูเขาสูง เราจะไปเที่ยวที่ “ภูทับเบิก” จ.เพชรบูรณ์ กันค่ะ
ทริปของเราในวันนี้เป็นแบบ 2 วัน 1 คืนอีกแล้ว (เอาใจคนมีเวลาน้อยเหมือนเดิม)
มาค่ะ มาเริ่มกันเลย . . .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ทริปนี้เราใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ ว่าจะไปยังไง พักที่ไหน อากาศจะหนาวไหม บลาๆๆๆ
จนทำให้ทราบว่า เส้นทางขึ้น ภูทับเบิก ตอนนี้ มีถนนทรุด จึงมีคำแนะนำจากกรมทางหลวงว่าควรที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว และให้หันไปใช้เส้นทางขึ้นภูทับเบิกจากทาง จ.พิษณุโลก แทน ซึ่งเส้นทางที่ว่านี้เราจะต้องผ่านอุทยานแห่งชาติภูหินร่องเล้า และลัดเลาะไปตามเขาเรื่อยๆ ซึ่งหากเราใช้เส้นทางเดิม จากตัวเมืองเพชรบูรณ์ ขึ้นไปถึงภูทับเบิก น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ และสำหรับเส้นทางใหม่เราต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 1.30-2.00 ชั่วโมง เพราะระยะทางที่เพิ่มขึ้นกว่า 100 กิโลเมตร พอรู้ดังนั้นจึงต้องเผื่อเวลาในการเดินทางด้วย
***ระยะทางจาก กทม. – เพชรบูณ์ ประมาณ 500 กว่า กม. ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
ส่วนเรื่องที่พัก เราตัดสินใจพักที่ “ไร่ริมผา” ค่ะ เพราะว่า อัลกอริทึ่มใน Facebook ของเรามันชอบขึ้นรูปสวยๆ ของที่นี่บ่อยมากๆๆๆ และนอกจากนี้ วิวที่นี่ก็สวยมากๆ เช่นกัน เราจึงตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นที่พักของเราค่ะ
โดยที่พักของ ไร่ริมผา จะมี 3 แบบด้วยกันค่ะ คือ 1.บ้านหลัง 2. เต็นท์เล็ก 3.เต็นท์ใหญ่ ในที่นี้เราขอแจ้งราคาที่พักแบบเต็นท์อย่างเดียวนะคะ
โดยเต็นท์ใหญ่ ราคาอยู่ที่ 800 บาทต่อหลัง นอนได้ 2 คน และ เต็นท์เล็ก ราคา 500 บาทต่อหลัง นอนได้ 2 คน (นอนพอดีๆ ถ้าตัวใหญ่อาจจะเบียด) โดยที่พักแบบเต็นท์ ทางไร่ริมผา จะมีเครื่องนอนให้เราด้วยเช่น เสื่อ ผ้าปู ผ้าห่ม และหมอนค่ะ
สำหรับทริปนี้เราเลือกที่พักแบบ “เต็นท์หลังใหญ่” ค่ะ เพราะไม่อยากนอนเบียดกันมาก และที่สำคัญสัมภาระเยอะ จะได้มีที่ไว้วางสัมภาระด้วย
เมื่อเตรียมตัวเรื่องเส้นทาง และที่พักเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ก็ถึงวันลงสนามจริง เราจะเดินทางไปเที่ยวภูทักเบิกกันนนนน !!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
มาถึงวันเดินทางจริงๆ เราทำการกะเวลา เพื่อที่จะให้เดินทางไปถึงภูทับเบิกช่วงก่อนโพล้เพล้ เพราะจะได้มีเวลาทำอาหารเย็นง่ายๆ สไตล์คนแคมป์ ไปถึงก่อนกลัวร้อน เราจึงออกเดินทางจาก กทม. เวลาประมาณ เกือบๆ 11 โมง ..... เดินทางไปเรื่อยๆ เวลาก็กระชั้นเข้าไปทุกที (เหมือนรู้ตัวว่าจะวางแผนผิด) . . . เรามาถึงที่ จ.เพชรบูรณ์ ในเวลาเกือบๆ 5 โมง ดูท่าว่า ขึ้นไปถึงบนภูทับเบิกต้องมืดแน่ๆ เลยตัดสินใจเย็นนี้ไม่ทำอาหารละ ใช้การซื้อของกินขึ้นไปเลยดีกว่า . . . และแน่นอน มาถึง จ.เพชรบูรณ์ ต้นตำรับแห่งไก่ย่างป้ายเหลืองตัวหนังสือสีแดง อย่างไก่ยางวิเชียรบุรี จะไม่กิน ก็เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ก็ต้องจัดสักหน่อย เพื่อเป็นอาหารเย็นของเราวันนี้ตอนที่ขึ้นไปถึงภูทับเบิกแล้ว . . .
ตลอด 2 ข้างทาง ที่เราขับรถผ่าน จะเห็นร้านไก่ย่างวิเชียรบุรี มากมาย หลายร้าน ละลานตามาก ฉะนั้นจะเลือกซื้อร้านไหนก็ตามสะดวกเลย ราคาที่เราซื้อไก่ย่าง 1 ตัว ราคา 170 บาท คิดว่าราคาคงไม่เกินนี้หรอก . . . พอซื้อขึ้นรถมาปุ๊บ กลิ่นงี้อย่างหอมมมมมมมมม โอ่ยยย อยากให้ไปถึงที่พักเร็วๆ จะกินกับข้าวเหนียวให้เพลินเลย . . .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ท้องฟ้าก็เริ่มโพล้เพล้ขึ้นทุกที ผิดกับเส้นทางใน GPS ที่ทำไม้ทำไม มันยังเหลืออีกเยอะเลย . . . เราเริ่มเดินทางไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ทางเริ่มโค้งไปโค้งมา สไลต์ขับรถขึ้นเขา . . . สังเกตอีกที ตอนนี้ฟ้ามืดหมดแล้ว แต่ระยะทางก็ยังอีกไกล ทำไงดี ไม่มีเวลาให้คิด นอกจากขับไปเรื่อยๆ บนถนนมืดๆ ที่บางครั้งแสงนำถนนเกิดจากไฟหน้ารถกระทบกับป้ายและขอบถนนที่เรืองแสง
รถที่เคยพลุกพล่าน กลายเป็นนานๆ ขับสวนมาคันนึง ความเร็วรถที่เคยใช้อยู่ที่ประมาณ 100 กม./ชม.ในการเดินทาง ตอนนี้เหลือเพียง 60 กม./ชม. เพราะทางช่างคดเคี้ยว มืด และเต็มไปด้วยโค้งหักศอกมากมาย แต่บอกเลย เราไม่ท้อ เพราะท้อไป ก้ไม่รู้จะไปนอนไหน 55555 เสียตังค์ค่าที่พักไปแล้วด้วย ขับรถมาตั้งไกล ไม่ได้! ต้องไปต่อให้ถึงที่หมาย . . .
และแล้วเราก็มาถึงทางเข้า อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ในเวลาประมาณ 1 ทุ่ม (555555 ดึกดื่นค่ำคืนมาก) โดยต้องทำการเสียค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท และรถยนต์คันละ 30 บาท จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ . . . เรานั่งดูทางใน GPS ไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะค่อยระวังช่วงโค้งหักศอกให้แฟนเราที่กำลังขับรถ บอกได้เลยว่า เส้นทางที่เราขับรถอยู่นี้ ได้แวะไปหลายจังหวัดมาก ดูจาก GPS แป๊บๆ ขับเข้าจังหวัดพิษณุโลก แป๊บๆ ขับเข้าไปในจังหวัดเลย แล้วก็วกเข้ามาที่เพชรบูรณ์อีกครั้ง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ . . . จนท้ายสุด การเดินทางที่ยาวนานของเรา ก็มาถึงที่หมาย ที่ ไร่ริมผา ในเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ค่ะ T T ลากเลือดมาก 555
***ถ้าใช้เส้นทางพิษณุโลก ขึ้นภูทับเบิก ต้องแน่ใจนะคะว่าน้ำมันเต็มถัง เพราะเส้นทางยาวไกลมาก หากน้ำมันหมด ไม่มีที่ให้เติมแน่นอนค่ะ
พอไปถึงที่ ไร่ริมผา เหมือนบุญจัดสรร เหลือที่จอดเราสำหรับรถเรา 1 คันพอดี จากนั้น เราก็ไปทำเรื่องเช็คอิน โดยที่พักจะทำการเก็บค่าประกันเต็นท์จากเราไปก่อน 200 บาท พร้อมออกใบเสร็จให้ (ตอนกลับจะคืนเงินจำนวนนี้ให้) จากนั้นเขาก็จะให้เราเลือกเต็นท์ ว่าจะเอาโซนไหน . . .
ด้วยที่ว่าที่พักไม่ให้จองเต็นท์ก่อนเข้า และเราก็มาถึงช้ามาก ทำให้เหลือเต็นท์ที่ว่างให้เลือกไม่มากนัก เราจึงเลือกโซนขอบที่ติดกับที่จอดรถ แต่ไม่ไกลจากจุดชมวิวเท่าไหร่นัก เพราะจุดนั้น ขนของลงจากรถง่าย เต็นท์ด้านหนึ่งไม่ติดกับเต็นท์คนอื่น และเดินไปห้องน้ำง่ายค่ะ (ห้องน้ำของที่นี่จะอยู่ใต้ระเบียงจุดชมวิวค่ะ) พอถึงเต็นท์เราก็จัดเจงจัดเต็นท์ โดยนำผ้าห่มที่ทางที่พักเตรียมให้มาปูรองพื้นเพื่อเวลานอนจะได้นิ่มๆ เพราะจริงๆ เราเตรียมเครื่องนอน พวกผ้าห่ม ถุงนอน ของตัวเองมาจากบ้านจึงไม่เป็นปัญหาค่ะ . . .
จัดที่หลับที่นอนเสร็จ ก็ได้เวลา กินข้าว นั่นก็คือ ไก่ย่างวิเชียรบุรีและข้าวเหนียวแสนอร่อยของเรา ถ้าไม่ได้ตัดสินใจซื้อมาคงแย่แน่ๆ ค่ะ . . . นั่งกินไก่ย่าง กับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ จากนั้นเราจึงตัดสินใจไปอาบน้ำค่ะ ที่นี่ห้องอาบน้ำและห้องส้วมจะเป็นแบบรวมค่ะ คือ รวมชายหญิง แยกเป็นห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ห้องส้วมอีกประมาณ 4-5 ห้อง ห้องอาบน้ำที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบแก๊ส ดังนั้นน้ำจึงร้อนสะใจมากๆ อาบทีควันโขมงเลย 555 . . . อาบน้ำให้สบายตัวเสร็จแล้ว ที่นี่ก็รอเวลา เพราะว่าคืนนี้เราจะไปล่าดวงดาวกัน จริงๆ เราไม่โปรทางด้านนี้หรอก แต่อยากลองดู กล้องก็ minorless ธรรมดา แต่อยากจะล่าดาว กับวิว ตอนกลางคืนกับเขาสักครั้ง
ตอนนี้อุณหภูมิลดลงไปมาก อยู่ที่ 13-15 องศาได้ หนาวยะเยือกกันเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่อุปสรรค อุปกรณ์กันหนาวพร้อม ออกไปถ่ายรูปกลางคืนตรงจุดชมวิวกัน . . . ดาวบนฟ้านับร้อยดวงส่องแสงระยิบระยับ ส่วนดาวบนดินก็คือแสงไฟจากถนนและบ้านเรือนในตัวเมืองเพชรบูณ์สวยงามมากๆ เราใช้เวลาง่วนอยู่กับการถ่ายรูปประมาณครึ่งชม. จากนั้นก็กลับเข้าเต็นท์เพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้มีนัดกับทะเลหมอกแต่เช้า (ไม่รู้จะมีไหม) แล้วเราจะไปเก็บภาพกันค่ะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เราไม่แน่ใจว่าเราตื่นเพราะเสียงนาฬิกา หรือเสียงกรน 555555 สำหรับเช้าวันนี้ในช่วงเวลา 06.00 น. บรรยากาศรอบเต็นท์ยังคงมืดอยู่ เราจึงจัดแจงเตรียมกล้อง ขาตั้ง และอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อไปดูทะเลหมอก . . . . . . . . แต่วันนี้ ไม่ใช่วันของเรา เพราะวันนี้ไม่มีทะเลหมอก เห็นแต่เพียงเส้นขอบฟ้าสีส้ม และทิวเขาที่สลับซับซ้อน แต่มันก็เป็นวิวที่สวยมากๆเลยค่ะ เหล่าบรรดาชาวแคมป์เริ่มออกมานั่งรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชุมวิวกันเรื่อยๆ เราจึงได้มีโอกาสเดินเล่นและเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ ของที่ไร่ริมผา เพลินเลย . . . ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ขึ้นจากขอบฟ้า ประกายสีส้มทอแสงไปทั่วทั้งผา สวยงามมากจริงๆ . . .
เมื่อเราได้ภาพสมใจอยากเราแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาทำอาหารเช้าที่เต็นท์แล้วค่ะ . . . ทำอาหารฉบับชาวแคมป์ ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ เพราะเราพกเตาแก๊สปิกนิกมาด้วย 555 ไม่ต้องอะไรมาก ติดหม้อและกระทะเล็กๆ มาด้วย ฉีกมาม่าใส่ลงไป แป๊บเดียว กลิ่นมาม่าหมูสับหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกแล้วค่ะ มื้อเช้าของเรากับแฟนก็ง่ายๆ แค่นี้แหละ แต่ก็อร่อย อย่าบอกใครเลย :)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หลังจากจัดการชีวิตช่วงเช้าที่ไร่ริมผาเสร็จเรียบร้อย เราก็พร้อมที่จะเดินทางกันต่อ โดยเป้าหมายของเราก็คือที่คาเฟ่สุดชิค ที่เมื่อมาเขาค้อก็ต้องห้ามพลาด เพราะรีวิวเยอะเหลือเกิน นั่นคือที่ Pino Latte ค่ะ . . . .
***มาว่ากันถึงเส้นทาง ที่เราใช้ลงจากภูทับเบิกกันดีกว่า . . . ครั้งนี้เราตัดสินใจใช้ทางดั้งเดิม ที่เราเห็นเขาประกาศว่า ถนนทรุด เพราะเราถามเจ้าของไร่ริมผาแล้ว เขาบอกว่า ลงทางนี้ได้ แต่อาจจะมีบางช่วงที่ขรุขระ ถ้าเป็นรถที่โหลดก็อาจจะไปลำบากหน่อย . . . เราก็เลยตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน ลองดูวะ ! . . . ปรากฎว่า เฮ้ย ! ง่าย คือมันง่ายมาก มันไม่ไกล มันใช้ได้นี่หว่า มีบางที่ถนนทรุด แต่ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณไหล่ทาง รถสามารถผ่านได้ จะมีแค่ช่วงที่เป็นแอ่งลงไป 1-2 ช่วงเท่านั้นมั้ง ถ้าเราจำไม่ผิด ทำให้คิดไปว่า “แล้วเมื่อคืน เราไปทางนั้นทำไม” 5555555555 เราใช้เวลาลงจากภูทับเบิกประมาณ ครึ่งชั่วโมง – 45 นาทีเท่านั้น ขณะที่เมื่อคืน เราเดินทางโดยใช้เส้นพิษณุโลก ใช้เวลายาวนานถึง 2 ชม. กว่า และทางก็มืดมากๆ ด้วย 55555555555 เอาเป็นว่าเป็นการรีวิวทาง สำหรับคนรักการผจญภัยแล้วกัน แต่เราว่า ถ้าใช้ทางเส้นนั้นขึ้นตอนกลางวัน ก็น่าจะสวยอยู่ และที่สำคัญมีอุทยานให้แวะพักอีกด้วยค่ะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
มาว่ากันถึงร้านกาแฟสุดฮิตกันดีกว่า ที่ Pino Latte ค่ะ ร้านแห่งนี้ เป็นคาเฟ่ที่สร้างอยู่บนเขา ที่ต้องบอกเลยว่า กาแฟที่นี่ วิวดีจริงๆ แถมยังมีมุมเก๋ๆ ให้นั่งถ่ายรูปกับกาแฟถ้วยโปรด โดยมีฉากข้างหลังเป็นวิวทิวทิศน์ที่สวยงามอีกด้วย
ถามว่า Pino Latte อยู่ตรงไหน . . . . ก็จะตอบว่า ไปทาเดียวกับวัดผาซ่อนแก้วเลย ทางขึ้นทางเดียวกัน แต่เลยวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วไปหน่อยนึงค่ะ . . . .
รวมๆ แล้ว บรรยากาศที่ Pino Latte เราว่าโอเคนะ ถึงคนจะเยอะไปหน่อย แต่ก็เข้าใจค่ะ เพราะว่าบรรยากาศของที่นี่ เรียกได้ว่า ทำเลดีเว่อ จึงเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มลองกาแฟ ขนม อาหาร และเครื่องดื่ม ของที่นี่สักครั้ง สำหรับที่จอดรถก็สะดวกกว้างขวางดี วิวตรงที่จอดรถก็ดีค่ะ 555 เอาเป็นว่ามาที่นี่ วิวสวยๆ กลบรสชาติกาแฟไปเลย 555 เราสั่งโกโก้เย็น แฟนเราสั่งกาแฟปั่น และช็อคโกแล็ตมัฟฟิ่น เราว่ารสชาติโอเค มัฟฟิ่นอร่อย เข้มขนเชียวแหละ แต่เราเพลินกับบรรยากาศมากกว่า อิอิ
ดื่มด่ำกับของหวานกันไปเรียบร้อย ถึงเวลาเดินทางกันต่อ ซึ่งก็ไม่ได้ไกลค่ะ ย้อนกลับทางเดิม ไปนิดนึง เพื่อไปเที่ยว “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” กันค่ะ . . .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว แห่งนี้ มีความน่าสนใจตรงสิ่งก่อสร้างที่มีความสวยงาม โดยจะแบ่งพื้นที่เป็น 2 ฝั่ง มีถนนคั่นกลาง (ถนนสาธารณะ ทางขึ้นไป Pino Latte นั่นแหละ) ฝั่งนึงจะเป็นวิหารที่สวยงาม ซึ่งด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ที่ว่าวิหารนี้สวยงาม เพราะว่าเป็นวิหารที่ประดับประดาไปด้วยกระเบื้องสีต่างๆ วิจิตรงดงามมากเลย ทั้งพื้น ทั้งบันได ทั้งกแพง ล้วยถูกประดับด้วย แก้วสี กระเบื้องสี ลูกแก้วสี สวยงามมากๆ ค่ะ ส่วนด้านบนของวิหารยังมีนิทรรศการศิลปะ เป็นภาพวาดปริศนาธรรมต่างๆ อีกด้วย ดื่มด่ำกับความสวยงามของตัววิหารเสร็จ เราก็เดินข้ามฝั่งมายังอีกฝั่งนึงขอวัด ซึ่งจุดนี้แหละคืไฮไลท์ ของ”วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วค่ะ” . . .
หากพูดถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ภาพที่ถูกส่งออกไปสู่โลกออนไลน์ต่างๆ พวกเราก็คงจะชินตากับ พระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานซ้อนกันหลายองค์ บนยอดเขา อย่างแน่นอน . . . ภาพที่เห็นในเฟซบุ๊กว่าสวยแล้ว มาเห็นของจริงยิ่งสวยและอลังการกว่ามาก บริเวณนี้จะเป็นลานโล่ง ที่ไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้า ต้องถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางรองเท้าก่อนทางขึ้นเสียก่อน สถานที่นี้เรียกว่า มหาวิหารพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ภาพชินตาที่เรามักพบเจอในอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ ซึ่งก็สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ เอาเป็นว่ามาที่วัดนี้ประทับใจค่ะ เพราะบรรยากาศดี ถ่ายรูปออกมาได้สวย ถึงแม้ว่ามาช่วงเที่ยงๆ อากาศจะค่อนข้างร้อน แต่ความสวยงามก็ทำให้เราลืมร้อนไปเลยค่ะ
และนี่ก็คือทริปเที่ยวภูทับเบิก แบบ 2 วัน 1 คืน ของเรา เที่ยวสบายๆ ไปตามจุด Check in ถ่ายรูป และเพลิดเพลินกับความสวยงามของภูเขา ท้องฟ้า และป่าไม้ เอาเป็นว่าเราแฮปปี้ และเหมือนได้พลังชีวิตคืนอีกครั้ง . . . แล้วสำหรับทริปหน้า Where We Go จะไปที่ไหนกันอีก ฝากติดตามด้วยนะคะ
ไปเที่ยวด้วยกันค่ะ . . .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“หาเวลาเที่ยวเถอะค่ะ มันดีจริงๆ”