หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
News บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

พ่อเผย 7 เหตุผลที่ไปยื่นใบลาออกจากโรงเรียนดังให้ลูก แม้สอบเข้ายาก!

โพสท์โดย NANO888

 ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์  อาจารย์จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ออกมาเผย 7 เหตุผลที่ไปยื่นใบลาออกจากโรงเรียนดังให้ลูก แล้วให้มาเรียนโรงเรียนธรรมดาแถวบ้าน โดยระบุว่า 

"โรงเรียนที่ดี"

โรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกของเราคือโรงเรียนอะไร? โรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โรงเรียนที่ถูกจัดอันดับในระดับต้นๆ มีเด็กโอลิมปิกวิชาการเกลื่อนโรงเรียน หรือโรงเรียนที่แสดงขึ้นบอร์ดหน้าโรงเรียนว่าเด็กจากโรงเรียนนี้สามารถเข้าหมอเข้าวิศวะหรือเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก

เมื่อวานนี้ ภรรยาของผมเพิ่งไปทำเรื่องการ "ลาออก" ของลูกสองคนจากโรงเรียนรัฐบาลไทยที่มีชื่อเสียงและมีคนอยากเข้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (ดังขนาดมีอัตราการสอบเข้า 1 ต่อ 30, ต้องกวดวิชาเข้าตั้งแต่อนุบาล, ถ้าอยากจ่ายแป๊ะเจี๊ะก็ 7 หลักขึ้นไป, จนเลยเถิดไปถึงมีบทสวดสำหรับพ่อแม่ต้องไปนั่งสวดหน้าประตูโรงเรียนเพื่อขอให้ลูกตัวเองสอบเข้าได้) แล้วมาเข้าเรียนโรงเรียนเล็กๆ แถวบ้าน (จากที่ต้องขับรถ 1.5 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที) แน่นอนว่าถ้ายังเรียนที่โรงเรียนมีชื่อนี้ต่อ ผมเชื่อว่าลูกของผมคงสามารถเข้าเรียนในคณะหรือในมหาวิทยาลัยดังๆ ได้อย่างไม่ยากนัก และเพราะเหตุใด ทางครอบครัวเราถึงตัดสินใจอะไรที่ดูบ้าๆ เช่นนี้

โรงเรียนดัง มีชื่อเสียง และออกจะเท่ห์หากบอกใครๆ ว่าลูกเราได้เรียนที่นี่ แต่ถ้าใครติดตามแนวคิดด้านการศึกษาของผมมาเรื่อยๆ น่าจะพอสรุปเหตุผลของการตัดสินใจของผมได้ว่า

1) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ต้องมีการสอบ ไม่ว่าจะสอบย่อย สอบกลางภาค หรือสอบปลายภาค ถ้าจะมีก็ขอให้จัดแบบไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า โดยสอบเพื่อประเมินครูและประเมินโรงเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่ประเมินเด็ก การสอบคือการทำร้ายเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกถึงการแข่งขัน ทำให้เด็กต้องวิ่งลอกไปกวดวิชา ทำให้เด็กรักตัวเองมากกว่าจะรักส่วนรวมและสังคม (อาจจะจำได้ว่าผมเคยเขียนเรื่องเด็กโดดทำเวรเพื่อหนีไปกวดวิชามาแล้ว)

  2) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่จะสั่งการบ้าน หรือโครงการอะไรมาทำนอกห้องเรียน ผมคิดว่างานทุกอย่างควรเสร็จตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน เวลาหลังเลิกเรียน วันหยุด หรือช่วงปิดเทอม ควรเป็นเวลาที่เด็กได้ทำในสิ่งที่เขารักหรือมี passion กับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะดนตรี กีฬา ศิลปะ ทำงานเสริม เข้าวัดนั่งสมาธิ หรือนอนเล่นๆ อยู่บ้านก็ได้ การมีการบ้านมากมายเป็นอุปสรรคสำคัญที่เด็กไม่สามารถทำกิจกรรมที่เขาอยากทำนอกโรงเรียนได้ และสุดท้ายเด็กก็ไม่ประสบความสำเร็จใน passion ของตน เพราะมัวแต่ต้องไปเสียเวลาทำการบ้าน (และสอบ)

  3) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ต้องมีการกวดวิชา การกวดวิชาอาจจะทำให้ลูกของผมเป็นที่หนึ่งของห้อง ได้เกรด 4.0 หรืออาจสามารถไปสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ในระดับสูงขึ้นต่อได้ แต่ความสำเร็จ "ระยะสั้น" เหล่านี้มันไม่คุ้มค่ากับต้นทุน "ความเครียด" ที่ลูกผมจะได้รับเอาเสียเลย ใครจะไปรู้ว่าถ้าเครียดมากๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นบ่อเกิดไปสู่ "การฆ่าตัวตาย" ที่เราเห็นจากข่าวต่างๆ ที่ผ่านมาเมื่อเด็กกวดวิชาเหล่านั้นต้องโตเป็นวัยรุ่น (หรือเข้ามหาวิทยาลัย) ก็ได้ หรือต่อให้ไม่เกิดขึ้น แต่เท่าที่สังเกตุเป็นการส่วนตัว ผมเห็นว่าเด็กที่กวดวิชาโดยส่วนใหญ่จะมีบุคคลิกภาพที่ออกมาไม่ Smart เท่าเด็กที่ไม่ต้องกวดและได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวให้ได้ทำตาม Passion ของตัวเอง (ไม่เชื่อลองสังเกตุกันดูได้)

4) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่เน้นวัดความเก่งของคนแบบ "การตัดเสื้อตัวเดียวให้ใส่ทุกคน (One Size Fit All)" อย่างเช่นการวัดที่การเขียนในกระดาษคำตอบบนโต๊ะสอบ แล้วครูเอามาตรวจและประกาศให้ทราบกันหน้าชั้น แต่ผมชอบว่าวัดความสามารถแบบการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะสอบกระโดษเชือกในวิชาพละ ถ้านาย ก กระโดดเก่งอยู่แล้ว และนาย ข ยังกระโดดไม่เป็น ผมอยากเห็นระบบการศึกษาที่กำหนดให้นาย ก ต้องไปช่วยนาย ข ให้กระโดดให้ได้ มากกว่าที่จะวัดต่างคนต่างกระโดด การให้กำลังใจกัน การช่วยเหลือกัน การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งที่เราควรให้รางวัลกับสิ่งนั้นมากกว่าการเก่งเฉพาะบุคคล เพราะมันเป็นทักษะของผู้ใหญ่ที่ประเทศชาติต้องการมากกว่าคนเก่งที่เห็นแก่ตัว

 5) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่พอโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เรากลับไปเพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม วิชาใหม่ๆ เข้ามา แต่ไม่ไปลดวิชาเก่าที่ล้าสมัยไปแล้ว (ด้วยเหตุผลที่ว่า เราต้องช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมและของเก่าเอาไว้) ยกตัวอย่างเช่น พอประเทศจีนเริ่มพัฒนา โรงเรียนก็ใส่วิชาภาษาจีนเข้ามา (แต่ไม่ได้ไปลดวิชาภาษาไทย) หรือเมื่อโลกเข้าสู่ยุค 4.0 โรงเรียนก็ไปใส่วิชา Coding เข้ามา (แต่ยังคงต้องคัดไทยเหมือนเดิม) วิชาหลายวิชาที่เรียนในโรงเรียนในปัจจุบันจำเป็นเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว แต่มันไม่จำเป็นกับโลกอนาคต การศึกษาต้องสอนเด็กให้เป็น "ประชากรโลก (Global Citizen) ไม่ใช่ Old-School Local Citizen

  6) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาแบบ ท่อง ท่อง ท่อง (และมาสอบกับสิ่งที่ท่องมา) การศึกษาควรบูรณาการทุกวิชาเข้าร่วมกันได้ในลักษณะของ Project Based หรือ Problem Based Learning เช่น การให้เด็กเข้าไปดูปัญหาของชุมชนรอบๆ โรงเรียน และกำหนดให้เด็กทำโครงการที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาชุมชนให้ได้ ซึ่งโครงการเหล่านั้นอาจต้องใช้ทั้งวิชา สังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ พละศึกษา และอื่นๆ ซึ่งเด็กนอกจากจะได้ความรู้ในการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ แล้ว เด็กยังได้ความมีจิตสาธารณะเพิ่มเติมด้วย การสอนท่องๆๆ แล้วสอบกับการสอนให้คนประยุกต์และออกมาเป็นคนดี อันไหนจะดีกว่ากัน

 7) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ "ไม่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตของเด็ก" (ตรงกันข้าม สิ่งต่างๆ ข้างต้นกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต) ช่วงเวลาเด็กประถมศึกษาอยู่ในช่วงของการสร้างสมองและร่างกายให้แข็งแรงและสูงใหญ่ ดังนั้น "การนอนและการกิน" มากๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรงเรียนที่เด็กไม่ต้องตื่นเช้ามาก ไม่ต้องเสียเวลานานกับการเดินทาง จึงเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด ยกตัวอย่างของประเทศจีนให้ความสำคัญในเรื่องส่วนสูงของเด็กนมากๆ โรงเรียนในกรุงปักกิ่งจะกำหนดความสูงขั้นต่ำของเด็กผู้ชายวัยรุ่นไว้ที่ 182 ซม และของผู้หญิงวัยรุ่นไว้ที่ 174 ดังนั้นถ้ามามัวแต่เรียนหัวโตอย่างเดียว เด็กเหล่านี้ก็จะไม่สามารถสูงใหญ่ได้ตามที่กำหนดไว้ ดังนั้นผมจึงอยากเห็นโรงเรียนที่ "บังคับ" ให้เด็กจะต้องวิ่งเล่นที่สนามให้มากๆ แทนที่จะมานั่งในห้องเรียน ดังนั้นวิชาที่สำคัญมากๆ ก็คือวิชาพละศึกษา ที่โรงเรียนควรต้องมีวิชานี้ทุกวัน (หรือถ้าไม่มีต้องมีช่วงเวลาพักให้เด็กได้วิ่งเล่นมากๆ)

โดยสรุป โรงเรียนที่ดีสำหรับผมก็คือ "โรงเรียนที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครอบครัว" สำหรับครอบครัวของผม โรงเรียนที่เหมาะสมคือ ไม่ใช่เรื่องของชื่อเสียง แต่ต้องใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางนาน ลูกมีเวลานอนและมีเวลากินข้าวเช้าแบบไม่เร่งรีบ ไม่ต้องมีการบ้านหรือมีการสอบ (หรือมีให้น้อยที่สุด) เรียนกันแบบช่วยเหลือกันมากกว่าการแข่งขันกัน (แน่นอนว่าไม่ใช่ระบบ Home School) ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งการกวดวิชา (เพราะไม่มีสอบ จะกวดไปทำไม) เน้นพัฒนาทักษะชีวิต (เพราะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด) สร้างระบบที่สอนให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายของเด็กเป็นสำคัญ

แต่ทั้งนี้ โรงเรียนที่ดีของแต่ละบ้านก็คงไม่เหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่และลูกต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกันว่า "ครอบครัวเราจะไปในแนวทางไหน (สายชิลล์หรือสายกวด)"

จากความคิดเห็น 

มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

      สำหรับเรื่องนี้ก็นับว่เป็นเหตุผลที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทั้งนี้ก็เป็นเหตุผลและขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของพ่อแม่นะคะ 

โพสท์โดย: NANOZ
แหล่งที่มา: http://kaijeaw.in.th/
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
NANO888's profile


โพสท์โดย: NANO888
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: zerotype, Endymion
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เอาให้สุด! แชร์ว่อนโซเชียล ยันต์ "ลาบูบู้"..หลายคนต่อคิวสักเพียบอัลบั้มเพลงที่ขายดีที่สุด เท่าที่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์"สวีท ฮาร์ท" หนึ่งในจระเข้ยักษ์ ในตำนานของประเทศออสเตรเลียแปลปกสลากสัญจร จังหวัดชัยนาท งวด 1 มิถุนายน 2567คาถาพลิกชีวิตของ หลวงปู่ศิลา สิริจันโทรู้หรือไม่ พระประจำวันเกิดของตัวเองเป็นพระพุทธรูปปางอะไรและมีลักษณะอย่างไรส่อง! 6 นางงามจักรวาล บนพรมแดงเมืองคานส์ฮือฮา! ร่างทรงประทับพิธีบวงสรวงขอสร้าง "วังพญานาค""เทสลา"ลุยขยายโรงงานในเยอรมันท่ามกลางเสียงประท้วง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
บ้านไหนมีนกพิราบระวังไฟไหม้..เพราะรังใต้ฝ้าเป็นเชื้อไฟอย่างดีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ประจำ 4 ภาคของไทย"ภูมิใจไทย" ยืนยันจุดยืน ออกกฏหมายใช้กัญชาทางการแพทย์ เรียกร้องทุกภาคส่วนทำตามนโยบายรัฐบาล"เทสลา"ลุยขยายโรงงานในเยอรมันท่ามกลางเสียงประท้วง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
ชาวปาเลสไตน์เกือบแปดแสนคนอพยพจากเมืองราฟาห์"เทสลา"ลุยขยายโรงงานในเยอรมันท่ามกลางเสียงประท้วงสุดยอด!นักเรียนโรงเรียนบ้านก่องาม -ทุ่งใหญ่สอบโอเน็ตวิชาภาษาอังกฤษได้ 100 คะแนนเต็มเม็กซิโกฉลองวันlปลือยกาย
ตั้งกระทู้ใหม่