ฉันเอาผักไปให้ลูกสาว ลูกเขยจึงให้เค้กที่กินเหลือมาครึ่งกล่อง พอกลับถึงบ้านเปิดดู ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
มีเรื่องราวสุดน่าประทับใจมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ซึ่งเรื่องราวนี้มาจากเว็บไซต์ต่างประเทศ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า…
ลูกสาวและลูกเขยพวกเขารู้จักกันผ่านการแนะนำของแม่สื่อในหมู่บ้าน การที่ให้ลูกสาวแต่งงานไวๆ ฉันเองก็รู้สึกเสียใจอยู่นิดๆ แต่เพราะว่าสามีของฉันเสียชีวิตไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ฉันต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสองเพียงลำพัง ค่อนข้างลำบากมาก และตอนนี้ก็ถึงเวลาของลูกชายคนเล็กที่จะแต่งงานแล้ว
เมื่อฉันให้ลูกสาวคนโตแต่งงานเสร็จ ก็ต้องรีบทำงานเก็บเงินให้ลูกชายเพื่อแต่งงาน อาจพูดได้ว่าฉันลำเอียง แต่ทำอะไรได้หล่ะ ฉันตัวคนเดียว เลี้ยงลูกสองคนจนโตก็ลำบากมากอยู่แล้ว ยังดีว่าลูกสาวเข้าใจฉัน และยอมแต่งงานไปอยู่กับสามีของเธอ
เมื่อลูกสาวแต่งงาน ฉันไม่ได้ให้เงินทองไปมากมายเท่าไหร่ ฉันเองก็รู้สึกเสียใจที่ทําแบบนี้กับลูกสาว จึงอยากจะชดเชยให้ลูกสาวหลังเธอแต่งออกไปแล้ว ฉันได้ปลูกผักไว้กินเอง ดังนั้นฉันจึงได้เอาผักที่บ้านไปให้ที่บ้านลูกสาวกินบ่อยๆ
หลังจากที่ลูกสาวแต่งงานไป แม่สามีของลูกสาวได้แบ่งที่ดินแปลงหนึ่งให้กับพวกเขา ฉันรู้ว่าลูกสาวยุ่งกับการทํางาน ไม่มีเวลาดูแลที่ดิน ฉันก็จะไปช่วยตัดหญ้าปลูกผักให้เธอ บางวันลูกเขยเลิกงานกลับบ้านมา แต่ลูกสาวยังไม่ได้กลับบ้าน ฉันก็จะไปช่วยทํากับข้าวให้เขากิน เพราะฉันไม่มีเงินให้ลูกสาว ทำได้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ลูกเขยเป็นคนดีมาก รู้ว่าฉันลำบากขนาดไหนและเห็นใจฉันมาก เวลาเห็นฉันช่วยทำงานบ้านให้ ก็จะบอกว่าให้ฉันนั่งพัก เดี๋ยวเขาจะทำเอง ฉันก็ชอบชมลูกเขยต่อหน้าลูกสาวอยู่บ่อยๆ ว่า ลูกสาวเจอคนดี มีชีวิตแต่งงานที่ดี ฉันรู้ว่าพวกเขากว่าจะมีวันนี้ก็ไม่ง่าย ฉันจึงไม่ค่อยอยากจะรบกวนอะไรลูกอีก เพื่อจะเก็บเงินให้ลูกชายแต่งงาน ในช่วงกลางวันฉันก็จะไปหาฟืนและเห็ด แล้วก็เก็บขยะพร้อมกัน เพื่อเอาไปขายแลกเงิน
ผ่านความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดฉันก็สามารถสร้างบ้านใหม่ให้กับลูกชายได้ และมีหญิงสาวคนหนึ่งยอมแต่งงานกับลูกชาย แต่ทางครอบครัวของหญิงสาวได้เรียกสินสอดมามากเกินไป ฉันเข้าใจว่าหญิงสาวทุกคนมีค่า การเรียกสินสอดนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่สำหรับสภาพครอบครัวของฉัน ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง ฉันได้เอาผักไปส่งให้ลูกสาวตามปกติ แต่บังเอิญวันนั้นเป็นวันเกิดแม่สามีของลูกสาวพอดี พวกเขาซื้อขนมเค้กให้แม่สามีฉลองกัน เมื่อฉันไปถึง พวกเขาก็ชวนให้ฉันไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ฉันไม่กล้าปฏิเสธ จึงได้นั่งกินข้าวกับพวกเขา
ในระหว่างกินข้าวพวกเขาได้ถามถึงเรื่องงานแต่งของลูกชาย ฉันกลัวว่าลูกสาวกับลูกเขยจะเป็นห่วง ฉันจึงบอกกับพวกเขาไปว่า “ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยหมดแล้ว”
ก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน ลูกเขยก็เอาเค้กที่กินเหลือมาให้ฉันนำกลับบ้าน บอกว่าให้ฉันเอาไว้กินตอนกลางคืน และเอาให้ลูกชายกินด้วย ฉันเกรงใจไม่กล้ารับ แต่เห็นท่าทีที่ลูกเขยแล้ว ฉันไม่อยากขัดน้ำใจของเขา จึงรับมาแล้วเอากลับบ้าน
ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ฉันได้พบเพื่อนบ้านหลายคน พวกเขายังหัวเราะเยาะว่า ลูกเขยเอาของที่กินเหลือให้อย่างนั้นหรอ ทำไมไม่ซื้อของใหม่ให้ ไม่กตัญญูเลย ฉันจึงรีบอธิบายว่า ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันห่วงเค้กจะเสีย จึงรีบแกะกล่องขนมเค้กออกเพื่อให้ระบายอากาศ เมื่อเปิดออกมาดูเท่นั้นแหละ ฉันเห็นมีถุงพลาสติกอยู่ข้างๆ และมีเงินสดสองหมื่นหยวนอยู่ในนั้น แล้วยังมีโน๊ตเล็กๆ เขียนไว้ว่า
“แม่ครับ นี่เป็นเงินค่าสินสอดของน้องชาย ผมรู้ว่าแม่ไม่กล้าเอ่ยปากขอ ผมได้ยินคนข้างบ้านพูดกันว่า แม่ยังขาดเงินอีกสองหมื่น ถ้าผมเอาเงินก้อนนี้ให้กับแม่ต่อหน้าทุกคน แม่คงจะไม่ยอมเอาแน่ๆ แม่เอาเงินก้อนนี้ไปเป็นค่าสินสอดเลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ผมรู้แม่ลำบากขนาดไหน เราไม่ได้คิดอะไรกับแม่เลย ตลอดหลายปีมานี้แม่ก็ดูแลผมกับภรรยา เรารู้แม่ทำดีกับเราขนาดไหน นี้เป็นเงินนิดๆหน่อยๆ เพื่อตอบแทนพระคุณของแม่นะครับ”
ฉันอ่านไปน้ำตาไหลไป ลูกเขยเป็นคนดีจริงๆ รู้จักเห็นใจฉันและมีความกตัญญู โชคดีของลูกสาวแท้ๆ ที่ได้เจอคนดีๆ แบบนี้ ฉันเองก็โชคดีที่ได้ลูกเขยดีๆ แบบนี้ ต่อไปฉันจะดูแลช่วยงานบ้านของพวกเขาให้ดีกว่านี้อีก และทีนี้ฉันก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องสินสอดอีกต่อไปแล้ว
แหล่งที่มา: https://www.item2day.com