เด็กบ้านนอกไม่มีเงินเรียน รับจ้างส่งผักในตลาด ขับวิน สานฝันจนได้เป็น “อัยการ”
เส้นทางชีวิตของคนเรานั้น ไม่เหมือนกัน บางคนมีพร้อมทุกอย่าง ใช้แรงเดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงจุดหมายได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก แต่บางคนต้องใช้แรงที่มีทั้งหมดในชีวิตเพื่อฝ่าฟันอุปสรรค และขวากหนามต่างๆ ไปให้ถึงจุดหมายเช่นเดียวกับชีวิตของหนุ่มวินมอไซค์รับจ้างรายนี้ที่มีชื่อว่า วรวิทย์ เอี่ยมสำอางค์ หรือ โจ โดยตัวเขานั้นสามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนสามารถเป็นอัยการทนายแผ่นดินได้สำเร็จ ซึ่งอัยการวรวิทย์นั้นได้สอบติดอัยการผู้ช่วยเป็นรุ่นที่ 51 โดยในปัจจุบันนั้นดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ ช่วยข้าราชการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ และได้ปฏิบัติงานราชการอยู่ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 5
โดยทางตัวเขาได้กล่าวว่า “ผมเกิดในครอบครัวที่ประกอบอาชีพขายสินค้าทางด้านเกษตรกรพวกผักผลไม้ในจังหวัดเพชรบุรีและมีพี่น้องรวมทั้งหมดประมาณ 4 คนโดยตัวผมเป็นคนที่ 3 และในช่วงชีวิตวัยเด็กนั้นพ่อแม่ไม่ค่อยได้สนับสนุนให้เรียนต่อหนังสือ เพราะว่าครอบครัวนั้นประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก และก็อยากจะให้ลูกๆ ประกอบอาชีพค้าขาย เนื่องจากเป็นอาชีพที่อิสระ และไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร
ถ้าหากส่งรูปเรียนชั้นสูงสูงๆ ก็จะไม่ส่งลูกถึงฝั่งได้เพราะว่าครอบครัวมีฐานะยากจน ซึ่งทางพ่อของผมเองก็มักจะพูดกับลูกๆ เสมอว่าเรียนจบมาก็ต้องเป็นลูกน้องคนอื่นส่วนจะสอบข้าราชการนั้นอย่าหวังเลยยิ่งชาวบ้านอย่างเราๆ จะได้มีโอกาสสอบหรือ”โดยอัยการวิทย์นั้นได้เรียนจบจากชั้นป 6 ที่โรงเรียนบ้านท่ายางซึ่งถือเป็นชั้นที่ภาครัฐได้บังคับให้เด็กไทยทุกคนต้องเรียน แต่พอจะเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาในตอนต้นพ่อก็ไม่อยากให้เรียนต่ออยากจะให้มาช่วยค้าขายที่บ้านแทนแต่ตัวอัยการวิ่งได้ขัดใจพ่อ และไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้นแต่ก็เรียนได้แค่เพียงชั้นม 1 เท่านั้น
เพราะทางบ้านเกิดปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก จึงทำให้เขาจำใจต้องลาออกจากโรงเรียนและไปช่วยครอบครัวค้าขาย หารายได้เพื่อใช้ห-นี้—สิน และนอกจากการขายผักผลไม้แล้ว เขายังต้องขายข้าวหลามเผาที่ตลาดนัดในย่านจังหวัดนนทบุรีอีกด้วยซึ่งหากมีเวลาว่างก็จะรับจ้างยกขนของพวกสินค้าเกษตร โดยอัยการวิทย์ก็ได้เล่าอีกว่า “มีอยู่วันหนึ่งตัวผมนั้นกำลังทำงานยกตะกร้าผักอยู่แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนสมัยมัธยมต้นที่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไป มีส่งเสียงหยอกล้อ ซึ่งในตอนนั้นผมมองดูแล้วมันช่างสนุกสนานและกลับกันมามองที่ตัวผมเอง ผมต้องมาทำงานแบกหาม และเห็นเช่นนี้ก็จึงตัดสินใจได้ว่าผมจะต้องกลับไปเรียนอีกครั้งให้ได้ จึงแอบพ่อแม่ไปสมัครเรียนกศน.
และพอจบชั้นมัธยมต้นก็ตัดสินใจขออนุญาตพ่อเรียนต่อในชั้นม 4 แต่ในครั้งนี้พ่อก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจอะไรจึงยอมให้เรียนต่อสายสามัญในที่สุด แต่ตัวผมก็ยังต้องช่วยพ่อแม่ขายของตามปกติอยู่ และในระดับชั้นอุดมศึกษานั้นทางพ่อก็บอกว่าไม่มีเงินส่งเรียน แต่ในใจก็คิดเพียงแค่ว่าไม่เป็นไร ขอแค่มีโอกาส จึงได้มาสมัครในคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และสามารถเรียนจนจบชั้นระดับปริญญาตรีได้ในปี พ.ศ 2551
และระหว่างทำเรื่องขอนั้นก็ยังทำเตาย่างไก่ให้ ผมไปขายตามตลาดนัดแถวๆ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งตัวผมก็ไม่ได้ขัดใจแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่พ่อนั้น ให้โอกาสจนสามารถเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรีได้ในขณะที่เริ่มขายไก่ย่างไปได้สักพักหนึ่ง โดยในช่วงนั้นเป็นช่วงปัญหาของเศรษฐกิจโลกซึ่งขายของขาดทุนขึ้นเรื่อยๆ จึงขอพ่อลงมาเรียนเนติบัณฑิตต่อ” และระหว่างนั้นเองความเจ็บปวดก็เข้ามาเยือนเสาหลักของครอบครัวในที่สุดเพราะพ่อของอัยการ with ได้เป็นโรคเบาหวานลงขาจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงทำให้อัยการ with ต้องคอยดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดบางช่วงหาอาการดีขึ้น ตัวเขาก็ไปหางานทำแต่ก็ยังทำงานประจำไม่ได้
เพราะต้องคอยกลับมาดูแลพ่ออยู่เสมอกันจึงตัดสินใจขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อยู่แถวย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหงวิทยาเขตบางนา โดยขี่รถตั้งแต่ตี 05:00 จนถึง 08:00 นและ 18:00ถึง 19:00 นโดยตลอดเวลาที่พ่อป่วยประมาณ 5 ปีเขาก็ดูแลพ่อไปด้วยและขี่วินมอเตอร์ไซค์ไปด้วย อีกทั้งยังอ่านหนังสือเพื่อที่จะสอบเนติบัณฑิตไปด้วยจนสามารถเรียนจบชั้นเนติบัณฑิตได้ในสมัย 65 โดยช่วงนั้นอาการของพ่อทรุดหนักลงเป็นอย่างมากสมองเรื่องไม่รับรู้อะไร เหมือนเจ้าช-า-ย-นิ-ท-รา โดยในตอนนั้นครอบครัวหมดความหวังเป็นอย่างมาก
ในแต่ละวันที่พระจะจากไปโดยในทุกเช้าที่เขาตื่นนอนขึ้นมาก็จะเห็นพ่อนอนแน่นิ่งแล้วรู้สึกใจหายทุกครั้ง ต้องคอยเปิดผ้าห่มดูว่าพ่อยังหายใจอยู่หรือไม่ โดยในช่วงนั้นเขาก็ได้มีโอกาสเข้าสอบอัยการผู้ช่วยครั้งแรกเมื่อปีประมาณ 2557จึงรู้สึกได้ว่าข้อสอบยากอย่างมากจนสอบไม่ผ่านและคิดในใจว่าถ้ามีเวลาเตรียมตัวดีๆ ก็น่าจะสามารถทำได้ และจนกระทั่งในวันที่ 27 มกราคม 2558 พ่อจึงเสียชีวิตลงผมจึงขอให้แม่และคนในครอบครัวช่วยเก็บSพพ่อเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งเผา รอจนกว่าจะสามารถสอบอัยการรอบต่อไปได้สำเร็จ เพื่อที่จะแต่งชุดปกติขาวในวันงานเผาพ่อให้ได้
ช่วงที่พ่อเสียชีวิตลงเขาจึงได้ตัดสินใจขายเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ และหันมาเป็นทนายความในช่วงปี 2558 ซึ่งการทนายความน้ำเยอะเป็นอย่างมาก โดยตัวเขาก็รับหน้าที่เป็นเสมียนทนายความเป็นทั้งคนขับรถ และจัดทำเอกสารเองหมดทุกอย่าง จึงแทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอัยการแต่อย่างใดจึงอ่านในห้องพิจารณาคดีระหว่างรอผู้พิพากษาลงบ้างดังบ้าง อ่านระหว่างรอคัดเอกสารบ้างโดยในตอนนั้นก็คิดว่าความหวังที่จะใส่ชุดปกติขาวในวันงานเผาศพพ่อเริ่มหมดไป จึงได้มีการบอกกับทางครอบครัวว่าให้เผาsพพ่อก่อนดีกว่าหากรอจนกว่าเขาจะติดอัยการแล้ว เราก็ssพพ่อคงไม่ได้เผาสักทีหนึ่งจึงทำให้ครอบครัวตัดสินใจของssพพ่อ หลังจากวันที่เขานั้น สามารถสอบอัยการได้สำเร็จในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย
ด้วยความรู้สึกแรกหลังจากที่สอบติดอัยการนั้น เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากแต่ก็เสียใจที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองพอ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงได้ใส่ชุดปกติขาวไปงานssพพ่อดังที่ตั้งใจเอาไว้ และสาเหตุที่ทำให้อาการ with นั้นได้เข้ามาเดินสายของนักกฎหมายอัยการนั่น ก็เป็นเพราะว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนและเมื่อตอนเด็กพ่อเคยเป็นคดีความขึ้นศาลแพ่งคดีนั้น ทำให้พ่อต้องเป็นโจทก์ฟ้องคดี ซึ่งกว่าจะชนะคดีก็ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะชนะได้ และจำได้ว่าในตอนนั้นพ่อกับญาติๆ ต้องไปสายเป็นประจำ และทุกครั้งที่ไปพ่อก็จะรู้สึกเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังต้องนัดพบเพื่อคุยกับคนแก่ผมหงอกที่ทุกคนให้ความเคารพ และเกรงใจและในแต่ละครั้งก็จะต้องมีของฝาก อีกทั้งยังต้องมีพ่อค้าแม่ค้าขายของที่ไม่ได้เงินทองมากมาย เอาเงินมาซื้อของให้กับชายแก่คนนี้เป็นประจำจน บางครั้งถึงขั้นต้องหยิบยืมคนอื่น ซึ่งก็ตามมาทีหลังว่านั่นคือทนายความของเรานั่นเองและในตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่า คนคนนี้ดูแล้วน่าเกรงขามแต่ยังไม่รู้หรอกว่าทนายความคืออะไร เพียงแค่ว่าเห็นพ่อตัวเองนั้นเก่งอยู่แล้ว แต่พ่อยังเคารพบุคคลคนนี้ที่เก่งกว่า ซึ่งผมตัวเขาก็เคยถามพ่อว่าแต่ในความกลัวตำรวจหรือไม่ซึ่งพ่อก็บอกว่าตำรวจส่วนใหญ่กลัวทนายความมากกว่าจึงทำให้เขามีคำถามในใจว่าอัยการคือใคร
พอเริ่มโตขึ้นก็ทราบว่าอัยการคืออะไร ทำหน้าที่อะไร ประกอบกับสามีของอาผมเป็นอัยการผมจึงเริ่มสังเกต และมักจะพูดคุยกับอาเขยอยู่เป็นประจำทุกครั้งที่มีโอกาสได้พบท่าน และเริ่มรู้จักพนักงานอัยการมากขึ้น จนเริ่มอยากจะเป็นอัยการในที่สุด อีกทั้งผมยังมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนสายกฎหมายเพื่อสอบเป็นบรรจุอัยการตลาดใหม่ด้วยนอกจากนี้การวิจัยกลับถึงไทยว่าเมื่อใดที่เขานั้นได้เป็นอัยการตามที่หวังแล้วก็จะตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งของตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยุติธรรมและจะอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายปราศจากอคติทั้งปวงได้จะเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนตล
แหล่งที่มา: https://jorkhaoseed.com
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
"DJ Sakura Soh" กับบทบาทใหม่ในวงการ JAV
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
เขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
หมอปลาย พรายกระซิบ รีเทิร์นแบบฮาๆ! ทำนายพลาดทัวร์ลงหนัก ขอโทษยกมือไหว้ วอนชาวเน็ตให้โอกาสแก้ตัว ไม่งั้นเลิกดูดวงไปจับผีเต็มตัวซะเลย!
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
เงินเดือนผู้ประกาศข่าว
ปลาย พรายกระซิบ ยัน "ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ต้องหาอาชีพอื่นสำรองไว้ด้วย
พชร์ อานนท์ การันตี "หอแต๋วแตก" ภาคล่าสุด เส้นเรื่องแน่น มุกสดใหม่ทันเหตุการณ์
"จีน-รัสเซีย" ผนึกกำลังรุมบดขยี้ "สหรัฐ" ส่งเรือรบยึดน้ำมัน ใช้กำลังทหารรุกราน "เวเนซุเอลา"







