"หลวงปู่เทพโลกอุดร" ผู้เป็นบรมครู ของเหล่าสุดยอดเกจิชื่อดัง ในเมืองไทย
ความลี้ลับมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ยังคงปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัย ท้าทายความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ของคนยุคปัจจุบัน หากแต่ปาฏิหาริย์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นมักปรากฏเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัว บุคคล ที่ทางพระเรียกว่า “ปัจจัตตัง” เท่านั้น และหนึ่งในเรื่องราวหลากร้อยหลายพันเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนานั้น เรื่องของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นับเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในกระแสแห่งความสนใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงนักปฏิบัติกรรมฐาน
เรื่อง ราวของหลวงปู่โลกอุดรเป็นเรื่องที่เล่าลือเป็นเวลานานกว่า ๖๐ ปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวประสบการณ์ของผู้ที่ได้พบเจอ อาทิเช่นได้ใส่บาตร ได้พบในนิมิต ได้ฟังหลวงปู่เทศนาสั่งสอน อย่างใดอย่างหนึ่งมาโดยตลอด โดยระบุว่า หลวงปู่โลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับไปมาไร้ร่องรอย ปรากฏกายได้ทุกรูปแบบ ทรงซึ่งอภิญญาสูงสุด มีอายุยืนนานหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ไม่อาจคำนวนนับได้แม้แต่ชื่อเรียกท่านเองก็เป็นเพียงชื่อสมมุติเท่านั้น ไม่มีใครรู้จักนามท่านจริงๆ ว่าคือใคร
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับหลวงปู่โลกอุดรไว้มากมายหลายข้อมูล บ้างก็ว่าท่านคือพระภิกษุรูปสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปปสัมปทาให้โดยตรง และมีพระพุทธบัญชาให้รักษาพระพุทธศาสนาครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปี บ้างกล่าวว่าหลวงปู่โลกอุดรอาจเป็นพระอุปคุตเถระ ผู้ทรง อภิญญาสมาบัติสูงสุดองค์หนึ่ง ได้รับพุทธบัญชาให้ดุแลพระพุทธศาสนาจนครบ ๕,๐๐๐ ปีจึงเข้านิพพาน ปัจจุบันทางเหนือของไทย รวมไปถึงไทยใหญ่ พม่า มอญก็ยังเชื่อว่าพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ และจะมาโปรดในวันที่พระจันทร์เต็มดวงตรงกับวันพุธ โดยทางเหนือจะเรียกวันนี้ว่า “วันเพ็งพุธ” จะมีการใส่บาตรเที่ยงคืนในวันนี้ด้วย
บ้างก็เชื่อว่าหลวงปู่โลกอุดร คือ “พระอุตตระเถระ” ผู้มาพร้อมกับพระโสณะเถระ เป็นสมณะทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าพระอุตตระนั้นยังดำรงสังขารขันธ์อยู่เพื่อดูแลพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
ในทุกๆ ข้อมูลจะมีความเชื่อร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งข้อคือ หลวงปู่โลกอุดรนั้นมิใช่เป็นเพียงวิญญาณของพระทรงอภิญญา หากแต่เป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดและยังมีชีวิตอยู่ตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้ อาจมีอายุเป็นร้อยหรือเป็นพันปีมาแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าทำหน้าที่รักษาดูแลพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕ พันปีนั่นเอง
นอกจากข้อมูลทางด้านตำนานการสันนิษฐานแล้ว หากเราลองย้อนดูประวัติของพระเกจิอาจารย์ พระวิปัสสนาจารย์ที่ประสบความสำเร็จในอดีต มีอิทธิอภิญญาเป็นที่ประจักษ์หลายต่อหลายรูปก็จะพบว่า ท่านเหล่านั้นล้วนมีประสบการณ์หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระภิกษุลี้ลับรูปหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นครูของท่านเหล่านั้น อาจทางนิมิตกรรมฐานหรือธุดงค์ไปในป่าแล้วพบเจอกันโดยบังเอิญ รายนามของเกจิอาจารย์เหล่านั้นได้แก่ สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน , สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี, หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ, หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร, หลวงตาพลอย วัดมักกะสัน, หลวงพ่ออภิชิโตภิกขุ อาจารย์คนสำคัญของ ท่านพันเอกชม สุคันธรัตน์ หลวงปู่กบ เขาสาริกา ลพบุรี หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง และอีกมากมายหลายท่านที่มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับพระภิกษุลี้ลับองค์นี้
จากคำบอกเล่าของพระกรรมฐานและผู้มีประสบการณ์พบว่าโดยมากมักเรียกหลวงปู่ท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” หรือ “หลวงตาดำ” ซึ่งข้อมูลจากการคำบอกเล่าทำให้เราทราบว่า ไม่ได้มีหลวงปู่โลกอุดรเพียงองค์เดียว แต่มีพระสำเร็จที่อยู่ในคณะโลกอุดรหลายรูป โดยมีอาจารย์ใหญ่เรียกว่าหลวงปู่ใหญ่นั่นเอง คณะโลกอุดรนี้ท่านเรียกกันว่า “พระในดง” ล้วน มีอภิญญาสมาบัติ ไปมาไร้ร่องรอยทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนาอย่างลี้ลับ คอยคุ้มครองผู้ประพฤติ ปฏิบัติธรรมให้รอดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง
หลวงปู่โลกอุดรไม่ได้มีเพียงองค์เดียว แต่มีด้วยกันหลายองค์ แต่ที่ขึ้นชื่อลือนามเป็นตำนานนั้นมีด้วยกัน ๕ พระองค์ มี รายนามดังนี้คือ
๑ หลวงตาดำ เป็นบรมครูสูงสุด
๒ ขรัวเศียรบาตร เป็นน้องชายของหลวงตาดำ
๓ หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นศิษย์เอกขององค์หลวงตาดำ
๔ ขรัวแก้มแดง เป็นผู้ชำนาญเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ ปรอทสำเร็จ
๕ ขรัวขี้เถ้า เป็นผู้ชำนาญทางเตโชกสิณ
พระโลกอุดรทั้ง ๕ ท่านนี้เป็นผู้ทรงอภิญญาชั้นสูง ชำนาญ ในวสีการเข้าออกฌานได้ตามปรารถนา แถมยังชำนาญด้านมโนยิทธิ สามารถแสดฤทธิ์บิดเบือนกาย จำแลงแปลงตนให้เป็นคนหรือสัตว์ได้ตามปรารถนา สามารถแยกกายไปโปรดโปรดสัตว์ ณ สถานที่ใดๆ ก็ได้ ไม่จำกัดกาลเวลาสถานที่แต่อย่างใด ทั้ง ๕ ท่านถือว่าเป็นบรมครู แต่ละท่านต่างมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ก็ในบรรดาทั้ง ๕ ท่านนี้ “หลวงปู่โพรงโพธิ์” คือ องค์ที่มีหน้าตาหนุ่มแต่เกศาขาวโพลน ภาพถ่ายของท่านเป็นหน้าตาเดียวกันกับพระครูพรหมสิงขบุรี ซึ่งองค์นี้ก็เป็นพระโลกอุดรเช่นกัน และนับเป็นองค์ที่ปรากฏกายแสดงฤทธิ์โปรดสัตว์บ่อยๆ จากคำบอกเล่าของพันเอกชม สุคันธรัตน์ ท่านเปิดเผยว่า “หลวงปู่ใหญ่” หรือ “หลวงตาดำ” เองก็มักแสดงกายจำแลงแปลงตนเป็น “หลวงปู่โพรงโพธิ์” หรือ “พระครูพรหมสิงขบุรี” ไปโปรดสัตว์บ่อยๆ ทั้งนี้ตามแต่การพิจารณาด้วยญาณแล้วบุคคลใดควรไปโปรดในลักษณะไหน
ใน ๕ ท่านนี้ “หลวงตาดำ” คือ “พระอุตตระเถระ” มีอายุยาวนานมานับพันปี รองลงมาจากท่านคือ “ขรัวเศียรบาตร” องค์นี้มีฤทธิ์และบุญญาธิการสูงส่ง มีฐานะเป็นศิษย์น้องของหลวงตาดำ รองลงมาคือ “หลวงปู่โพรงโพธิ์” องค์นี้สำเร็จธรรมชั้นสูงมักเป็นตัวแทนของหลวงตาดำหรือหลวงปูใหญ่ไปโปรดสัตว์หรือไปทำภาระหน้าที่ต่างๆ แทนองค์หลวงปู่ใหญ่เสมอๆ ได้รับการอนุญาตจากหลวงปู่ใหญ่ให้แสดงฤทธิ์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
องค์ต่อมาคือ “ขรัวแก้มแดง” องค์นี้ชำนาญในสมาบัติ ๘ และยังสามารถทางเล่นแร่แปรธาตุ เหล็กไหลไพรดำปรอทกายสิทธิ์ท่านชำนาญด้านนี้มาก สำเร็จธาตุ สำเร็จปรอท มีอายุยืนยาวได้เป็นกัปนับล้านปี ด้วยด้วยอำนาจสมาบัติ ๘ และอำนาจจากปรอทกายสิทธิ์
“ขรัวแก้มแดง” ท่านหากอมปรอทวิเศษไว้ในปากข้างซ้าย แก้มข้างซ้ายของท่านจะแดงเรื่อๆ ขึ้นมาหากเปลี่ยนไปอมด้านขวาแก้มแดงขวาก็จะแดงขึ้นมาแทน ท่านจึงมีนามเรียกตามลักษณะว่า “ขรัวแก้มแดง” การหุงปรอทของท่านนอกจากหุงไว้ใช้เองแล้ว ท่านยังหุงไว้เพื่อมอบให้ผู้มีบุญเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดบ้าง เป็นพระอริยเจ้าหรือผู้ทรงฌานบ้างเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ปรอทสำเร็จบางส่วนของท่าน ยังฝังไว้ตามแผ่นผา โขดหิน รอคอยผู้มีบุญมาค้นพบและนำไปเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง สังคมและพระศาสนา
องค์ท่านนั้นเป็นครูบาอาจารย์ด้านปรอทที่สำคัญที่สุดท่านหนึ่ง ปัจจุบันหลายท่านต่างสังเกตว่า “หลวงปู่โอภาสี”ซึ่งมี “ปานดำ” ที่แก้มข้างซ้าย ตัวท่านน่าจะเป็นขรัวแก้มแดงกลับชาติมาเกิดก็เป็นได้ ทั้งนี้หลวงพ่อโอภาสีเองท่านก็หุงปรอทและสำเร็จปรอทด้วย ดูได้จากสมัยที่ท่านหุงปรอทที่วัดบวรนิเวศน์ ท่านมีพฤติกรรมปีนขึ้นไปบนเจดีย์แล้วตะโกนว่าโอภาสีจะเหาะแล้วๆ จากนั้นท่านก็กระโดดลงมาจากยอดเจดีย์หน้าตาเฉย ใครๆ คิดว่าท่านคอหักตายแน่ แต่ที่ไหนได้ท่านลงมาปุ๊ปก็เดินต่อเข้ากุฏิหน้าตาเฉย ไม่มีกระดูกหักหรือได้รับอันตรายแต่อย่างใด
กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วยังมีหลวงปู่เชย ที่เขาแรด จ. ชลบุรี ครูบาอาจารย์ของเซียนสูง “พรหมเชยธีระ” อีกท่านหนึ่ง ที่ท่านเล่นปรอทและสำเร็จปรอทเช่นกัน และมีพฤติกรรมเช่นเดียวกันกับหลวงพ่อโอภาสี คือท่านปีนไปบนต้นตาลแล้วตะโกนว่ากูจะเหาะแล้วโว้ยๆ จากนั้นก็กระโดดลงมาปรากฏว่าท่านตกลงมาบนพื้นไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด เดินตัวปลิวให้คนที่เฝ้ามองตื่นเต้นและงงกันเท่านั้นว่าท่านทำได้อย่างไร ผู้เขียนทราบมาจากอาจารย์โยธิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “การหุงปรอท” คนเดียวคนสุดท้ายของเมืองไทยเล่าว่า สมัยก่อนคุณตาของแกก็เคยเห็นคนสำเร็จปรอทปีนต้นตาลเพื่อเอาลูกตาล ปรากฏว่าลมพัดทำเอาบันไดปีนต้นตาลล้มลง ตาแก่คนนี้พอจะลงก็กระโดดลงมาเฉยๆ ตกลงพื้นดังตุ๊บแต่ไม่เป็นอะไร นี่แหละคนที่มีปรอทวิเศษ ท่านว่ารางกายจะเบาเหมือนประหนึ่งว่าจะลอยได้ แต่หากสำเร็จขั้นสูงสุดก็จะสามารถเหิรฟ้านภากาศไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ จะไปฟ้าป่าหิมพานต์ก็ยังได้ อันเรื่องปรอทนี้ผู้เขียนจะขอเล่าไว้ท้ายเล่มเป็นภาคผนวกอีกทีหนึ่ง ตอนนี้ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน
รอยต่อเรื่องขรัวแก้มแดง หลวงพ่อโอภาสี และปรอทสำเร็จ ยังคล้องจองพอดีกับเรื่องของ “หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อน” เพราะในประวัติของท่านเล่าว่าเมื่อเด็กเล็กนั้น หลวงพ่อยีหรือเด็กชายยีได้ธุดงค์ไปกับพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่ง พระรูปนี้เป็นที่ศรัทธาของบิดามารดาท่านจึงยอมมอบท่านให้ติดตามพระรูปนี้ ท่านเล่าว่าพอพ้นหมู่บ้านที่ท่านอยู่ พระภิกษุรูปดังกล่าวหยิบเอาวัตถุบางอย่างมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ เข้าอมไว้ในปาก ฉับพลันร่างกายของพระผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพระหนุ่มขึ้นมาทันที
เรื่องเม็ดกลมๆที่พระผู้เฒ่าอมเข้าไปในปากจะเป็นอื่นไปไม่ได้ วัตถุสิ่งนั้นย่อมต้องเป็น “ปรอทสำเร็จ” อย่าง แน่นอน จากนั้นพระธุดงค์รูปดังกล่าวก็พาเด็กชายยีในวันนั้นเข้าป่าลึกเพื่อฝึกวิชา จนต่อมากลายเป็นหลวงพ่อยีผู้ทรงอภิญญาในเวลาต่อมา
องค์ต่อมาที่จะกล่าวถึงเป็นองค์สุดท้ายในบรรดาคณาจารย์ทั้ง ๕ แห่งโลกอุดรคือ “ขรัวขี้เถ้าเผาแหลกลาญ” องค์นี้มีพฤติกรรมแปลกคือ มักนุ่งห่มจีวรแบบขอไปที ทั้งนี้เพราะท่านหลุดจากสมมุติไปหมดแล้ว ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในรูปนามแต่อย่างใด มีปกติ ก่อกองไฟไว้ตลอด และใครถวายอะไรได้อะไรมากจะเผาทิ้งเสมอ พฤติกรรมของท่านสอดคล้องกับครูบาอาจารย์อยู่ ๔ องค์คือ
๑. “หลวงปู่กบ” องค์นี้จุดไฟตะเกียงไว้ตลอด และไม่มีการสะสมเผาตลอดเหมือนกัน
๒. “หลวงพ่อโอภาสี” องค์นี้จุดไฟอยู่หน้ากองไฟตลอดใครถวายอะไรมาเผาหมดเช่นกันทั้งนี้ท่านได้ นิสัยสืบมาจากหลวงปู่กบ เขาสาลิกานั่นเอง
๓. “หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง” องค์นี้เป็นพระเขมรจุดไฟก่อกองไฟตลอดเวลา ใครให้อะไรเผาเกลี้ยง
ทั้ง ๓ องค์นี้มีลักษณะเด่นเหมือนกันคือ “จุดก่อกองไฟ” และนอกจากนั้นยังมีพฤติกรรมที่ คล้ายๆ กันในด้านอื่นอีกเช่น ชอบนั่งยองนั่งชันเข่าเหมือนๆ กัน มักห่มจีวรแบบขอไปที
ส่วนอีกองค์หนึ่งที่มีพฤติกรรมจุดไฟไว้ตลอดแต่เป็น “การจุดเทียน” เรียกว่าไปไหนมาไหนท่านต้องมีเทียนลำหนึ่งจุดไฟไว้ตลอดนั่นคือ “หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา” องค์นี้ท่านจุดเทียนไว้ตลอดและเทียนท่านไม่มีวันดับท่านจะเดินกลางทุ่งไปไหน มาไหนจุดไว้ตลอด เดินผ่านทุ่งลมพัดมาแรงๆ เทียนหลวงปู่ทองก็ไม่เคยดับ แม้เดิน ฝ่าฝนเทียนโดนทั้งลมทั้งน้ำก็ไม่ดับ เป็นไปได้ว่านี่คือ “วิชากสิณไฟ” ของหลวงปู่ทองท่าน และก็นับท่านเป็นอีกหนึ่งตำนานกสิณไฟของเมืองไทยเรา
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติด
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
คลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
แฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึก
ย้อนวันวาน “ศูนย์อาหารมาบุญครอง พ.ศ. 2535” ต้นแบบฟู้ดคอร์ทไทย จากคูปองเงินสด สู่ยุคสแกนจ่ายในปลายนิ้ว
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
ด่วนช็อกวงการ! CIB บุกรวบ "มนัส บุญจำนงค์" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก เอี่ยวคดีฉ้อโกง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า หากไม่ลงทะเบียน ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ เริ่ม 20 ธ.ค.- 5 ม.ค. 69
ไฟในอย่าน่าออก ไฟนอกอย่าน่าเข้า
ทลายเครือข่ายหวยออนไลน์! รวบเจ้ามือใหญ่ ‘บ้านทรัพย์มหาศาล’ คาบ้านพักที่พิมาย
วอลเลย์บอลชายไทย เฉือนชนะ อินโด คว้าทองซีเกมส์ในรอบ 8 ปี
ไฟในอย่าน่าออก ไฟนอกอย่าน่าเข้า
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีให้คะแนนไทยในการจัดซีเกมส์ 100 เต็ม 10 พร้อมส่งกำลังใจถึงทีมชาติช้างศึกหลังพลาดเหรียญทอง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า หากไม่ลงทะเบียน ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ เริ่ม 20 ธ.ค.- 5 ม.ค. 69
แก๊งมุสลิมเข้ายึดครองเรือนจำในอังกฤษ
สื่อนอกอวย ทหารไทยสุดเจ๋ง ไม่ใช่แค่รบ แต่ถล่ม 'เมืองสแกมเมอร์' พังท่อน้ำเลี้ยงโจรได้สิ้นซาก




