คุณบูชาความรัก หรือเงินตรา
มีเรื่องที่น่าสังเกตอยู่เรื่องหนึ่ง ที่คาดว่าเพื่อนๆ คงจะพอเห็นกันมาเยอะ ว่าสังคมที่ก้าวล้ำนำหน้าในเรื่องไลฟ์สไตล์อย่างสังคมอเมริกัน มักจะถูกตามรอยเลียนแบบด้วยสังคมเกาหลี และผู้ที่เลียนแบบตามรอยเกาหลีอีกทอดหนึ่ง ก็คือสังคมไทยเรานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศัลยกรรมพลาสติก เรื่องการใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่ รวมไปถึงเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับความรักในเชิงธุรกิจ ฯลฯ ที่น่าตลกก็คือว่า พอสังคมที่นำสมัยเหล่านั้นเริ่มเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว เช่นสมัยนี้ชาวอเมริกันเริ่มจะหันหน้าเข้าหาจิตวิญญาณมากขึ้น และวัตถุนิยมน้อยลง ในขณะที่ชาวเอเชียเช่นเกาหลีและไทย กลับเริ่มพฤติกรรมในทางกลับกัน
พอกล่าวถึงพฤติกรรมด้านความรักความสัมพันธ์แล้ว ผู้หญิงเอเชียสมัยนี้จำนวนมาก ทำให้ผู้ชายอย่างต้องหวั่นอยู่ภายในใจลึกๆ ว่า ‘รักแท้’ จะสูญพันธุ์ไปหมดแล้วใช่มั้ยเนี่ย!? พฤติกรรมของผู้หญิงดังกล่าว มักจะเอาคำว่า ‘ความมั่นคง’ มากล่าวอ้าง เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกคบผู้ชายที่มีสถานะทางสังคมหรือความร่ำรวยวัตถุเงินทอง
ซึ่งในกรณีที่เป็นการเลือกคบ แบบที่ยังไม่มีใครอยู่ก่อนแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่ยังพอรับได้และมีเหตุผล แต่ในบางครั้งหรือบ่อยครั้ง ผู้หญิงบางคนเกินเลยถึงขนาดที่ว่า แม้ตนเองจะมีคนที่คบหากันมานานอยู่ก่อนแล้ว ก็สามารถที่จะตัดสินใจทอดทิ้งคนรักเก่าได้อย่างง่ายดาย หากไปเจอผู้ชายคนอื่นที่มั่งคั่งและปรนเปรอได้มากกว่า หรือแม้กระทั่งยอมคบหากับทอมบอย ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็น ‘ดี้’ หรือชอบเพศหญิงด้วยกัน แต่คบไปเพื่อวัตถุที่เขายอมปรนเปรอให้
ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ทุกอย่างย่อมมี 2 ด้านเสมอ ผู้หญิงที่มีอุดมการณ์ มอบความรักและจิตวิญญาณให้กับคนที่ตนรัก โดยไม่คำนึงถึงเรื่องของวัตถุภายนอก ก็มีอยู่เยอะเช่นกัน ในทางทฤษฎีแล้ว ชาวกรีกโรมันสมัยก่อน ได้มีการพูดถึง ‘พลังขับเคลื่อน’ชีวิต ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ขั้ว ซึ่งมักจะถูกมองว่าตรงข้ามกัน นั่นคือ ‘พลังแห่งความรัก’ และ ‘พลังแห่งการอยู่รอด’ ตั้งแต่นั้นมาก็มีการถกเถียงกันในหมู่นักจิตวิทยาและนักปรัชญา แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักที ว่าระหว่างความรักที่คนๆ หนึ่งมี กับความมั่งคั่งทางวัตถุ ( ความอยู่รอด) อะไรเป็นสิ่งสำคัญใการเป็น ‘มนุษย์’ มากกว่ากัน พูดง่ายๆ ก็คือ หากมีแต่ความรักอย่างเดียว แต่ไม่มีจะกิน ก็คงอยู่ไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน หากมีอยู่มีกิน แต่ไม่มีอารมณ์และหัวใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประเภทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทุกคนจะยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน (ในระดับหนึ่ง)แล้วว่า ทั้งความรักและการอยู่รอด มันต้องควบคู่กันไป ถึงแม้ว่าจอห์น เลนนอน จะเคยประกาศเอาไว้ว่า ‘All you need is love’ ก็ตาม แต่นั่นมันตอนยุค 60’ ของชาวฮิปปี้บุพผาชนที่ดื่มอุดมการณ์ต่างน้ำและเสพยาแทนข้าว ในความเป็นจริงยุคปัจจุบัน การสละชีพเพื่อความรัก เป็นเรื่องเพ้อฝันและเห็นแก่ตัว เพราะความรับผิดชอบต่อครอบครัว ก็ถือเป็นหน้าที่บังคับของสามีภรรยาที่ดี
ดังนั้น การเลือกเดทหรือเลือกคบหากับใครไว้เป็นคู่ชีวิต นอกจากจะพิจารณาเรื่องของความถูกใจแล้ว เรื่องของสถานะทางเศรษฐกิจก็ต้องให้เหมาะสม ไม่มัวแต่หาเพื่อขุดทอง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมองพวกขอทาน เอาแบบพอประมาณขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ ร่วมกันเดิน ช่วยกันสร้าง เป็นเท้าซ้ายเท้าขวาของกันและกัน นั่นแล คือความสมบูรณ์ที่แท้จริงของความสัมพันธ์ชายหญิง
สุดท้ายก่อนจบ หากจะไม่สะกิดฝ่ายชายบ้าง ก็ดูจะกระไรอยู่ เพียงอยากฝากเอาไว้บ้าง จะได้เท่าเทียมกัน ว่าถ้าจะมองกันอีกมุม ผู้ชายเราบางคน ก็เลือกผู้หญิงที่รูปลักษณ์ปัจจัยภายนอกเหมือนกัน หากคุณมีพฤติกรรมเช่นนั้น ลองหันไปหาผู้หญิงธรรมดาๆ ที่บูชาความสัมพันธ์
ความรักและความสัมพันธ์ มันอาจจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของคุณไปตลอดกาลเลยก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็อย่างที่บอก ว่าทั้ง ‘ภายใน’และ ‘ภายนอก’ควรจะสมดุลย์เสมอกันไป