หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ฝิ่นในประเทศไทยและความเป็นมาของฝิ่น

เนื้อหาโดย มอญหงอย

ประวัติความเป็นมาของฝิ่นในประเทศไทย

    ฝิ่นเข้ามาในประเทศไทยในสมัยใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด เท่าที่มีหลักฐานครั้งแรก เป็นประกาศใช้กฎหมายลักษณะโจร ในสมัยรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1903 หรือ ประมาณ 600 ปี ล่วงมาแล้ว ตามกฎหมายฉบับนี้ ได้บัญญัติการห้ามซื้อ ขาย เสพฝิ่นไว้ว่า "ผู้สูบฝิ่น กินฝิ่น ขายฝิ่นนั้น ให้ลงพระราชอาญาจงหนักหนา ริบราชบาทว์ให้สิ้นเชิง ทเวนบกสามวัน ทเวนเรือสามวัน ให้จำใส่คุกไว้จนกว่าจะอดได้ ถ้าอดได้แล้วเรียกเอาทานบน แก่มันญาติพี่น้องไว้แล้ว จึงให้ปล่อยผู้สูบ ขาย กินฝิ่น ออกจากโทษ" 

    แม้ว่าบทลงโทษจะสูง แต่การลักลอกซื้อขายและเสพฝิ่น ก็ยังมีต่อมาโดยตลอด กฎหมายคงใช้ได้แต่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น ส่วนหัวเมือง และ เมืองขึ้นที่ห่างพระเนตรพระกรรณ ไม่มีการเข้มงวดกวดขัน ซึ่งปรากฎว่า ผู้ครองเมืองบางแห่งก็ติดฝิ่น และผูกขาดการจำหน่ายฝิ่นเสียเองด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหา การขายฝิ่น เสพฝิ่น จึงเลิกไม่ได้ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา

    ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่1 ทรงแจกกฎหมายป่าวร้องห้ามปรามผู้ขาย ผู้สูบฝิ่น แต่ก็ยังไม่มีผล ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่2 จึงได้ทรงตราพระราชกำหนดโทษให้สูงขึ้นไปอีก โดย

    "ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝิ่น กินฝิ่น ซื้อฝิ่นขายฝิ่น และเป็นผู้สมซื้อสมขายเป็นอันขาดทีเดียวถ้ามิฟังจับได้และมีผู้ร้องฟ้อง พิจารณาเป็น สัจจะให้ลงพระอาญา เฆี่ยน 3 ยก ทเวนบก 3 วัน ทเวนเรือ 3 วัน ริบราชบาทว์ บุตรภรรยา และ ทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง ให้ส่งตัว ไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าว จะให้ลง พระอาญาเฆี่ยน 60 ที"

    ในรัชกาลที่ 3 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่ตรงกับสมัยที่อังกฤษนำฝิ่นจากอินเดีย ไปบังคับขายให้จีนทำให้มีคนจีนติดฝิ่นเพิ่มขึ้น และในช่วงเวลานั้น ตรงกับระยะที่คนจีนเข้ามาค้าขายในเมืองไทยมากขึ้น จึงเป็นการนำการใช้ฝิ่นและผู้ติดฝิ่นเข้ามาในเมืองไทย ตลอดจนมีการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาในเมืองไทยด้วยเรือสินค้าต่าง ๆ มาก จึงเป็นเหตุให้การเสพฝิ่นระบาดยิ่งขึ้น 

    พระองค์จึงได้ทรงมีบัญชาให้มีการปราบปรามอย่างเข้มงวดกวดขันในปี พ.ศ. 2382 ได้ไปจับฝิ่นตามหัวเมืองชายทะเล ทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ ครั้งนั้นจับได้ฝิ่นดิบถึง 3,700 หาบเศษ ฝิ่นสุก 2 หาบเศษ ได้ฝิ่นรวมแล้วเกือบ 2.6 แสนกิโลกรัม ฝิ่นเหล่านี้ได้ส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ และทำพิธีเผาที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ คือบริเวณสนามชัย การเผาได้จัดทำเป็นพิธีใหญ่โต มีคำอาราธนาเทวดา อ่านประกาศก่อนเผายาฝิ่น ครั้งนั้นพวกขี้ยาได้กลิ่นแทบขาดใจตาย 

    ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าการปราบปรามไม่สามารถขจัดปัญหาการสูบ และขายฝิ่นได้ และก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายขึ้น จึงทรงเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้คนจีนเสพและขายฝิ่นได้ตามกฎหมาย แต่ต้องเสียภาษีผูกขาดมีนายภาษีเป็นผู้ดำเนินการ ปรากฏว่าภาษีฝิ่นทำรายได้ให้แก่ประเทศไทยมาก ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมไว้ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ใน "ตำนานภาษีฝิ่น" ว่าภาษีที่ได้นั้นประมาณว่าถึงปีละ 4 แสนบาท สูงเป็น
อันดับที่ 5 ของรายได้ประเภทต่าง ๆ และได้มีความพยายามห้ามคนไทยไม่ให้เสพฝิ่น แต่ก็ไม่ได้ผลเต็มที่

    ใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติซึ่งปกครองประเทศไทยอยู่ในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นว่า การเสพฝิ่นเป็นที่รังเกียจใน วงการสังคม และเป็นอันตรายแก่สุขภาพและอนามัยอย่างร้ายแรง ประเทศต่าง ๆ ได้พยายามเลิกการเสพฝิ่นโดยเด็ดขาดแล้ว จึงเห็นเป็นการสมควรให้เลิกการเสพฝิ่น และ จำหน่ายฝิ่นในประเทศไทย จึงมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 37 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2501 ให้เลิกการเสพฝิ่น และจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร และกำหนดดำเนินการให้เสร็จสิ้นเด็ดขาดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2502

 

จุดเริ่มต้นของฝิ่น
    ข้อมูลในเว็บไซต์ของ “หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ” ซึ่งตั้งอยู่ใน จ. เชียงราย ระบุว่าประวัติศาสตร์ของฝิ่นเริ่มขึ้นตั้งแต่ประมาณ 3400 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อชาวไร่ทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมียเพาะปลูกพืชชนิดนี้ นับตั้งแต่นั้นผู้คนก็ได้เพาะปลูกและใช้ฝิ่นเป็นสารเสพติด และเป็นยารักษาโรค
    ฝิ่นมีผลผลกระทบต่อทวีปเอเชียอย่างมาก อังกฤษได้กำไรมหาศาลจากการค้าฝิ่น และเพราะต้องการรักษาผลประโยชน์นี้ไว้จึงทำให้เกิดสงครามกับจีนถึงสองครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ. 2343-2442 เว็บไซต์ houseofopium.com เปิดเผยว่าฝิ่นซึ่งมักเรียกกันว่า “ทองคำสีดำ” เป็นสิ่งที่มีค่ามากจนคนสมัยนั้นใช้ทองคำแทนเงินในการซื้อ-ขายฝิ่น ในช่วงปลายปีระหว่าง พ.ศ. 2443-2542 การค้าฝิ่นทำให้เกิดสิ่งที่รู้จักกันในนาม “สามเหลี่ยมทองคำ”
รังฝิ่นจีน
    สามเหลี่ยมทองคำ เป็นชื่อที่บรรดาพ่อค้าฝิ่นตั้งให้กับบริเวณที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมบรรจบกันและรอยต่อระหว่างสามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาวและพม่า ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 100,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา ตรงกลางของสามเหลี่ยมทองคำมีแม่นํ้าสองสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่นํ้าโขงและแม่นํ้ารวก
จักรพรรดิ์หย่งเจิ้น
    แม้ในปัจจุบัน “ยาเสพติดจากดินแดนสามเหลี่ยมทองคำเข้าสู่กัมพูชาผ่านทางแนวชายแดนไทย ลาวและพม่า จากนั้นจึงเดินทางผ่านกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยและเวียดนามเพื่อส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น” ตามข้อมูลในหนังสือ ประเด็นข้อตกลง เรื่องมุมมองของเอชีย ในเรื่องที่ท้าทายความมั่นคงข้ามชาติ ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2553 โดยศูนย์การศึกษาเพื่อความมั่นคงแห่งเอเชียแปซิฟิก หนังสือเล่มนี้ยังระบุด้วยว่าประเทศที่มีพรมแดนติดกับสามเหลี่ยมทองคำมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการผลิตและค้ายาเสพติด ตัวอย่างเช่น “ห้องปฏิบัติการลับที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอาชญากรรมผลิตยาผิดกฎหมายในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางของกัมพูชา” นอกจากนี้ชายแดนที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ยังดึงดูดให้นักลักลอบค้ายาใช้กัมพูชาเป็นเส้นทางขนยาเสพติด
ฝิ่นดิบ
    รายงานยุทธศาสตร์การควบคุมสารเสพติดระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2553 ของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าประเทศไทยเป็น “จุดพักของสารกระตุ้นประสาทในกลุ่มแอมเฟตามีนก่อนที่จะส่งออกไปยังประเทศต่างๆ” ทั้งนี้ยาบ้าจากพม่าจะถูกลักลอบขนข้ามชายแดนทางภาคเหนือเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่ายาเสพติดถูกขนออกจากแหล่งผลิตในพม่าผ่านทางลาวและข้ามแม่นํ้าโขงเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้นักค้ายาเสพติดจะขนยาลงทางใต้ผ่านลาวเข้าสู่กัมพูชาแล้วผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทางพรมแดนไทย-กัมพูชา
    ตามรายงานระบุว่าการลักลอบขนส่งยาบ้าจากสามเหลี่ยมทองคำมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2551 ทางการจีนยึดยาบ้านํ้าหนักประมาณ 2.4 ตันได้ในมณฑลยูนนาน
    นอกจากนี้ ตามรายงานยังเปิดเผยว่า จีนและอินเดียเป็นผู้ผลิตอีเฟดรีนและซูโดอีเฟดรีนอย่างถูกกฎหมายรายใหญ่ แต่สารทั้งสองชนิดนี้ถูกนำไปใช้อย่างผิดกฎหมายในการผลิตยาบ้า
ความเป็นมา ของฝิ่นในเอเชีย
    พ.ศ. 2143-2242 ผู้ที่อาศัยในเปอร์เซียและอินเดียดื่ม และรับประทานอาหาร ที่มีฝิ่นเป็นส่วนผสมเพื่อความบันเทิง เหล่าพ่อค้าชาวโปรตุเกสเป็นผู้นำฝิ่นอินเดียเข้าสู่ประเทศจีน
สงครามฝิ่นครั้งแรก
    พ.ศ. 2243-2342 ชาวดัทช์ส่งออกฝิ่นอินเดียสู่ประเทศจีนและเกาะต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้าเหล่านี้ยังเป็นผู้แนะนำชาวจีน ให้รู้จักการสูปฝิ่นโดยใช้กล้องยาสูบ
    พ.ศ. 2272 จักรพรรดิ์หย่งเจิ้นแห่งจีน สั่งห้ามการสูปฝิ่น และห้ามขายฝิ่นในประเทศ ยกเว้นจะได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์
สงครามฝิ่นครั้งที่สอง
พ.ศ. 2310 การนำเข้าฝิ่นสู่ประเทศจีนของบริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย มีปริมาณสูงถึง 2,000 หีบต่อปี หีบหนึ่งๆ จะบรรจุฝิ่นดิบได้ถึง 60 กิโลกรัม
    พ.ศ. 2354 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัย ทรงสั่งห้ามการขายและการสูบฝิ่น
    พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ลักลอบค้าฝิ่นรายใหญ่     อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝิ่นก็ได้แพร่หลายเกินกว่าที่ทางการจะควบคุมได้
    พ.ศ. 2385 อังกฤษชนะจีนในสงครามฝิ่นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2382-2385 จีนยกฮ่องกงให้กับอังกฤษ หลังจากที่อังกฤษบังคับให้จีนคงการเปิดเส้นทางฝิ่นไว้ ฮ่องกงจึงกลายเป็นจุดหลักสำหรับการส่งฝิ่นอินเดียต่อไปสู่ตลาดจีนที่กว้างใหญ่
การผลิตฝิ่นในอินเดีย
    พ.ศ. 2399 อังกฤษและฝรั่งเศสต่อสู้กับจีนในสงครามฝิ่นครั้งที่สองระหว่างปีพ.ศ. 2399-2403 ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้การนำเข้าฝิ่นกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในปีพ.ศ. 2403 จีนก็เริ่มปลูกฝิ่นเองบนพื้นที่มหาศาล
พ.ศ. 2441 นายไฮน์ดริก เดรสเซอร์ ซึ่งทำงานให้กับบริษัทไบเออร์ ที่เมืองเอลเบอร์เฟลด์ ประเทศเยอรมนี ค้นพบว่าถ้าเอามอร์ฟีนไปเจือจางด้วยอะซิติล จะทำให้ได้ตัวยาที่ไม่มีผลข้างเคียง ไบเออร์จึงเริ่มผลิตยาดังกล่าวและตั้งชื่อว่า "เฮโรอีน”ซึ่งมาจากคำว่า Heroisch ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า วีรบุรุษ
นักสูบฝิ่นชาวม้ง
    พ.ศ. 2443-2542 สมาคมการกุศลเซนต์เจมส์ในสหรัฐฯ ส่งเฮโรอีนฟรีทางไปรษณีย์แก่คนติดมอร์ฟีนที่พยายามหาทางเลิก อังกฤษและฝรั่งเศสประสบความสำเร็จในการควบคุมการผลิตฝิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตามในที่สุดสามเหลี่ยมทองคำก็มีบทบาทสำคัญในการค้าฝิ่นที่มีกำไรมหาศาลระหว่างปี พ.ศ. 2483-2492
    พ.ศ. 2453 หลังจาก 150 ปีที่จีนล้มเหลวในการกำจัดฝิ่นให้หมดไปจากประเทศ ในที่สุดจีนก็ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวอังกฤษให้ยกเลิกการค้าฝิ่นระหว่างอินเดียกับจีน
ชาวไร่ไหล่เขาชาวพม่า
    พ.ศ. 2483-2492 สงครามโลกครั้งที่สองตัดเส้นทางการค้าฝิ่นจากอินเดียและเปอร์เซีย เนื่องจากเกรงว่า จะสูญเสียความเป็นเจ้าตลาดฝิ่น ฝรั่งเศสจึงสนับสนุนให้เกษตกรชาวม้ง ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาทางภาคใต้ของจีนขยายพื้นที่เพาะปลูกฝิ่น
การบุกเข้ายึดโรงงาน
    พ.ศ. 2491 พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การเพาะปลูกและค้าฝิ่นเริ่มเฟื่องฟูในรัฐฉาน
    พ.ศ. 2493-2502 สหรัฐฯ พยายามจำกัดการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย โดยการผูกสัมพันธ์กับบรรดาชนเผ่าและผู้นำทางทหารต่างๆ ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ทำให้สามารถเข้าถึงและมีการคุ้มครองตามแนวชายแดนทางตอนใต้ของจีน พรรคชาตินิยมของจีน (ก๊กมินตั๋ง) ถอยร่นออกมาอยู่ในพื้นที่รอบๆ สามเหลี่ยมทองคำหลังจากถูกกองทัพแดง ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนปราบปราม ในการหาเงินทุนสนับสนุนภารกิจต่อต้านการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์ ก๊กมินตั๋งชักชวน ชาวไร่ชาวนาที่เป็นชนเผ่าในพม่าให้หันมาปลูกฝิ่นมากขึ้น ยังผลให้ปริมาณฝิ่นจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำเฉพาะส่วนที่อยู่ในพื้นที่ประเทศพม่าเพิ่มขึ้นถึง 10-20 เท่า จาก 30 ตันเป็น 300-600 ตัน
ขุนส่า
    พ.ศ. 2503-2512 พ่อค้าฝิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งโรงงานสกัดเฮโรอีนขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปีพ.ศ. 2503-2512 บนเทือกเขาในลาว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่นํ้าโขงกับ อ. เชียงของ ในประเทศไทย หลังจากนั้นก็มีการสร้างโรงงานเพิ่มบริเวณชายแดนไทย-พม่า
    พ.ศ. 2515 ขุนส่า ผู้นำชนกลุ่มน้อยชาวพม่าควบคุมการส่งออกเฮโรอีนจากสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นแหล่งผลิต ฝิ่นดิบ ที่มีบทบาทสำคัญในการค้ายาเสพติด
ซอ หม่อง ประธานรัฐบาลทหารจุนตา
    พ.ศ. 2521 การค้าเฮโรอีนจากเอเชียสะดุดลง ทำให้พ่อค้ายาเสพติดต้องเสาะหาแหล่งผลิตฝิ่นดิบแห่งใหม่ และได้พบกับ เซียร่า มาเดร ในเม็กซิโก “โคลนจากเม็กซิโก” สามารถแทนที่เฮโรอีน “สีขาวของจีน” ได้เพียงแค่ชั่วคราวจนถึงปี พ.ศ. 2521 เท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ และเม็กซิโกได้โปรยสารเคมีสีส้มลงบนพื้นที่เพาะปลูกฝิ่นในเซียร่ามาเดร ทำให้ปริมาณ “โคลนจากเม็กซิโก” ในสหรัฐฯ ลดลง เพื่ออุดช่องว่างในตลาด ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวสีทอง ในอิหร่าน อัฟกานิสถานและปากีสถานจึงผลิตและค้าเฮโรอีนผิดกฎหมายมากขึ้น
    พ.ศ. 2531 การผลิตฝิ่นมีการเพิ่มปริมาณมากขึ้นในสมัยการปกครองของกำลังทหารพม่า ที่มีชื่อว่า กฎหมายและข้อบังคับ ของคณะกรรมการพื้นฟูการสั่งซื้อ ทำให้ทางสหรัฐฯ สงสัยว่าเฮโรอีนนํ้าหนัก1088 กิโลกรัมที่จับได้ในเมืองไทยขณะกำลังจะลงเรือไปนิวยอร์กน่าจะมีแหล่งผลิตอยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ
    พ.ศ. 2536 กองทัพไทยโดยการสนับสนุนของหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ ดำเนินปฏิบัติการทำลายไร่ฝิ่นจำนวนหลายพันไร่ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ
    พ.ศ. 2538 ปัจจุบันสามเหลี่ยมทองคำเป็นผู้นำในการผลิตฝิ่น โดยแต่ละปีสามารถผลิตฝิ่นได้มากถึง 2,500 ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านยาเสพติดของสหรัฐฯ ชี้ว่านักค้ายาเสพติดใช้เส้นทางใหม่ในการลำเลียงยาเสพติดโดยขนยาจากพม่าผ่านลาวเข้าสู่ตอนใต้ของจีน กัมพูชาและเวียดนาม เปรียบเทียบกับในปี พ.ศ. 2530 พม่าผลิตฝิ่นดิบได้ 836 ตัน แต่ในปี พ.ศ. 2538 ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2,340 ตัน
    พ.ศ. 2542 อัฟกานิสถานผลิตฝิ่นมากถึง 4,600 ตัน ทั้งนี้โครงการควบคุมยาเสพติดแห่งสหประชาชาติประมาณการว่า อัฟกานิสถานผลิตเฮโรอีนถึงร้อยละ 75 ของปริมาณเฮโรอีนทั่วโลก
    พ.ศ. 2545 สำนักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ประกาศว่าอัฟกานิสถานเป็นประเทศที่ผลิตฝิ่นมากที่สุดในโลก
คิม จอง อิล
    พ.ศ. 2546 ความพยายามของเกาหลีเหนือในการเจาะตลาดเฮโรอีนของออสเตรเลียด้วยการลักลอบค้าเฮโรอีนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเริ่มประสบกับปัญหา
    พ.ศ. 2549 สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติรายงานว่าในปี พ.ศ. 2549 อัฟกานิสถานจะผลิตฝิ่นได้มากถึง 6,100 ตัน ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 92 ของปริมาณฝิ่นทั่วโลก
ขุนส่า
    พ.ศ. 2550 ขุนส่าราชายาเสพติด แห่งสามเหลี่ยมทองคำและอดีตผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนรัฐฉานได้เสียชีวิต (พ.ศ. 2476-2550) ในยุคที่เขาเรืองอำนาจอาณาจักรยาเสพติดของขุนส่าผลิตและส่งออกเฮโรอีนประมาณ 1/4 ของปริมาณเฮโรฮีนทั้งหมดในตลาดโลก
พ.ศ. 2553 แม้ว่าการเพาะปลูกฝิ่นจะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสามปีที่ผ่านมา แต่พม่าก็ยังเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ อันดับสองของโลกรองจากประเทศอัฟกานิสถาน โดยปีที่แล้วพม่าสามารถผลิตฝิ่นได้ 330 ตัน หรือร้อยละ 17 ของปริมาณฝิ่นทั้งหมด ตามข้อมูลใน “รายงานยาเสพติดโลกประจำปี พ.ศ. 2553” ของสหประชาชาติ
ไร่ฝิ่นอัฟกาน


ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ ความเป็นมาของฝิ่น โดยมาร์ติน บูธ รวมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมจากรายการ Frontline ของสถานีโทรทัศน์พีบีเอส สำนักข่าวเอเชียไทม์ออนไลน์ และสำนักข่าวเอเชียแปซิฟิกมีเดียเซอร์วิสเซส
แหล่งที่มาของภาพ: วิกิพีเดีย พัทยาเมล เวลล์คัมไลบรารี เอเจนซ์ ฟรานซ์-เพรส www.erowid.org เอเชียแม็กกาซีน แอสโซซิเอทเต็ด เพรส

เนื้อหาโดย: มอญหงอย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มอญหงอย's profile


โพสท์โดย: มอญหงอย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยอิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธ"ลาบูบู้" ไม่รอด โดนเขมรเคลมเรียบร้อยแล้ว..บอกรากเหง้ามาจาก "หน้ากาล"
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชวนมารู้จักลาบูบู้ มาการอง เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
รีวิวหนังสือ ฉันแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อความคิดของตัวเองtorment: ทรมาน ระทมทุกข์"Colosseum" โคลอสเซียม ณ อิตาลีenhance: เสริม ยกระดับ ทำให้มากขึ้น
ตั้งกระทู้ใหม่