รีวิวโอซาก้า, ญี่ปุ่น เที่ยวเองนักเลงพอ
"Day 1"
เดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ด้วยไฟร์ท 1.44 น. ถึง ที่ Kansai International Airport เวลาประมาณ 8.40 น. ของประเทศญี่ปุ่น สายฝนเบาๆ มาต้อนรับถึงปากประตูเครื่องบิน หนาวเข้าไปอีก 3-4 องศา น่าจะได้ค่ะ
* * * * * * * *
แพลนสำหรับวันนี้คือ ฝากกระเป๋าที่สนามบินและนั่งรถไฟไปที่ Rinkku Outlet เพื่อ Shop ก่อนเลย ดังนั้นแล้ว ก็ลุยตามแผน ..... แต่ทว่า หาตู้ฝากกระเป๋ามาเจอ กว่าจะหาเจอก็ล่วงเลยเวลากว่า ครึ่ง ชม. 5555 สรุป ตู้ฝากกระเป๋าอยู่บริเวณใต้บันไดเลื่อนชั้นล่างสุดจ้า ... แต่ก็ไม่ได้ฝากในที่สุด เพราะตู้เต็ม ! ด้วยความที่แฟนอ่านรีวิวมาบอกว่า จะมีจุดฝากกระเป๋าอีกจุดเป็นโรงแรมใกล้ๆ กับสนามบิน จะมีราคาที่ถูกกว่า (ในสนามบินราคา 3 ชม. 700 เยน) ก็เลยลากกระเป๋ามุ่งหน้าออกจาก Terminal ชั้น 2 ไปที่โรงแรมที่จะมีทางเชื่อมจากสนามบิน สถานีรถไฟ และถึงตัวโรงแรมเลย ชื่อโรงแรม Nikko Kansai Airport ไปถึงก็ไปฝากกระเป๋าที่ห้อง shower จะมีเบาะให้นอนพักได้ และมีห้องอาบน้ำให้ด้วย เข้าประตูโรงแรมไป เลยบันไดเลื่อน ก็จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ที่นั่นมีตู้ให้ฝากกระเป๋า ราคา 3 ชม. 600 เยน ถูกกว่าในสนามบิน 100 เยน จะใช้เหรียญ 100 เยน ในการหยอดตู้ จากนั้นเปิดตู้ เอากระเป๋าเข้าเก็บ บิดกุญแจล็อก และเก็บกุญแจไว้กับตัวเรา (ถ้าไม่มีเหรียญ 100 ในห้องนั้น มีตู้ให้แลกเหรียญจ้า) เสร็จแล้วก็ไปลุย ที่ Rinku Outlet กันต่อเล้ยย !!
เรื่องสายรถไปและเส้นทางเราจะไม่พูดถึงนะคะ เพราะเพื่อนๆ สามรถดูได้จาก app ในมือถืออยู่แล้วเนอะ ก็ตามนั้นเลยค่ะ
แต่ที่อยากจะบอกว่า ถ้าใครถือบัตร Kansai Thru Pass อยู่ ก็ถือว่าดียิ่ง! เพราะมันจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการเดินทางโดยการใช้รถไฟ (ส่วนใหญ่) ได้ดีที่เดียวค่ะ เรานั่งรถไฟไปยังสถานีปลายทางคือ RinkuTown เพื่อไป Rinku Outlet
** Rinku Outlet คืออะไร แหล่งช็อปปิ้ง แบรนด์ดังๆมากมาย ที่ราคาถูก แต่ไม่แน่ใจว่า จะราคาถูกทุกแบรนด์หรือเปล่านะคะ ส่วนตัวเราได้รองเท้า sketcher มาให้พ่อคู่นึง ราคารวมภาษีแล้วก็ประมาณ 3,100 เยน หรือประมาณ 900 กว่าบาท ถูกมากกกกก เลยจัดมาซะเลย 55555 จากนั้นก็เดินเที่ยวเล่น ดูของไปเรื่อย แต่ก็นะ ของมันไม่ยังไม่ถูกใจ ต่อให้ราคาไม่แพง แต่มันไม่ถูกใจ ก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรอีกเลย 555555555 (มีtrick นิดหน่อยค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยว สามารถนำ Pass sport ไปยื่นที่ จุด information ได้ จะได้คูปองส่วนลดเอาไว้ช็อปใน Rinku Outlet กันค่ะ)
และมื้ออาหารมื้อแรกของเราก็เกิดขึ้นที่นี่ ไม่สามารถบอกชื่อร้านได้ เพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลย ไม่มีภาษาอังกฤษด้วย เป็นร้านอาหารชุดราคาไม่แพงมากค่ะ ประมาณ 800-2,000 เยน เราสั่งข้าวหน้าเทมปุระรวม ส่วนแฟนสั่ง ชุดข้าว เทมปุระรวมมา โอ้วโห้วววววววว เยอะๆ เยอะๆ มากๆ อิ่มแปร้เลย และอร่อยมากๆด้วย เหมือนเขาไม่หวงวัตถุดิบง่ะ จัดมาแบบเต็มๆ ทั้ง มันเทมปุระ ฟักทองเทมปุระ มะเขือม่วงเทมปุระ กุ้งเทมปุระ หมึกเทมปุระ ปลาเทมปุระ แล้วก็ใบอะไรสักอย่างทอดมา แน่นเลยทีเดียว
มองเวลา เผลอแป๊บเดียว บ่ายโมงกว่าแล้ว ก็เลยตัดสินใจกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วเดินทางไปที่พักดีกว่า เพราะช่วงเย็นเรามีแผนไปที่อื่นกันต่อ ..... กลับมาเอากระเป๋า ป๊าดดดด เวลาเกิน ทำให้ต้องหยอดเงินเพิ่มไปอีก 600 เยน รวมแล้ว 2 คน เสียค่าฝากประเป๋าไป 2,400 เยน เบาๆ 55555 ปะ นั่งรถไฟเข้าไปย่าน Dotonbori กัน กับที่พักของเรา Airbnb ค่ะ
* * * * * * * *
นั่งรถไฟจากสถานี Kansai Airport ไปลงสถานี Namba Station (รถไฟธรรมดา) ดูจาก app การเดินทางเราต้อง เปลี่ยนเป็น Namba Subway เพื่อไป สถานี Nipponbashi สถานีที่ใกล้กับที่พักของเรา
และแล้วสายรถไฟก็เล่นงานเราเข้าจนได้ งง คือ งง ใน งง 555555 สมคำร่ำลือจริงๆ แต่ก็ไม่เกินความสามารถค่ะ ตรงดิ่งไปถามเจ้าหน้าที่ในตู้ที่อยู่บริเวณทางเข้าสำหรับเสียบบัตรผ่าน ก็ได้รับคำตอบว่า ให้ตามเส้นทาง สีชมพูไป เดินไปประมาณ 5 นาที เราก็เจอ!!!!!!!!!!!! ไปกันเลย สถานี Nipponbashi
พอมาถึงสถานี Nipponbashi ก็รู้สึกถึงความสำเร็จไปขั้นหนึ่ง แต่ก็กลับมางง อีกรอบว่าจะต้องขึ้นประตูไหนดี เป็นไงเป็นกัน ประตู 2 นี่แหละว้า 5555 เดินขึ้นไป ลมและละอองฝนผลิวมาปะทะ หนาววววววววว เว่อออออ เลยตัดสินใจกับแฟนว่า เราจะหอบกระเป๋าและข้าวของไปที่ ตลาด Kuromon กันก่อน เพราะต้องไปเอา Osaka Amazing Pass ที่ร้านสักร้านหนึ่งในตลาดนี้ (เราซื้อบัตรนี้ผ่าน Klook โดยที่เขาระบุว่าต้องมารับบัตรจริงที่ร้านในตลาดนี้)
ขึ้นจากใต้ดินมา เราก็โชว์พาวเลย ชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วบอกว่า ที่พักเราอยู่ด้านนู้น เพราะเราศึกษาเส้นทางมาจาก Google Street View แล้ว ดังนั้น ตลาด Kuromon จะต้องเดินไปทางนี้แน่นอน! สิ้นเสียงเราก็เลยลากกระเป๋าดุ่มๆ ไป 2 คนกับแฟน ฝนก็ยังปรอยๆ พอให้หนาวเขากระดูกพร้อมกับความแฉะ เดินมาสักพัก อ้าวเฮ้ย ! ทำไมมันเหมือนทางไปที่พักเราจังเลยวะ ไม่เหมือนทางไป Kuromon เลย ปรากฎว่า ใช่จริงๆ พอเปิด Google map เท่านั้น พ่าม !! ไปคนละทิศละทาง 5555 ก็เลยจำต้องเข้าไปเก็บของที่ที่พักก่อน พร้อมกับทำเวลา เพราะตลาดใกล้จะปิดแล้ว และเราจำเป็นต้องใช้ Osaka Amazing Pass เย็นนี้ซะด้วย เลยเดินๆ ลากๆ กระเป๋าเข้าที่พักอย่างรวดเร็ว
ทำเซียนเหมือนเรียนมา กับเส้นทางไปที่พัก ที่นี้ เป๊ะ! ค่ะ หาเจอแบบไม่หลง ที่พักที่เราจองไว้เป็นแบบ Airbnb ค่ะ คือลักษณะของ Apartment ปล่อยเช่า โดยทางเจ้าของ เราจะเรียกเขาว่า Host จะให้ข้อมูลเส้นทางการมาที่พัก การรับกุญแจ และรายละเอียด ร่วมถึงกฎ ข้อห้ามต่างๆ ของการเข้าพัก มาให้เรา ตอนที่ทำการจอง การจองก็เหมือนการจอง โรงแรมทั่วไป ผ่าน https://th.airbnb.com/
ที่พักของเราดูผ่านรูปแล้วก็โอเค เล็กๆ แต่เครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม เหมือนคอนโดห้อง Studio แต่จะเล็กกว่าเกือบครึ่ง
พอรับกุญแจจากตู้จดหมายตามที่โฮสบอกเสร็จ ก็ขึ้นลิฟท์ ไปที่ห้องพักกันเลย เกิดห้องมา พ่าม! เล็กจัง 5555555 แต่ก็นะ พออยู่ได้ เล็กแค่ไหนอ่ะเหรอ ทางเดินเข้าไปห้องนอนใหญ่ เดิมพร้อมกัน 2 คนไม่ได้อ่ะ ต้องตะแคงข้าง 2 คน ถึงจะเดินได้ 5555 แต่ก็โอเค ตรงเครื่องใช้ไม้สอยที่ครบเลย ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า ที่อบ แก้ว จาน ตะเกียบ สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ในห้องควรมี คือที่นี่มีหมด ก็เอาเป็นว่า ชื่นชมห้องได้แป๊บเดียวก็ต้องรีบออกมาเพื่อไปที่ตลาด Kuroman กันต่อกับภารกิจ ไปรับ Osaka Amazing Pass
* * * * * * * *
ตัดมาที่ ตลาด Kuromon
ณ ตลาด Kuromon ว้ายยยยยยยยยย ละลานตาไปหมด!! คุณขา!! ไข่แซลมอนเล่นแสงวิ้บวั้บ เนื้อปลาสีแดงสด ตัดกับกลิ่นหอยเซลย่าง หันไปอีกที่ได้ยินเสียงฉ่า .... ของเนื้อย่างงงงง มึนไปหมดค่ะ เหมือนหลงอยู่ในดงดอกลาเวนเดอร์ อยากจะหยุดกินไปซะทุกร้าน แต่เวลาไม่เคยคอยใคร ร้านที่ให้ไปรับการ์ด ก็ยังหาไม่เจอ ก็ได้แต่เดินจ้ำๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ เอ้ย ! นั่นไง ร้านอยู่นั้น กำลังเก็บร้านเลย 5555 เราก็เลยรีบเข้าไปพร้อมยื่น QR Cord ให้เจ้าของร้าน ทำการแสกน จากนั้น Osaka Amazing Pass ก็มาอยู่ในมือเรา ตัดภาพกิเลสแห่งซาซิมิ อุนิ หอยเซล และไข่แซลมอน จากในหัวไปให้หมด เพราะเป้าหมายต่อไปของเราในวันนี้คือ Osaka Aquarium Kaiyukan ไปหาหลามวาฬกัลลลลล !!!!
* * * * * * * *
ลงสถานี Osakao ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดที่จะเดินทางไป Kaiyukan เดินผ่ากระแสลมและฝนปลิวๆ กันไปประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ววววววววว ถึงว่าทำไมลมแรงจังจนร่มแทบพัง เพราะที่นี่ตั้งอยู่บริเวณ ท่าเรือ Santa Maria นี่เอง
ไปถึงก็ซื้อตั๋ว ราคาตั๋วราคาผู้ใหญ่ไม่เกิน 60 ปี อยู่ที่ 2,300 เยนค่ะ แต่ถ้าใช้ Osaka Amazing Pass จะลดอีก 100 เยน เหลือเพียง 2,200 เยน เท่านั้น !! 55555 ลดไปจิ๊ดนึง ก็ถือว่าดี จากนั้น เราก็เข้าไปกันเลย
ที่นี่ส่วนตัวชอบนะคะ แต่อาจจะเป็นเพราะว่า เราเข้ามาในช่วงใกล้จะเย็นมากแล้ว หลายๆ ตู้การแสดง เช่น โลมา แมวน้ำ เลยมองไม่ค่อยเห็น เนื่องจากส่วนจัดแสดงนี้เขาจะใช้แสงธรรมชาติค่ะ แต่ก็ยังมีส่วนจัดแสดงอื่นๆ อีกมากมายให้ได้ชมกัน ไฮไลท์ ก็คือ แท็ง ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของปลาหลากหลายสายพันธุ์ ได้แหวกว่ายโชว์ตัวกัน
และในนั้น พระเอกของเรา เจ้าฉลามวาฬ ตัวใหญ่บิ๊กเบิ้ม ก็ว่ายน้ำอุ้ยอ้าย โชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวและเด็กๆ ได้ถ่ายรูปกัน เราใช้เวลาอยู่กับตรงนี้นานพอสมควรเพราะ ดูเพลินมาก มีปลาแปลกๆเยอะ เช่นฉลามหัวฆ้อน หมึกกระดอง ปลาโมลา หรือปลาแสงอาทิตย์ทรงประหลาดๆ ยิ่งดูยิ่งเพลิน เพราะเขาทำทางวนให้เราสามารถดูปลาในแท็งนี้ได้ตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างเลย ประมาณ3-4ชั้นได้
นอกจากนี้ในส่วนจัดแสดงอื่นๆ ยังมีให้เราได้เอามือไปสัมผัสกับปลากระเบน และปลาฉลามทรายได้ด้วย เราเลยลองเอามือไปลูบหลังปลากระเบน กรี๊ดดดดดดด ลื่นๆ อ่ะ 55555 แต่ก็เป็นกระสบการณ์ที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ ใช้เวลาอยู่ในนั้นประมาณ 2 ชม.ได้ ก็เลยว่าจะออกมา เพื่อไปขึ้นชิงชาสวรรค์ Tempozan ต่อ เพราะอยู่ใกล้ๆ กัน
พอไปถึงปรากฎว่า พนักงานซึ่งเป็นน้องผู้หญิงกำลังยืนอยู่นอกประตูตรงที่รอขึ้นชิงช้า เธอใส่เสื้อโค้ชตัวยาวยืนเอามือกำกระชับเสื้อโค้ชเอาไว้แน่น ยืนต้านกับลมแรงที่อยู่ด้านนอก ผมเผ้าปลิวกระจุยกระจาย พอเรากำลังจะเดินออกไป เธอรีบเดินดิ่งเข้ามา พร้อมกับป้ายที่ถืออยู่ในมือ เขียนว่า We closed Strong wind เราจึงได้แต่พยักหน้า พร้อมกับน้องผู้หญิงคนนั้นที่ส่งยิ้มให้และพูดว่า Sorry Sorry! จากนั้นเธอก็กลับออกไปยืนสู้กับลมแรงต่อ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูงมาก ปรบมือ !!! เราจึงเดินทางกลับเข้าที่พักที่น่ารักของเรา
* * * * * * * *
พอกลับถึงที่พัก นั่งพักได้นิดหน่อย ด้วยความหิวที่มันไม่เคยลดลาวาศอก 555 ทำให้เป็นแรงขับที่ดี ที่ทำให้เราก้าวต่อ เราออกจากที่พักเพื่อตามหาของกิน ซึ่งโจทย์สำหรับเราวันนี้ก็คือ “เนื้อย่าง” เท่านั้น ! และร้านที่เราเล็งไว้แต่ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ก็คือร้าน Rikimaru Yakiniku ซึ่งจริงๆแล้ว รีวิวหลายๆ รีวิว บอกว่า ควรทำการจอง ก่อนมากิน เพราะถ้าไม่จองกว่าจะได้กินก็ต้องรอนานมาก แต่ด้วยที่ว่าเราไม่อยากฟิกตัวเอง ก็เลยเสี่ยง Walk in เข้าไป ปรากฎว่า รอไม่นานจ้า อาจจะเป็นเพราะวันนั้นเป็นจันทร์ คนเลยไม่เยอะหรือเปล่าไม่รู้นะ นั่งรอประมาณ 10 นาที ก็ได้โต๊ะ เรากับแฟนเลือกแบบ ชุดจัดเต็ม ทั้ง เนื้อและเครื่องดื่ม
คือ Buffet เนื้อ สั่งได้ 110 อย่าง ราคา 3,480 เยน เครื่องดื่ม เลือกได้ 62 อย่าง 1,300 เยน แล้วเรามาลุยกัน!! สั่ง rib eye, outside skirt, ลิ้น, ซี่โครง, แล้วก็ choicer boneless short rib (ไอ้เนื้อลายๆ ที่ละลายในปาก) เครื่องดื่มเป็นเบียร์ และ เหล้าบ๊วยหวานๆ ใส่น้ำแข็ง เย็นๆ ชื่นใจ (สุราเป็นสิ่งไม่ดี) มาถึงน้ำจิ้ม มี 2 แบบ คือแบบน้ำสีดำ เราว่าอันนี้อร่อยดี กับอีกแบบเป็นน้ำสีขาวๆ เท่าที่ชิมแล้วเหมือนน้ำจิ้มกระเทียมปั่นแล้วใส่เกลือ น้ำจิ้มสีขาวนี่เค็มมาก เราว่าจิ้มสีดำอย่างเดียวเอาอยู่ค่ะ มาพูดถึงเนื้อกันบ้าง อูยยยยยยยยยยยยยยยย ดีของดีของดี เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว ละลายในปาก ยิ่งกินยิ่งอยากกินอีก สั่งแล้วสั่งอีก
แฟนเราถูกใจ choicer boneless short rib ส่วนเราชอบ outside skirt ยิ่งกินกับพริกหวานและหอมใหญ่ย่างนะ เด็ดดวง! อิ่มแปร่กันไปกับมื้อเย็น ค่ำ ดึก ควบกันไปเลย กับเนื้อย่างดีๆ ที่คุณคู่ควรเมื่อมาโอซาก้า หลับฝันดี กับ Day 1 in Osaka ค่ะ
* * * * * * * *