รีวิวเที่ยว วังเวียง ไม่ วังเวง ครื้นเครงสนุกสนาน
"สบายดี วังเวียง"
เลือกจองตั๋วเครื่องบินราคาโปรฯ ของเจ้าสิงโต ดอนเมือง-อุดรธานี ตั้งใจว่าจะไปต่อรถเพื่อไปวังเวียงที่นั่น ตามรีวิวของคนอื่นๆ ดูมาจากยูทูป
มาถึงวันเดินทาง...
Day1
ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ตอนประมาณ 06.30 น. ก็ตรงแด่วไปที่เคาเตอร์ขายตั๋วรถตู้เพื่อเข้าเมือง ไปที่ขนส่ง (ที่อยู่ใกล้เซนทรัล) สนนราคา ค่าตั๋ว คนละ 80 บาท รถตู้ออกเมื่อคนเต็ม ดึงเวลาให้ช้าไปอีก... ใครชอบเร็วๆ แนะนำให้ออกจากประตู้ terminal มาหน่อยมองหาแท็กซี่ ราคาน่าจะประมาณ 150 – 200 บาท หรือใครชอบความท้าทาย ท้าลม ท้าฝุ่น ก็ต้องนี่เลย สกายแลป ออกมาจากประตู terminal เดินเลี้ยวขวามาเรื่อยๆ ประมาณ 100-200 เมตร จะมีจอดอยู่ เจรจากันเองเลยจ้า
พอมาถึงขนส่ง คุณพระ! แถวช่องซื้อตัวยาวเป็นหางเว่า และที่สำคัญตั๋วรถเที่ยวตรง อุดร-วังเวียง หมด !!!!!!!!!!!! (1วันมีเทียวเดียว 08.30 น. ราคา 320 บาท) ว่ากันว่า ถ้าอยากจะได้ตั๋วนี้มาครอบครองต้องมาตั้งแต่เช้ามืด
จึงต้องเปลี่ยนแผนนั่งรถจากอุดรไปลงเวียงจันทน์แทน (รถอุดร-เวียงจันทน์ 1 วัน มีหลายรอบจ้า ไม่ต้องกลัว สนนราคาที่คนละ 80 บาท) เราได้รถเที่ยว 09.00 น. ....
ถึงเวลารถออก ก็งีบได้เลย ใช้เวลาประมาณ 1.30-2 ชม.รถก็จะพาเราไปมายังด่านหนองคาย เพื่อเตรียมข้ามแดนไป ประเทศลาวค่ะ
รถจะปล่อยเราไว้ ให้ลงไปทำการแสดงตนเพื่อข้ามแดน จุดนี้ ขั้นตอนไม่ยาก ต่อแถว – แตะพาสปอร์ต – เดินเข้าไป แล้วยืนมองกล้อง – แสกนนิ้ว – ผ่านนนนนนนน ใช้เวลาต่อคนประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น จากนั้น ก็เดินไปขึ้นรถคนเดิมที่จอดรออยู่ด้านหน้าได้เลยค่ะ
เสร็จสิ้นรถจะพาเรา ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อเข้าสู่ด่านของประเทศลาว และก็เหมือนเดิม รถปล่อยเราลง จากนั้น เราต้องเขียนใบ เข้าเมืองและออกเมือง (จะมีเจ้าหน้าที่ฝั่งลาว ที่นั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนยื่นให้ ตรงที่ลงรถเลย อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ สอบถามคนรถเอานะคะ) เมื่อกรอกเสร็จแล้วทั้งขาเข้าและขาออก ให้นำไปแนบกับพาสปอร์ต แล้วนำไปยื่นที่ ตู้ตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเจ้าหน้าที่จะฉีกใบขาเข้าเก็บไว้ และส่งใบขาออกพร้อมพาสปอร์ตมาให้เราเก็บไว้ เพื่อใช้ยื่นอีกทีตอนที่เราจะกลับออกไปประเทศไทยค่ะ เสร็จแล้ว ให้มองไปที่ด้านขวามือ บริเวณเกาะกลาง จะมีห้องขายตั๋ว ONE WAY TICKET สำหรับเสียบประตู เพื่อผ่านเข้าประเทศลาวค่ะ (คล้ายๆ ทางเข้า BTS) ราคาอยู่ที่ ใบละ 5 บาท เวลาซื้อยื่นพาสปอร์ต ให้เจ้าหน้าที่เช็คด้วยนะคะ
เมื่อเสียบบัตรและผ่านประตูมาเป็นที่เรียบร้อย เดินออกมาหน่อย ด้านซ้ายมือ จะมีที่แลกเงิน และที่ซื้อซิมการ์ด จัดการให้เสร็จสิ้นจากตรงนี้เลย สะดวกดีค่ะ จากนั้น ก็ขอต้อนรับสู่ สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ....
จากนั้นรถคันเดิมที่เราใช้เดินทางมาจากอุดรธานี จะพาเรามายัง ตลาดเช้า กลางเมืองเวียงจันทน์ จากจุดนี้ เราต้องหารถต่อไปวังเวียงกันเอง ก่อนลงรถตั้งสติให้มั่น เพราะเราจะถูก “รุม” จากตุ๊กๆ และนายหน้าขายทัวร์ เลือกเลย สอบถามให้ชัดเจน จะต่อราคา ก็ต่อเลย หากตุ๊กๆ แนะนำว่าจะไปส่งที่ท่ารถ ราคาจะต้องไม่เกินคนละ 20 บาทไทย หากเกินอย่าไป ...
ด้วยที่ไม่ได้ศึกษามาอย่างละเอียด ก็เลยไม่รู้ว่า ต้องไปต่อรถที่ไหน หรือต้องนั่งรถของบริษัทไหน กระบวนการ random จึงเกิดขึ้น เราบอกตุ๊กๆ ให้ไปส่งที่ท่ารถไปวังเวียง ด้วยราคาค่าตุ๊กๆ คนละ 20 บาท และค่ารถไปวังเวียงอีกคนละ 90,000 กีบ ปากหนักไม่ยอมต่อราคา ก็เลยตามนั้น ... มาพูดถึงรถที่เรานั่งไปวังเวียงกันดีกว่า เป็นรถตู้โดยสารแบบบ้านเรานี่แหละ การเดินทางครั้งนี้ มีกลุ่มน้องๆคนไทยอีก 4 คน ร่วมเดินทางไปด้วย เราออกจากท่ารถเวลา 14.00 น. ......................................................
อ่าวเฮ้ย ! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา คุณพระ คุณรู้จักหวานเย็นทัวร์ป่ะ ยังไง ยังงั้น จอดทุกป้าย จ่ายทุกร้าน เจอคนยืนข้างทางก็เรียก จากที่คิดว่า เราน่าจะเดินทางถึงวังเวียนในเวลาประมาณ 18.00 น. เวลาก็ล่วงเลยมาเป็นทุ่มกว่า เพราะอิลุงคนขับ จอดรับ จอดส่งคนอย่างใจเย็น 55555 ตลกชีวิต ขึ้นก่อน ลงทีหลังมันเป็นแบบนี้เอง ... มาถึงวังเวียน ด้วยสภาพสุดเซ็ง เมื่อย เหนื่อย หิว ฝนตก คิดว่า วันแรกคงหมดไปกับการเดินทาง และนั่งงมในห้องพักแน่ๆ ..... ลงรถเสร็จเดินหาห้องพักต่อ
ห้องพักที่เราเลือก ชื่อ “ถาวรสุขรีสอร์ท วังเวียง” จองผ่าน Agoda ราคาห้องละประมาณ เกือบๆ 2,000 บาท แพงหน่อย แต่ได้วิวแม่น้ำซองกับภูเขา อยู่หลังห้องเลย อิอิ แต่มองไม่เห็นหรอก มาถึงมืดขนาดนี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกมาดูแล้วกัน หลังจากที่เข้ามาพักที่ห้องได้แป๊บนึง บอกกับตัวเองว่า เราต้องไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า แต่งตัว พร้อมลุย และมาร์กจุดหมายสำหรับคืนนี้คือ 1.โรตี 2.ข้าวเย็น 3.ซากุระบาร์ พร้อมแล้วลุยโลดดด
เดินออกมาจากที่พักไม่ไกล เยื้องๆ กับโรงพยาบาลวังเวียง เราแวะที่ร้านโรตี สั่ง โรตีกล้วยราดนูเทลล่า 1 ชิ้น ราคา 10,000 กีบ หรือน่าจะประมาณ 40 บาท อร่อยมาก ในภาวะหิว และขาดน้ำตาลจากความเหนื่อยแบบนี้ ได้แรงกันเลย พร้อมเดินหาของกิน สรุปคือมาจบที่ร้านส้มตำ ข้างๆ ร้านโรตี (น้องร้านโรตีแนะนำ บอกว่า ร้านนี้คนเยอะทุกวัน) สั่งส้มตำไท ไก่ย่างครึ่งตัว หมูย่าง 1 จาน ข้าวเนียว โหยยยยยย คือดีงาม อร่อยถูกปาก จ่ายไปเบาๆ แสนกว่า..................................... กีบ 555
ประมาณ 400 กว่าบาท โอเคเลย มีแรงเดินเที่ยวละ ไปลุยกันต่อเลย
สภาพของถนนท่องเที่ยวของวังเวียงยามค่ำคืน จะคล้ายๆ ข้าวสาร แต่เบากว่า วุ่นวายน้อยกว่า เงียบกว่า เกาหลีเยอะกว่า อุ๊ปส์ 55 ร้านส่วนใหญ่จะเน้นร้านนั่ง กิน ดื่ม ฟังเพลง เดินเที่ยวสักพักดูเวลา นี่มันได้เวลาไปเริงร่า ที่ landmark ของวังเวียนแล้วนี่นา.... ไป “ซากุระบาร์” กัลลลล
ซากุระบาร์ บาร์เล็กๆ ศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจากหลายชาติ แต่พีคๆ จะเป็นเกาหลี บอกไว้ก่อนว่า มาก่อน 3 ทุ่ม แจกดริ๊งฟรี นะคะ แต่เรามาไม่ทัน 5555 ซื้อกินเองไป บังเอิญมาเจอ กลุ่มน้องๆ ที่ร่วมชะตากรรมรถตู้หวานเย็นมา (น้องโอ้ อิ่ม ลูกหยี แพร สาวๆสิงห์บุรี) ก็เลยรวมโต๊ะกันซะเลย ถามไถ่ว่า น้องๆ เสียค่ารถมาคนละเท่าไหร่ น้องบอก คนละ 70,000 กีบ .... 555555 อะไรคือ เรามา 90,000 กีบ ในรถคันเดียวกัน ...... โดนไป 1 ดอก สวยๆ รวยๆ สายเป ช่างมัน มาทิ้งความดราม่า เรื่องเสียรู้รถตู้ที่ซากุระบาร์ กันเถอะ...
บอกได้คำเดียวว่า มาวังเวียงต้องหาเวลามานะ เป็นบาร์ที่สนุกดี คนเที่ยวไม่ค่อยถือตัว เพราะทุกคนมาเพื่อสนุกสนาน ไฮไลท์จะอยู่ที่โต๊ะตัวกลาง ที่มีเอาไว้สำหรับใครที่อยากเต้นแรงๆ ขึ้นไปประชันกัน สายเกา สานฝ. น่าจะชอบ เพราะ ส่วนใหญ่งานดี 55555 เต้นไปเต้นมา กลับไปพักดีกว่า ด้วยเวลาที่น้อย ต้องถนอมร่าง พรุ่งนี้ต้องลุยเก็บที่เที่ยวต่างๆ ในวังเวียง ตามที่ตั้งใจให้ครบ แล้วเจอกันใหม่พรุ่งนี้ ฟิ้ววววววววววววววววววววว
Day2
ตื่นเช้ามาพร้อมความ Amazing Laosland เปิดประตูหลังห้องออกไป พบกับวิวหลักล้าน แม่น้ำซอง และภูเขาที่ถูกโอบกอด ด้วยหมอกและเมฆฝน สวยมากจริงๆ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง นั่งชมวิวสักพักก็รีบอาบน้ำเตรียมตัว สำหรับจุดหมายปลายทาง ของวันนี้คือ 1.Blue Lagoon 1 2.Blue Lagoon 3 3.Tubing 4.เดินเที่ยววังเวียง 5.ร้านหลวงพระบางเบเกอรี่ 4. กินหมูกระทะ ตารางแน่นๆ ฉะนั้น ใช้เวลาให้คุ้มที่สุด
เดินออกจากที่พัก เพื่อหาเช่ารถมอเตอร์ไซค์ เป็นร้านข้าง ร.พ. ราคามอไซค์ออโตเมติค 1 คัน 80,000 กีบ คืนรถตอน 2 ทุ่ม จ่ายเงินและมัดจำพาสปอร์ตเสร็จ เจ้าของร้านก็จะให้แผนที่ พร้อมอธิบายเส้นทาง เข้าใจง่ายดี จากนั้นขี่รถไปเติมน้ำมันก่อน แล้วก็เดินทางกันเลย
จุดหมายแรกคือ Blue Lagoon 1 สระน้ำสีฟ้า ที่ใครมาวังเวียงก็จะต้องไป ฉะนั้น เราก็จะต้องไป 55555 ตามๆ เขาไป ขี่มอไซค์ตามแผนที่ไปถึงสะพาน น้ำซอง ตาก็เหลือบไปเห็น ร้านเช่ามอไซค์ สนนราคาที่ 50,000 กีบ ใช้ได้ 24 ชม. ถูก!!!! ถูกกว่าร้านที่เช่าตั้ง 30,000 กีบ เห้อ.... ช่างมันเหอะ ก้มหน้าขี่สะพานข้ามน้ำซองไป เสียค่าข้าม ทั้งไป – กลับ คิดรวม 10,000 กีบ จากนั้น ก็ไปตามแผนที่ กับวิว 2 ข้างทางที่ต้องบอกว่า สวย สดชื่น รื่นตา โอ้โห้ อ้าหา ตลอดทาง บ้านเรือน สลับกับทุ่งนา ข้าวออกรวงสีเหลืองทอง สลับกับต้นหญ้าสีเขียว ฉากหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่าน ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ..... วังเวียงก็คือวังเวียง คือที่ที่สวยงามจริงๆ
ขี่มอไซค์ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็มาถือ Blue Lagoon 1 เสียค่าเข้า คนละ 10,000 กีบ พอไปถึง เอ๊ย เล็ก ! ทำไมมันเล็กจัง ทำไมมันเล็กกว่าคนอื่นเขา 55555 เล็กกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ดีที่เราเลือกมาที่นี่ช่วงเช้า เพราะคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่อยากคิดสภาพช่วงสายๆ ร้อนๆ ที่คนแห่มาเล่นน้ำกัน คงไม่มีพื้นที่ได้ลงไปเล่นแน่ๆ เราเช่าเสื้อชูชีพอีก 10,000 กีบ เพื่อลงเล่น ใครว่ายน้ำเก่งก็ไม่ต้องเช่า แต่เรากลัว เพราะน้ำมันลึก ก็เลยเช่าดีกว่า 5555 ถ้าใครได้ดูรีวิว เวลาคนที่มาเที่ยวที่นี่ เขาจะต้องกระโดดน้ำกันใช่ป่ะ 555 เราก็โดดนะ แต่เลือกโดดอันที่เตี้ย หืมมมมม แค่นี่ก็กลัวละ อันสูงไม่ไหวจริงๆ ได้โหนเชือกลงน้ำด้วย สนุกดี เชือกก็ดันสูงอีก (เรามันเตี้ยเอง T T) เกือบจับไม่ได้ โหนไปได้แป๊บเดียวตกน้ำตู้มมมม โดดน้ำ 2 ที โหน 2 ที ว่ายน้ำไปๆมาๆ โอเค ขึ้นดีกว่า เดินทางไป Blue Lagoon 3 กันต่อ...
ในส่วนของ Blue Lagoon 3 นั้น เส้นทางก็ ............. หิน หลุม บ่อ เละ ลื่น วนไปแบบนี้ไม่จบสิ้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชม. กว่า จนแอบคิดในใจว่า ถูกทางใช่ไหม คงไม่หลงนะ กลับดีไหม 5555 แต่โชคดี เจอป้ายบอกทางซะก่อน เลยมีกำลังใจเดินทางกันต่อ จนมาถึง Blue Lagoon 3 จนได้..... เสียค่าเข้า 10,000 กีบ เหมือนเดิม ที่นี่คนน้อยกว่า สถานที่กว้างขวางกว่า อยู่ต้นน้ำกว่า (คิดว่านะ) มีที่ให้โหน ให้กระโดดเหมือนกัน น้ำของที่นี่เกิดจากน้ำผุดจากใต้เขา เย๊นเย็น สะใจ มีแพ ห่วงยาง เรือคายัค ให้เล่นฟรี มีชูชีพให้เช่าราคา 5,000 กีบ ถูกกว่า Lagoon 1 เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 1 ชม. ดูเวลาจะเที่ยงแล้ว เลยรีบกลับดีกว่า เพราะ ไฮไลท์ของวันอยู่ที่ Tubing ( การนอนบนห่วงยาง แล้วล่องไปตามแม่น้ำซอง) ....
ขี่มอไซค์กลับเข้าเมืองมา หาอะไรกิน และแน่นอน ที่อยู่ท้องที่สุด คือ .... ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา จำชื่อร้านไม่ได้ อยู่เยื้องๆหลวงพระบางเบเกอรี่ และอยู่ข้างๆ ร้าน Oh La La รถชาติอร่อย ราคาไม่แพง ท้องอิ่ม ด้วยข้าวเหนียวแล้ว ก็ไปลุย Tubing กันเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายสำหรับ Tubing จะอยู่ที่คนละ 50,000 กีบ แต่ต้องมัดจำอีก 60,000 กีบ รวมเป็น 110,000 และพอเราเอาห่วงยางมาคืน ทางร้านก็จะคืนเงินมัดจำ 60,000 ให้ค่ะ
ร้านจะให้เรากรอกรายละเอียด ชื่อ สัญชาติ ต้องการหรือไม่ต้องการเสื้อชูชีพ เราก็กรอกไป จากนั้น เขาจะเขียนเบอร์ไว้ที่หลังมือ และให้เราขึ้นรถไปยังจุดปล่อยตัว ห่างไปประมาณ 5 กม. ค่ะ
จุดปล่อยตัวเป็นทางน้ำที่ไม่ลึกมาก เดินพอได้ โชคดี ชุดของเรามีกลุ่มน้องคนไทย (คนละกลุ่มกับรถตู้หวานเย็นนะ) มาด้วย ก็เลยตกลงกันว่า จะนั่งห่วงยางแล้วเกาะกลุ่มกันไป ..... มันไม่ง่ายเลย แค่เดินถือห่วงยางลงไปในน้ำ เพื่อไปปล่อยตัวกลางแม่น้ำ ที่ลึกพอจะให้ห่วงยางลอยได้ ก็เหนื่อยแล้ว เพราะน้ำแรง และหินลื่นมากๆ แต่สุดท้ายก็สำเร็จ พวกเราเกาะกับเป็นแพ คุยกันสนุกๆ จนลืมมองทาง หันไปอีกที กอไม้ใหญ่ก็ผ่ากลางพวกเรา โอ๊ยยยยยย แพแตกจ้า ! หลุดไปคนละทิศคนละทาง กว่าจะมารวมตัวกันได้อีกที ก็คือแวะขึ้นบาร์ข้างแม่น้ำ เพื่อรวบรวมกำลังพล (ตลอดแม่น้ำที่ล่องไปจะมีบาร์ มีร้านเปิดอยู่ ห่างๆกัน ให้เราลอยแวะเข้าไปได้) รวบรวมกันได้ครบ เราเลยขอตัวน้องๆ เพื่อออกล่องแม่น้ำต่อ (ขอบคุณสำหรับมิตรภาพจ้า ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย555) ....
ช่วงลอยห่วงยาง เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เหมือนปล่อยทุกอย่าง ลอยไปเรื่อยๆ กับน้ำเย็นๆ มองวิว 2 ข้างแม่น้ำ มองภูเขา เมฆบนฟ้าที่ลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว โบกมือทักทายกับเรือคายัคของนักท่องเที่ยว ที่พายแซงเราไปบ้าง ทักทาย อันยองอันเซโย กันอย่างสนุกสนาน เจอช่วงตื่นเต้นบ้างเวลาเจอสายน้ำแรงๆ และการเอารองเท้ามาเป็นพาย เพราะต้องพายหนีกอไม้ 55555 สนุกดี เราใช้เวลา Tubing จากจุดปล่อย ถึงจุดที่ต้องขึ้นฝั่งประมาณ 2 ชม. ได้ จากนั้น ก็เอาห่วงยางไปคืน รับเงินมัดจำกลับมา....
จากนั้นตามหา “บริษัท มาลานี” เพื่อจองรถกลับเวียงจันทน์พรุ่งนี้ จองตั๋วเป็นรถมินิบัส พอรู้ราคาแล้วต้องอุทาน ต่อว่า อิรถตู้หวานเย็นคันเมื่อวานที่พาเรามา อยู่ในใจว่า “เฮ้ย! บริษัท มาลานี คิดค่ารถ วังเวียง-เวียงจันทน์ คนละ 35,000 กีบ เท่านั้น 2 คน 70,000 กีบ !!!!!!!!!!!” เมื่อวานนั่งรถตู้หวานเย็นมา คนละ 90,000 กีบ คืออะไร !!!! เสียใจ พร้อมคิดในใจว่า คราวหน้าถ้ามาจะไม่พลาดอีก ซื้อตั๋วเสร็จก็ขี่มอไซค์ กลับห้องไปอาบน้ำ แล้วออกมาลุยกันต่อ.....
มีเวลาช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก ไปสำรวจร้านอาหารที่เป็นแคร่ให้นั่งเอาขาแช่น้ำได้ ชิลล์ดี เลยอยากไปดู เผื่อได้กินข้าวที่นั่น แต่ว่าคนเยอะมาก ก็เลยได้แค่เดินดู ก็โอเคแหละ เดินไปเดินมาชักหิว ........ ไปจุดหมายต่อไปเลยแล้วกัน เติมน้ำตาลในกระแสเลือดสักหน่อย ที่ “หลวงพระบางเบเกอรี่” ร้านขนมและของหวานสวยๆ กับขนมปังและเค้กอร่อยๆ สาวกของหวานไม่ควรพลาดจริงๆ .... แต่ขอโทษที เรามันสาวกของคาว ก็เลยไม่ได้นั่งนานไปกว่านี้ เพราะจุดหมายของเรา มันเรียกน้องให้ไปกิน กิน กิน กินหมูกระทะ ที่ “ร้านพีมพิ่งสม” อันนี้เราก็ดูจากรีวิวมาเหมือนกันว่า ต้องมากิน ก็เลยลองดู ขอต้อนรับสู่ร้านหมูกระทะ หรือจิ้นดาด แบบฟิวชั่น โซเดมาคอม สไตล์เกาหลี เอาจริงๆ คือไม่ค่อยถูกปากเราสักเท่าไหร่ แห่ะๆ ขอโทษนะค้า คือหมู เขาไม่ได้หมัก ให้นิ่มๆ เหมือนหมูกระทะบ้านเรานะ มันเลยแข็งๆ ด้านๆ แต่หมูสามชั้นใช้ได้ และในส่วนของน้ำจิ้ม ก็จะออกหวานๆ เป็นแบบซอสเกาหลีแดงๆ ที่บีบมะนาวใส่แล้ว ก็ยังหวานอยู่ เลยไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ (กลับไทยมารีบจัดหมูกระทะให้หายอยากเลยอ่ะ 555) แต่ถ้ามากินกันอาจจะว่าอร่อยก็ได้นะ มาลองดูไม่เสียหายจ้า
วันนี้ก็ถือว่า ครบตามที่ตั้งใจไว้ คืนมอไซค์ แล้วก็กลับห้องนอน พรุ่งนี้กลับแล้ว เก็บแรงไว้เดินทางกลับท่าจะดี .....
Day 3
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใสมากๆ บรรยากาศ และวิวสวยเหมือนเดิม กินอาหารเช้าของโรงแรม และนั่งรอรถจากบริษัทมาลานี มารับที่หน้าฟรอนท์ เพื่อไปขึ้นรถมินิบัสที่ท่ารถ ช่วง 09.30 น. รถมาตรงเวลา และพาไปที่ท่ารถที่อยู่ไม่ไกล
รถมินิบัสค่อนข้างแคบ แต่ก็พอนั่งได้ มีเพื่อนร่วมเดินทางหลายคน ค่อยๆ ทยอยเดินทางมาถึง เราออกเดินทางจากวังเวียงช่วงเวลาประมาณ 10 โมง แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกที น่าจะมาได้ครึ่งทางแล้ว รถจอดให้ลงไปเข้าห้องน้ำ และกินอาหารกลางวัน ประมาณ 20 นาที เป็นลักษณะร้านเล็กๆ ขายหมูย่าง ข้าวเหนียว ข้าวจี่ ไข่ทรงเครื่อง แซนวิช เฝอ น้ำผลไม้ ฯลฯ ก็เลือกกินตามสบาย เราลองกินข้าวจี่ กับ ไข่ทรงเครื่อง รสชาติใช้ได้ ข้าวจี่อร่อยดี ถามพี่คนขายบอกว่า เอาข้าวเหนียวไปชุบไข่ที่ใส่แคบหมู แล้วนำไปย่าง เลยทำให้รสชาตินัวมากๆ 555 หอมไข่ และหอมแคบหมู จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ....
หลับไปอีกตื่น ตื่นมาอีกที ก็มาถึงเวียงจันทน์แล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. เห็นจะได้ จุดลงรถ ก็เป็นจุดเดียวกันกับที่เราขึ้น รถตู้หวานเย็นเมื่อตอนขามา ลงรถก็มองหาตาลุงคนขับรถตู้ขามาของเราก่อนเลย (แอบแค้น 5555 ) ปรากฏว่า วันนี้มีเหยื่อเต็มเลย สงสารนักท่องเที่ยวพวกนั้นจัง คงเจอแบบที่เราเจอแน่ๆเลย แต่ถ้าเราเดินไปบอกก็คงไม่ใช่เรื่อง ป่านนี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ ........
ลงรถเสร็จ ทีนี้ก็ต้องไปที่ตลาดเช้าเวียงจันทน์เพื่อต่อรถกลับไปที่อุดรธานี ขามาเราเลือกนั่งรถตุ๊กๆ แต่คราวนี้ ขอเดิน ดีกว่าค่ะ ไม่อยากโดนหลอกและเสียเงินโดยใช่เหตุอีกแล้ว 555555 ใช้เวลาเดินจากจุดลงรถ (อยู่ตรงข้ามศูนย์วัฒนธรรมลาว คิดว่าใช่นะ) จากนั้นเดินเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ อากาศที่ร้อน ทำให้เราต้องแวะซื้อน้ำกิน และร้านที่เราเลือกจะอยู่ฝั่งขวามือ จากเส้นทางที่เราเดินมา ร้านนั้นก็คือ ร้านน้ำผลไม้ปั่นน่ารักๆ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ กำลังต่อแถวซื้อกัน “ร้าน SISTER NUI” พี่นุ้ยเจ้าของร้าน น่ารักมาก อัธยาศัยไมตรีดีมาก แล้วน้ำผลไม้ ก็เป็นแบบ Healthy ดีต่อสุขภาพ อร่อยสดชื่นสุดๆ ใครผ่านไปก็อย่าลืมแวะนะคะ แนะนำเลย ...
จากนั้น เราเดินกันต่อ ผ่านธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียงจันทน์ไป และนับไป 1 สี่แยก เดินจนถึงสี่แยกที่ 2 ให้เลี้ยวซ้าย จะเป็นถนนเส้นใหญ่ ที่มองเห็นประตูชัยอยู่ไกลริบๆ เดินตรงไป เจอแยกไฟแดงให้เลี้ยวขวาอีกที ทีนี้ก็ง่ายละ เพราะเดินตรงไปอีกแป๊บ ข้ามถนนอีกทีก็ถึงตลาดเช้าเวียงจันทน์แล้วจ้า :) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที สบายๆ ในส่วนของตั๋วที่เราต้องซื้อ เมื่อเราเดินข้ามถนนเข้าสู่ตลาดเช้า สถานีขายตั๋วจะอยู่ด้านซ้ายมือ ด้านหน้าจะมีที่นั่งม้ายาว ก็เดินเข้าไปซื้อในตึกนั้นได้เลยค่ะ จากนั้นก็มานั่งรอรถบริเวณจุดที่เราลงรถตอนมา เมื่อรถมาถึง ทุกอย่างก็ วนกลับเหมือนตอนที่มาเปี๊ยบ! ...... ขึ้นรถ ไปด่านลาว ซื้อ One Way Ticket ราคา 5,000 กีบ ถ้าจ่ายเงินไทยจะ 45 บาท (ลงรถมาเจอที่ขาย One Way Ticket ก็ให้ซื้อก่อนเลยจะได้ไม่ต้องย้อนมาค่ะ) จากนั้น ไปยื่นพาสปอร์ตพร้อมใบขาออก ที่เขียนไว้เมื่อตอนเราเข้ามา กับเจ้าหน้าที่ จากนั้น เดินไปเสียบบัตร เพื่อออกจากด่าน และไปขึ้นรถคันเดินที่จอดรออยู่ จากนั้นนั่งรถไปด่านไทย ซึ่งขั้นตอนก็เหมือนเดิม วางพาสปอร์ตเพื่อสแกน – ยืนถ่ายรูป – สแกนลายนิ้วมือ – ประตูเปิด ก็ผ่านได้เลย Hello Thailand I’m back home now !! จากนั้นขึ้นรถเดินทางมุ่งสู่อุดรธานี ไปค่ะ กลับบ้านกันเถอะ....
และนี่ก็เป็นรีวิวแบบ เล่าไปเรื่อยเปื่อย กับประสบการณ์เที่ยววังเวียง,ลาว แบบโหด มัน ฮา สไตล์เราค่ะ คงจะเป็นไกด์ไลน์ในการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ให้กับเพื่อนๆได้นะคะ หวังว่าจะสนุกไปกับการผจญภัยในแบบเรา แต่จริงๆ ออกให้ไปเที่ยวเองมันกว่าอ่านในนี้เยอะค่ะ ไปค่ะไปเที่ยวกัน
"ขอบใจหลาย . ."