Dawn of the Night (รุ่งอรุณแห่งรัตติกาล) บทที่ 4 สายลมที่พัดผ่านไป
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเริ่มเข้มแข็งขึ้น ยิ่งเวลาที่ผมเห็นโอกิต่อสู้ด้วยใบหน้าแบบนั้นผมยิ่งอยากปกป้องเธอ ผมกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ เสียงของโอกิก็ลอดผ่านห้องผมมา
“เรียว ฉันรู้ว่านายตื่นแล้ว ในเมื่อตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ เดียวไปโรงเรียนสาย”
“ครับๆๆๆ”
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาทานอาหารมื้อเช้าเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีโอกิมาทานด้วยมันทำให้ผมประมาเล็กน้อย สุดท้ายอาหารมื้อนี้ก็เต็มไปด้วยความเงียบไม่มีแม้แต่บทสนทนา
ในระหว่างทางที่ไปโรงเรียนเสียเย็นชาของโอกิก็ดังขึ้น แต่โดนขัดจังหวะเมื่อเสียงของใครอีกคนดังขึ้น
“โอกิจัง คิดถึงจังเลย”
“................” ไม่มีเสียงเล็ดลอดจากปากของฉัน ซึ่งนั้นมันทำให้ฉันหันไปมองหน้าเรียว เพราะสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกเรียวแต่ยูมาขัดจังหวะซะก่อน
“โอกิจัง เธอก็คิดถึงฉันใช้ไหมสายตาเธอมันฟ้องนะ” ในขณะที่เดินทางไปโรงเรียนฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ยูเป็นครึ่งปีศาจ ฉันเลยเอยถามในสิ่งที่สงสัย
“ยู ฉันสงสัยว่าในเมื่อเธอเป็นครึ่งปีศาจเหมือนฉัน ทำไมไม่สามารถควบคุมพลัง ครึ่งปีศาจได้ เพราะโดยปกติปีศาจอีกครึ่งหนึ่งจะเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนาย แต่ทำไม่ของเธอแตกต่างออกไป”
“ครึ่งปีศาจบางตนเกิดมาพร้อมกับพลังแฝง อย่าเช่นของโอกิจัง ถ้ากลายเป็นปีศาจดวงตาข้างซ้ายจะกลายเป็นสีแดง ซึ่งหมายความว่า โอกิจังสามารถมองเห็นทั้งปีศาจแห่งรัตติกาลและคนธรรมดาได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั้นสามารถทำให้โอกิจังเลือกฆ่าได้และเลือกช่วยเหลือได้ แต่สำหรับฉันฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ถูกถ่ายโอนจิตวิญญาณของปีศาจมาเท่านั้น ฉันถูกถ่ายโอนแบบนี้ซ้ำๆ จากฝีมือของคนในตระกูลที่ล่มสลายไปเมื่อหลายปีก่อน มันเลยทำให้ปีศาจที่อยู่ในร่างกายของฉันพยายามจะออกมา แต่ทว่าหากปีศาจที่ถูกถ่ายโอนออกจากร่างฉันไปหมด มันจะทำให้ฉันตาย”
“ทำไม” ฉันหยุดเดินและหันไปมองหน้า ยู
“เพราะว่าฉันไม่เหลือ ร่างกายที่เป็นของตัวเองแล้วในตอนนี้ เหลือแต่สมองและจิตใจที่สามารถรับรู้และรู้สึกได้เท่านั้นเอง”
“โอกิ ยู เราไปโรงเรียนกันเถอะเดียวสาย เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างแต่ฉันจะปกป้องเธอนะยู” เสียทุ่มของเรียวดังขึ้นมันทำให้ยูหน้าเปลี่ยนสีทันที
คาบเรียนวิชาศิลปะ........................
ฉันนั่งมองแผ่นหลังของยูในชั่วโมงวิชาศิลปะ แต่แล้วแผ่นหลังนั้นสั่นระริกราวกับว่าหวาดกลัวอะไรอยู่ ฉันลุกจากโต๊ะและเดินไปหยุดยืนที่โต๊ะยู มันทำให้ทุกคนหันมามองฉันเป็นตาเดียว
“ยูเธอเป็นอะไร” เสียงอาจารย์สอนวิชาศิลปะดังขึ้น
“หยุดเดียวนี้นะ อาริเอะ โอกิ กลับไปนั่งที่ของเธอซะ ฉันยังสะสะสอน....” ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงอาจารย์ ฉันดึงดาบและขวางไปทางอาจารย์ดาบปักลงที่กระดาน
“หุปปากซะอาจารย์ ฉันยังไม่ได้คำตอบจากยู เพราะฉะนั้นอย่ามาขัดฉัน” อาจารย์ตกใจมากและนักเรียนที่อยู่ในห้องต่างพากันกรูไปยืนด้านหลังแต่ทว่าเสียงของเรียวกลับก้องและทรงพลัง
“หยุดเดียวนี้นะ โอกิ ผมบอกให้คุณมานั่งที่นี้เป็นคำสั่ง”
“หยุดออกคำสั่งไร้สาระกับฉันได้แล้วเรียว ถึงฉันจะทำพันธสัญญากับนายแต่ใช้ว่าฉันต้องฟังนายทุกเรื่อง”
“ฉันบอกให้เธอกลับมานั่งที่โอกิ ถ้าขืนเธอยังยืนอยู่ตรงนั้นยัยนั้นฆ่าเธอแน่” เรียวพูดจบยัยนั้นใช้มีดแทงฉันด้วยความเร็วที่ผิดกับปีศาจทั่วไป เรียวรีบวิ่งเข้ามาหาฉันทันที แต่ขณะเดียวกันยัยนั้น กลับร้องไห้แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหาย ใบหน้าแบบนั้นกับน้ำตานั้นมันหมายความว่าไงกันนะ เอะหรือยัยนั้นกำลังต่อต้านอยู่
“โอกิเป็นไงบ้าง” เสียงของเรียวที่ถามฉันและสายตาที่เป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร” ฉันลุกขึ้นแล้วมองร่างที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแต่แฝงใบด้วยใบหน้าที่กระหายเลือด ฉันขอเตือนพวกแกเจ้าปีศาจชั้นต่ำ จงออกมาจากร่างยัยนั้นซะ ไม่งั้นฉันจะจับพวกแกลงนรกไปให้หมด” ร่างกายของฉันเปลี่ยนไปดวงตาข้างซ้ายเป็นสีแดง
“ แกเจ้าครึ่งปีศาจต่อให้พวกเราออกไปจนหมดนังเด็กคนนี้ก็ไม่มีวันรอด เพราะพวกข้าได้ดูดกลืนทุกอย่างของนังเด็กนี้จนหมด โทษฐานที่ตระกูลของมันจับพวกข้ายัดใส่ร่างนังเด็กอ่อนแอนี้”
“พล่ามจบรึยัง” ฉันวิ่งสุดแรงเกิดกระโดดเข้าหาตัวเจ้าปีศาจนั่น เจ้าปีศาจนั่นหลบทัน ฉันดึงดาบออกจากกระดานแววตาของฉันตอนนี้ถ้าเรียวมองอาจจะต้องกลัวฉันแน่แต่ฉันจะไม่สนนอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
"ฉันไม่มีทางยกยัยนั้นให้พวกแก ได้ยินไหมไอ้งังทั้งหลายรีบๆ ลงนรถไปซะ” ฉันใช้ดาบฟันเจ้าปีศาจนั้นทำให้เกิดควันกลุ้มใหญ่ออกมาจากตัวเจ้าปีศาจ ปีศาจแห่งรัตติกาลค่อยไหลออกมาจากร่างนั่น จนในที่สุดหมอกสีขาวก็จางหายไปเหลือแต่ยูที่ยืนก้มหน้าอยู่ ฉันเดินเข้าไปหายัยนั้น
“เป็นไงบ้าง ปลอดภัยไหม”
“อึม” ยัยนั้นเงยหน้ามองฉันด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่ขณะเดียวกันฉันได้ยินเสียงเหมือนของแตก แต่ฉันไม่สนใจมันเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อยัยนั้นก็พูดกับฉันด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“ขอโทษนะ โอกิจัง เจ็บมากไหม ขอโทษนะ” ฉันได้ยินเสียงเหมือนของแตกอีกแล้ว พร้อมกับมือที่ยัยนั้นยกขึ้นมาจับที่แผลฉัน
“เธอเป็นอะไร” มันเป็นคำถามที่ฉันถามยูอีกครั้งและฉันก็ไม่ได้คำตอบอีกเช่นเคย
“โอกิ เรียก ยูจัง ได้ไหม” เสียงแตกร้าวดังขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าฉันกลับยอมเรียกยัยนั้นด้วยชื่อเล่น
“ยูจัง” ฉันเรียกชื่อยัยนั้นเสร็จร่างกายของยัยนั้นก็แตกสลายไปต่อหน้าฉัน ลมที่พัดผ่านหน้าต่างทำให้เส้นผมสีแดงบดบังน้ำตาของฉันที่แม้แต่เรียวก็ไม่เคยเห็นและไม่มีวันได้เห็น ฉันพูดกับตัวเองในใจว่าทำไมทุกคนที่อยู่กับฉันต้องจากฉันไปนะ ฉันไม่สามารถปกป้องใครได้ ฉันมันอ่อนแอ ฉันพร่ำด่าตัวเองในใจ ฉันก้มลงหยิบสร้อยที่เป็นรูปตัวยู ขึ้นมาใส่ แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องเรียน โดยที่ไม่หันไปมองว่าเรียวกำลังทำหน้าแบบไหน
ฉันเดินมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าที่นี้มันที่ไหน ข้างทางเป็นแม่น้ำ มีสนามหญ้าที่สามารถใช้นอนเล่นได้สบาย พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ฉันหยุดยืนมองออกไปในที่ที่ไกลแสนไกลแอบภาวนาว่ายูยังคงอยู่กับฉัน
ฉันทรุดตัวลงนั่งกับหญ้าสีเขียวขจีแต่ทว่า มือที่อบอุ่นกลับโอบกอดฉันจากด้านหลัง มันทำให้ฉันตกใจและหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“เรียว นี้นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตามเธอมาตลอดนั้นแหละ เพียงแค่เธอไม่สนใจมัน”
“ปะ ป่าวนะ” เรียวใช้หัวซบลงที่บ่าฉันจากด้านหลัง ก่อนกระซิบเบาๆ
“ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไปนะ โอกิ เพราะเธอเป็นของฉัน ของฉันคนเดียว” คำพูดของเรียวทำให้ฉันลืมความเศร้าได้จนหมดสิ้น
(ฉันว่าฉันอาจจะชอบบนายเรียว)