จะปล่อยให้ ดร.สมคิดบริหารบ้านเมืองได้ไง
สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีผู้คุมเศรษฐกิจ คิดออกมานั้น สะท้อนออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นการแสดงความไม่รู้ในการแก้ไขปัญหา เพราะแค่คำว่า "Market Niche" ยังไม่รู้จัก จะไปบริหารบ้านเมืองอะไรได้
จะเห็นได้ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 ท่านนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา "แนะคนไทย 'อย่าโง่'ปลูกพืชกำไรน้อย หนุนปลูกพืชสมุนไพรสร้างรายได้ ชูแปรรูป 'หมามุ่ย' ราคาพุ่ง กก.ละ 8 หมื่น. . .วันนี้รัฐบาล ได้สนับสนุนการปลูกพืชสมุนไพร ในเมื่อเราไม่สามารถปลูกข้าวได้ ก็จะให้กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปดูแลว่าจะปลูกพืชสมุนไพรได้หรือไม่ (http://goo.gl/bhRnSL) กรณีนี้สะท้อนว่าท่านนายกฯ ยังไม่เข้าใจ Market Niche หรือการตลาดเฉพาะกลุ่ม
อีกกรณีหนึ่งคือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2559 นายกฯ ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์โดยแนะให้ชาวสวนยางพาราปลูกสตรอเบอรี่และกล้วยหอมในสวนยาง (http://bit.ly/1n71qIZ) ทั้งนี้คงเป็นเพราะท่านได้ไปดูงาน-ตรวจเยี่ยมบ้านนายวิสูตร คันทรักษา เกษตรกรชาวสวนยางพารา หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเรือ อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามข่าวเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปลูกสินค้าเฉพาะนี้ก็อาจยังไม่เสถียร ท่านจึงยัง "แนะนำให้หาวิธีการแปรรูปหลายอย่าง และขยายตลาดรองรับ (และ) . . . ยังแนะนำว่าหากมีปัญหาสามารถปรึกษาสหกรณ์จังหวัด" (http://bit.ly/1S7fmzg)
เร็วๆ นี้คือ 11 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีdHแนะเกษตรลดพื้นที่ปลูกยาง ปรับเปลี่ยนปลูกพืชชนิดอื่น อย่าง ทุเรียน มังคุดแทนยาง (https://goo.gl/uEjxVx) นอกจากนี้ยังมีข่าว "นายกฯสั่ง รมต.เกษตรฯ แก้ยางทั้งระบบ ชะลอกรีด-ลดพื้นที่ปลูก-ปลูกพืชอื่น" (3 ธันวาคม 2560: https://goo.gl/tBKn71) การนี้ชี้ให้เห็นว่าทางราชการคงมีความเข้าใจผิดทางด้านการตลาดบางประการ
สินค้าที่เป็น Market Niche หรือสินค้าที่มีความแตกต่างออกไป จึงเป็นสินค้าที่ลูกค้าสนใจเพราะเป็นการเริ่มต้นที่จำนวนน้อย ยังไม่มีคู่แข่งอื่นหรือมีคู่แข่งจำกัด เหมาะกับพื้นที่ดังกล่าว เช่น ในพื้นที่โดยรอบสถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นใหม่ มักจะสร้างหอพักเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มเป้าหมายเฉพาะก็คือนักศึกษามหาวิทยาลัยนั่นเอง หรือพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้วัดที่มีผู้ไปทำบุญปฏิบัติธรรมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นจำนวนมาก ก็อาจมีการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรหรือห้องชุดที่รองรับผู้สนใจซื้อไว้ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง นอกจากนี้ยังอาจมีตัวอย่างของห้องชุดในพื้นที่ใกล้โรงเรียนมัธยมชื่อดังใจกลางเมือง ซึ่งสามารถจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวของเด็กนักเรียน เป็นต้น
อย่างกรณี "หมามุ่ย" แม้ว่าสถานการณ์ตลาดจะดี แต่ก็เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่ชาวนาไทยทั้งมวล หรือใครต่อใครจะหันมาปลูกหมามุ่ยแทนข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักได้ หรือแม้จะมีตลาดเฉพาะทางด้านอื่น ๆ นอกจากหมามุ่ย ก็ยังถือเป็นข้อยกเว้น และข้อยกเว้นคงไม่ใช่สรณะ (Exception cannot be made rule/norm) เพราะมีจำนวนลูกค้าจำกัด สินค้าอุปโภคบริโภคกับสินค้าเฉพาะทางคงทดแทนกันไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นท่านนายกฯ อาจไม่ทราบว่า "หมามุ่ย" ดังกล่าว มีสรรพคุณใช้เพื่อ "ช่วยปลุกเซ็กส์ มีเพศสัมพันธ์ได้มากขึ้น" ทั้งนี้เป็นผลการวิจัยมา 3 ปีแล้วของอาจารย์มหาวิทยาลัยของไทย (http://goo.gl/n2tXcm) นอกจากนั้นยังอาจใช้รักษาโรงพาร์กินสันได้ด้วย (http://goo.gl/yR7t8p) ท่านนายกฯ อาจไม่ทราบสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนี้ซึ่งใช้กับคนเฉพาะกลุ่ม การที่คณะทำงานนำความมาแจ้งแก่นายกฯ ให้นำเสนอพืชสมุนไพรนี้ในฐานะสินค้า จึงอาจทำให้เสียภาพพจน์ของนายกรัฐมนตรีได้ด้วย
ส่วนกรณีกล้วยหอมทองนั้น ปรากฏว่าในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เดิมในอำเภอท่าชนะ ก็เคยมีสินค้าโอทอปคือกล้วยหอมทอง โดยกลุ่มแม่บ้านกล้วยหอมทองเพื่อการส่งออก ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 195/264 หมู่ที่ 6 ต.คลองพา อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี 84170 โดยได้รวมกันเองในหมู่บ้าน ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 52 คน และได้เลือกคณะกรรมการบริหารกลุ่มโดยได้ดำเนินการมานับสิบปีแล้ว สมาชิกแต่ละคนนำผลผลิตมารวมที่กลุ่มเพื่อเตรียมส่งออกประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่อาชีพหลักคือการทำสวนยางพารา (http://bit.ly/22OlPD0) จะนำอาชีพเสริมมาทดแทนอาชีพหลักคงไม่ได้
ถ้าขืนไปส่งเสริมให้ใครต่อใครหันมาเลียนแบบกันทำตลาดแบบนี้ ก็จะพากันลงเหว "พาคนไปตาย" อย่างแน่นอน เพราะความพิเศษ ความโดดเด่น ลักษณะเฉพาะ ก็กลายเป็นลักษณะทั่วไปเพราะใครต่อใครหันมาทำแบบเดียวกันหมด ก็คงไม่มีความแตกต่าง และเต็มไปด้วยการแข่งขันและพากัน "เจ๊ง" กันไปหมดอย่างแน่นอน การแนะนำประชาชนไปในแนวทางเดียวกันแบบนี้จึงเป็นการสร้างความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง นี่จึงแสดงถึงความไม่รู้จริงของทีมงานนายกฯ จึงแนะนำให้ท่านเสนอแนะไปอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
แต่ในที่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง พล.ประยุทธ์ ยังมีข่าวพูดว่า "นายกฯไม่อยากให้ราคายางเป็นเรื่องการเมือง" (https://goo.gl/4eBfxD) แต่ทำไมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับมีคนเอาเรื่องยางมาทำเป็นเรื่องการเมืองไล่รัฐบาลดังกล่าว ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย นี่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งว่าหากรัฐบาลเดิมยังอยู่ ได้เริ่มแก้ไขปัญหายางอย่างยั่งยืนตั้งแต่บัดนั้น ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหารายวันกับการปิดถนน Shutdown ฯลฯ ที่เอาปัญหาปากท้องมาเป็นประเด็นเล่นทางการเมือง ป่านนี้ประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลแล้ว
การให้ ดร.สมคิดที่รู้เรื่องเศรษฐกิจกระทั่ง Market Niche มานำการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลทหารพาประเทศไปแบบเป๋ ๆ แบบนี้ ดร.สมคิดควรยังจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ดร.สมคิดน่าจะคิดเองได้
ที่มา: https://goo.gl/H9ympu