หุบเขาแสงจันทร์ 3 ปฐมบท..ทะเลแห่งชีวิต
ใต้เงาของต้นไม้สูงใหญ่บนพื้นดินเบื้องล่างเป็นที่ตั้งของเพิงพักชั่วคราว และภายใต้หลังคาสังกะสีปีกเดียวนั้น มีหลอดไฟส่องสว่างจากแรงขับส่งของเครื่องปั่นไฟ มีชายฉกรรจ์สามคนภายในเพิงพักกำลังจ้องมองการมาเยือนของยิปซีทะเลสองคนพี่น้อง
เมื่อพากันก้าวเท้าเดินมาถึงเพิงพักตรงหน้า เสียงของหนึ่งในชายฉกรรจ์ก็ดังขึ้น
“มาหาที่หลบพายุเหรอ เข้ามาสิ”
เสียงเชื้อเชิญอย่างมีไมตรี ทำให้ทั้งซายอและละมอก้าวเข้าไปในเพิงพักนั้นทันที แม้จะยังงุนงงแปลกใจ ที่ได้พบเจอคนบนเกาะร้างแห่งนี้ แต่ลมแรงแห่งพายุก็ทำให้ตัดสินใจเข้าไปหลบพักอาศัยในเพิงนั้น จนลืมความแปลกหน้าต่อกันไปชั่วครู่
ภายใต้หลังคาสังกะสี แสงไฟเหลืองนวลสี่ดวงที่ติดครบสี่มุมเสาของที่พัก ขับให้เห็นหน้าของคนแปลกหน้าได้ชัดเจนขึ้น เสื้อผ้าที่คนเหล่านี้สวมใส่ ท่าทางและภาษาพูดจา คือคนบนฝั่งเมืองชัดๆ ความแปลกใจระคนสงสัย มีมากขึ้นในความคิดของซายอ
“พวก...มาจากฝั่งเมืองทางโน้นหรอกหรือ” เสียงของซายอดังขึ้น ขณะที่สายตาของเขายังจ้องมองชายฉกรรจ์ตรงหน้าทั้งสาม ซายอพยายามออกเสียงภาษาของคนฝั่งเมือง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ได้พอรู้มา
“ใช่ แล้วพวก...ละ คนทะเลแถวนี้เหรอ” ชายฉกรรจ์ผู้ดูมีอำนาจและอายุเยอะที่สุดในกลุ่มตั้งคำถาม
“ใช่” คำตอบของซายอคือการยอมรับสถานภาพของตน แวบหนึ่งความคิดวกวนไปถึงเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้ซายอเริ่มตระหนักรู้ในบางสิ่ง “แล้วพวก...ขึ้นมาทำอะไรที่เกาะนี้”
“พวกกูจะมาสร้างที่พัก ทำรีสอร์ท”
“พวก...จะมาทำที่ทาง เหมือนบนฝั่งทางโน้นหรอกหรือ” ความคิดคำนึงคาดเดาบางอย่าง เป็นจริงหรอกหรือนี่ ความคิดของซายอเริ่มสับสน
“ก็ใช่ ทำไมหรือ” ชายฉกรรจ์คนเดิม จ้องมองคนทะเลตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจในท่าทีอันเริ่มจะแข็งขืน
“พวก...จะขึ้นมาปลูกที่ทางบนเกาะนี้ได้ยังไง ในเมื่อทั่วท้องทะเลแห่งนี้มันเป็นที่ทางของพวกกู”
ถ้อยคำของซายอแข็งขืนขึ้น การถูกรุกรานเป็นหนที่สอง ทำให้มีแวบความคิดที่จะปกป้องบางสิ่งเอาไว้ หรือถึงเวลาที่จะต้องทำ
“โอ้ย.. กูไม่รู้ด้วยหรอก พวกกูก็แค่คนรับจ้างมาสร้างบ้านให้พวกเขา” ชายฉกรรจ์คนเดิมให้เหตุผล ทั้งๆที่ก็งงเหตุผลของคนป่าทะเลตรงหน้า แต่ก็คร้านที่จะถามเพราะไม่ใช่ธุระเรื่องของเขา และไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเสียด้วย
“แล้วใครเป็นคนบอกให้พวก...มาสร้างที่แถวนี้” ซายอเหมือนต้องการจะหาคนต้นเริ่มให้ได้ในทันที อีไอ้พวกนั้นเป็นใครกันที่คิดสั่งให้คนพวกนี้มาสร้างที่ทางบนพื้นแผ่นดินของชนเผ่าอย่างพวกเขา
“พรุ่งนี้เช้าเจ้าของเขาจะมาที่เกาะนี้ ...รอคุยกับเขาแล้วกัน” ชายฉกรรจ์คนเดิมพูดตัดบท ในใจกำลังนึกอยู่ว่า คำของคนป่าทะเลตรงหน้าช่างไร้สาระสิ้นดี เขาหันไปบอกกล่าวเพื่อนคนงานอีกสองคนให้แยกย้ายกันเข้านอนตามมุมที่แต่ละคนเลือกจัดไว้ ก่อนหันมาบอกกล่าวคนป่าตรงหน้าทั้งสอง
“...ไปพักผ่อนก่อนเถอะ กูยกมุมโน้นให้พวก...สองคนละ ท่าทางพายุคงจะหนักไปทั้งคืน พรุ่งนี้เช้าพวก...ค่อยเดินเรือต่อ จะปลอดภัยกว่า”
สิ้นคำชายฉกรรจ์คู่สนทนา ทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อนยังมุมของตัวเอง ปล่อยให้ซายอและละมอยังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองพากันไปนั่งหลบมุมด้านหน้าเพิงพักที่ชายฉกรรจ์เป็นคนชี้ให้
ท่ามกลางแรงลมพายุ เสียงเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำลงบนหลังคาสังกะสี ช่วยกลบเสียงพูดคุยเบาเร้นของซายอและละมอได้ดี ทั้งสองพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าเกาะแห่งนี้ที่พวกเขาเคยมาพักค้างอ้างแรมบ่อยหน เคยแม้กระทั่งมาสร้างที่พักอาศัยอยู่ชั่วคราวยามทะเลหน้ามรสุม กำลังจะมีคนฝั่งเมืองทางโน้นมาครอบครอง เหมือนพื้นที่ร้างว่างเปล่าบนฝั่งเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่คนมากอายุในเผ่าพันธุ์ของพวกเขาบอกเล่าต่อกันมาว่าเคยไปพักค้างอ้างแรม เคยไปสร้างที่พักอาศัยชั่วคราวได้ในฤดูมรสุม แต่เมื่อหลายปีก่อนนั้น เมื่อคนฝั่งเมืองมาครอบครองพื้นที่ในลักษณะต่างๆ เพื่อทำเป็นโรงแรม รีสอร์ทจนเต็มทุกริมหาด นับแต่นั้นมา ชนเผ่าของเขาก็ต้องร่นถอยมาใช้ชีวิตเร่ร่อนไปมา ได้เพียงในน่านน้ำทะเลและหมู่เกาะน้อยใหญ่เหล่านี้เท่านั้น.. ..
แต่แล้วเวลานี้ เกาะน้อยๆแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นเหมือนริมฝั่งนั่นหรอกหรือไร การครอบครองยึดพื้นที่ของคนฝั่งเมือง รุกคืบผ่านน่านน้ำทะเลมาแล้วหรือ รุกคืบมาจนถึงเกาะเล็กๆแห่งนี้ แล้วจะลามลุกไปถึงเกาะไหนๆอีกกี่มากน้อย
การพูดคุยจบสิ้นลง แล้วทั้งสองคนทะเลก็พากันหลับใหลไปด้วยความล้า ท่ามกลางลมและพายุฝนที่มีทีท่าว่าจะไม่หยุดลงโดยง่ายเลยในค่ำคืนนี้..
อ่านต่อในครั้งหน้า
หุบเขาแสงจันทร์ / ตรีวิทย์ นฤดม
สำนักพิมพ์บ้านทะเลล้อม 2008