อ้อมกอดนิรันดร์
คณะนักโบราณคดีอิตาเลียนคณะหนึ่งนำทีมโดย "เอเลนา มาเรีย เมน็อตติ (Elena Maria Menotti)" จากสถาบันโบราณคดีแห่งลอมบาร์เดียได้ขุดค้นหมู่บ้านวาลดาโร (Valdaro) ใกล้เมืองแมนโทวา (Mantova) ทางเหนือของอิตาลีตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม 2006 ตั้งใจจะหาซากวิลลาโรมันสมัยศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์กาล จนถึงศตวรรษที่ 6 ที่วาสดาโรนี้ ขุดไปขุดมาจนเดือนกุมภาพันธ์ 2007 พวกเขาก็พบเข้ากับสุสานสมัยหินใหม่
(5,000 - 4,000 ปีก่อนคริสต์กาล เป็นยุคที่คนเริ่มรู้จักใช้เครื่องมือหินอย่างง่าย เริ่มอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านและเริ่มรู้จักการเพาะปลูก) ซึ่งมีหลุมฝังศพ 7 หลุม 6 หลุ่มแรกมีโครงกระดูกหลุมละโครง แต่ในหลุมที่ 7 อันเป็นที่มาของเรื่องนี้มีโครงกระดูก 2 ร่างถูกฝังเคียงกันในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน แขนและขาก่ายเกี่ยวกันราวกับจะอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันชั่วนิจนิรันดร์ นักโบราณคดีให้ชื่อโครงกระดูกทั้งสองนี้ว่า "คู่รักแห่งวาลดาโร"
เรื่องราวการค้นพบโครงกระดูกคู่ในท่านกอดกันนี้สะดุดใจผู้คนจนโด่งดังเป็นข่าวไปทั่วโลก แม้ในบ้านเราก็ยังปรากฏข่าวนี้ทางทีวีและในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย การทดสอบในขั้นต้นยืนยันว่าทั้งสองร่างนี้เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง อายุไม่มากไปกว่า 20 ปี เพราะฟันยังยู่ครบและไม่สึกกร่อน ทั้งสองสูงไล่เลี่ยกัน คือประมาณ 5 ฟุต 2 นิ้ว
การขุนค้นและศึกษากระดูกที่ถูกฝังอยู่เช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและเสียเวลามาก เพราะหากจะศึกษาแบบเจาะลึกก็จะต้องแซะเอาโครงกระดูกไปแยกศึกษาทีละชิ้น ๆ แต่การกระทำเช่นนั้นนอกจากจะยากเย็น ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ขุดและลงบันทึกก่อนจะนำกระดูกขึ้นมาทำให้ "คู่รักแห่งวาลดาโร" ต้องนอนโล่งโจ้งอยู่ตรงนั้นอีกเ็นนาน เสี่ยงต่อการถูกหัวขโมยมาลอบขุดกระดูกไปขายเป็นของที่ระลึก และยังเป็นการทำลายท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ของโครงกระดูกคู่นี้ด้วย ในที่สุดเมน็อตติก็ตกลงใจจะไม่พรากโครงกระดูกทั้งสองออกจากกัน แต่จะเคลื่อนย้ายและอนุรักษ์โครงกระดูกทั้งสองอย่างมิให้กระทบกระเทือน โดยแซะดินโดยรอบออกเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยกแท่งดินทั้งแท่งที่มีโครงกระดูกทั้งสองอยู่นั้นบรรจุหีบห่ออย่างดีนำไปยังห้องปฏิบัติการทางโบราณคดีที่เมืองโคโม (Como)
ลักษณะท่าทางของโครงกระดูกทั้งสองนั้น ในการตรวจสอบขั้นต้นไม่พบร่องรอยความรุนแรงที่อาจบ่งชี้ถึงการฆ่าเพื่อสังเวยในพิธีกรรมศพหรือพิธีกรรมทางศาสนา ศพหญิงที่ถูกฝังรวมกับชายมักจะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นภรรยาหรือนางทาสที่ถูกสังหารให้พลีชีพตายตามไปรับใช้ฝ่ายชายต่อในปรโลกอย่างมิยอมให้เลิกรา เช่นเดียวกับพิธีสตีของชาวฮินดูที่แม่ม่ายสามีตายต้องกระโดดเข้ากองไฟตายตามสามีไปจึงจะถือว่าเป็นหญิงดี ซึ่งในบริเวณแคว้นทัศคานีของอิตาลีใกล้ ๆ กันนั้น นักโบราณคดีเคยพบกรณีทำนองนี้ที่ "สุสานแม่ม่าย (Widow's Tomb)" ซึ่งขุดพบที่รินัลตัน ใกล้เมืองวิเทอร์โบ ที่นั่นเป็นสุสานโบราณในยุคทองแดง (4,000 ปี - 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล ถัดจากยุคหินใหม่เข้ามา) ในหลุมหนึ่งพบโครงกระดูกหญิงถูกฝังกับโครงกระดูกชาย ผู้ดูเหมือนจะเป็นนักรบหรือชนชั้นปกครองโดยที่กะโหลกศีรษะของหญิงผู้นั้นมีร่องรอยถูกทุบจนแตก อันทำให้สันนิษฐานได้ว่านางถูกสังหารให้ตายตามสามีหรือนายของนางไป
อย่างไรก็ตามในกรณีของ "คู่รักแห่งวาลดาโร" นี้ แม้ว่าโครงกระดูกฝ่ายหญิงไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายชัดเจนอย่างแม่ม่ายแห่งรินัลตัน แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียด ก็ปรากฏว่าที่ตำแหน่งใกล้กระดูกของฝ่ายชายมีหัวธนูหินฟลินท์อยู่อันหนึ่ง ในขณะที่ฝ่ายหญิงก็มีมีดหินฟลินท์เล่มหนึ่งอยู่ข้างสะโพกกับใบมีดอีก 2 ใบอยู่ใกล้ ๆ ตัว หัวธนูกับมีดเหล่านั้นอาจเป็นเครื่องประกอบพิธีศพที่ฝังรวมไปกับผู้ตาย หรืออาจเป็นพยานหลักฐานบ่งชี้ถึงความรุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้ ทำให้เมน็อตติไม่กล้าฟันธงลงไปว่า "คู่รักแห่งวาลดาโร" ตายด้วยสาเหตุใดแน่
เมื่อ "คู่รักแห่งวาลดาโร" ไปถึงห้องปฏิบัติการที่โคโม โครงกระดูกทั้งสองก็ถูกทดสอบและวิเคราะห์ด้วยวิธีต่าง ๆ หลากหลายวิธีที่ไม่ทำลายสภาพของโครงกระดูก มีทั้งการตรวจ DNA สแกนด้วยเอกซเรย์และเลเซอร์สามมิติเพื่อหาข้อมูลถึงความสัมพันะ์ระหว่างคนทั้งสอง รายละเอียดการตายรวมทั้งการดำรงชีวิตก่อนตาย
การขุดค้นที่วาลดาโรนั้นไม่พบร่องรอยถิ่นฐานบ้านช่องยุคหินใหม่ แต่สุสานที่พบในครั้งนี้กับสุสานอื่น ๆ ในยุคเดียวกันที่พบก่อนหน้าในบริเวณแถบนี้ก็พอจะให้เงื่อนงำแก่นักโบราณคดีได้ว่าในยุคโน้นผู้คนเขาอยู่กันอย่างไร ดินแดนแถบวาลดาโรในยุคหินใหม่นั้นนอกจากมีแม่น้ำหล่อเลี้ยง ก็ยังมีท้องน้ำลำธารเล็ก ๆ ไหลลัดเลาะอยู่หลายสาย ทำให้เป็นทอ้งถิ่นที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก ล่าสัตว์ ตกปลา ชุมชนที่นี่คงจะมีการพัฒนาพอสมควร น่าจะมีการเลี้ยงสัตว์ ทอผ้า และปั้นหม้อแล้ว
ในที่สุด นักโบราณคดีอาจไม่สามารถตอบได้ว่า แท้จริงแล้วโครงกระดูกคู่รักแห่งวาลดาโรเป็นคู่รักกันจริงหรือไม่ หรือตายด้วยสาเหตุใด แต่การค้นพบครั้งนี้ก็เป็นการค้นพบที่น่าทึ่งที่สุดของโบราณคดียุคหินใหม่ และสำหรับบรรดาช่างฝันแล้ว "คู่รักแห่งวาลดาโร" นี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักอมตะ เช่นเดียวกันกับความรักของโรมีโอกับจูเลียต ที่ก็เกิดขึ้นในทางเหนือประมาณ 25 ไมล์ และเมื่อเกิดเหตุที่โรมีโอพลั้งมือฆ่าคนในตระกูลคาปูเล็ตตาย เขาก็ถูกส่งตัวมาหลบอยู่ที่แมนโทวานี้จนได้ข่าวว่าจูเลียตตายนั่นแหละ โรมิโอจึงได้กลับไปเวโรนาอีกครั้ง
"คู่รักแห่งวาลดาโร" ถูกไปยังสถานที่แห่งใหม่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ณ แมนโทวา และเปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2011...(จบ)...✎
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1254747634578609&set=gm.1246118245466540&type=3&theater