สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนที่สมเด็จพระบรมชนกนาถจะเสด็จสวรรคตในอีกหนึ่งวันต่อมา
พระนาม เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ในพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่และยังโปรดให้ใช้คำนำหน้าพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ออกคำนำหน้าพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ และคำนำหน้าพระนามนี้ยังใช้จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
หลังจากเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวร พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระวัยและทรงสามารถแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้ กอปรกับพระองค์มีพระชนมายุสูงขึ้นจึงเสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารน้อยลง นอกจากนี้ พระองค์ทรงรับสถาบันและองค์กรต่างๆ ทั้งในส่วนที่สืบสานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และโดยส่วนพระองค์เองไว้ในพระอุปถัมภ์มากกว่า 30 แห่ง
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.37 นาฬิกา ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมายุ 85 พรรษา[1][2
ประสูติ
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เวลา 12 นาฬิกา 52 นาที ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โดยประสูติก่อนการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงวันเดียว นอกจากนี้ เมื่อนับพระญาติทางฝ่ายพระมารดานั้น พระองค์นับเป็นพระญาติชั้นที่ 3 ของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชา[3][4]
ก่อนการมีพระประสูติกาลนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สถาปนานางสาวสุวัทนา อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นเจ้าจอมสุวัทนา[5] และมีการสถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี มีพระอิสริยยศที่ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง ทั้งนี้เพื่อ "ผดุงพระราชอิศริยยศแห่งพระกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า"[6]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปีติโสมนัสอย่างพ้นประมาณ ทรงเฝ้ารอพระประสูติการของพระหน่อพระองค์แรกอย่างจดจ่อ ด้วยทรงคาดหวังว่าจะประสูติเป็นพระราชโอรส ซึ่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้มีพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ความว่า "เมื่อฉันตั้งครรภ์เจ้าฟ้า ล้นเกล้าฯ ก็ทรงโสมนัส ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นชาย ได้ราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์ เมื่อยังมีพระอนามัยดีอยู่ ก็มีรับสั่งอย่างสนิทเสน่หาทรงกะแผนการชื่นชมต่อพระเจ้าลูกยาเธอที่จะเกิดใหม่"[7] ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์บทกล่อมบรรทมสำหรับสมโภชเดือนพระราชกุมารประกอบทำนองปลาทองไว้ล่วงหน้าอีกด้วย [note 1]
แต่แล้วเมื่อใกล้มีพระประสูติกาล ความชื่นบานทั้งหลายกลับกลายเป็นความกังวล เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคพระอันตะ มีพระอาการรุนแรงขึ้นอย่างมิคาดฝัน ในยามนั้น พระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ซึ่งติดกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงรอฟังข่าวพระประสูติการอย่างใกล้ชิด จนกระทั่ง พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติการเจ้าฟ้าหญิงในวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นในเวลาบ่าย เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ” เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระราชดำรัสว่า “ก็ดีเหมือนกัน”[8] จนรุ่งขึ้นในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน เจ้าพระยารามราฆพ เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยไปเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งกำลังทรงพระประชวรหนักบนพระแท่น เมื่อทอดพระเนตรแล้ว ทรงพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา แต่ก็ทรงอ่อนพระกำลังมากจนไม่สามารถจะทรงยกพระหัตถ์ได้เนื่องจากขณะนั้นมีพระอาการประชวรอยู่ในขั้นวิกฤต เจ้าพระยารามราฆพจึงเชิญพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา เมื่อจะเชิญเสด็จพระราชกุมารีกลับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโบกพระหัตถ์แสดงพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรพระราชธิดาอีกครั้ง จึงเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาเฝ้าฯ เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนมชีพจนกลางดึกคืนนั้นเองก็เสด็จสวรรคต[8]
พระนม (แม่นม) ของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 คือ คุณบุปผา พนมวัน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นพระนมโดยตำแหน่ง เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6 เสวยพระกษิรธาราจากพระชนนี มีคณะพยาบาลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ถวายอภิบาลในเบื้องต้น จากนั้นจึงมีคณะพระอภิบาลจำนวน 12 คน ซึ่งเป็นอดีตคุณพนักงานในรัชกาลที่ 6 โดยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าอภิบาลจนทรงเจริญพระวัยพอสมควร
พระนาม
พระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2468[9] และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) โดยก่อนหน้านี้มีการสมโภชได้มีการคิดพระนามไว้ 3 พระนาม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชอรสา สิริโสภาพัณณวดี, สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนจุฬิน สิริโสภิณพัณณวดี และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี[10] ท้ายที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกพระนามสุดท้ายพระราชทาน[8]
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้เสด็จผ่านพิภพขึ้นสืบสนองพระองค์ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศเปลี่ยนคำนำพระนามสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ผู้เป็นพระขนิษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ[11]
จากนั้นในปี พ.ศ. 2489 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงคำนำพระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ที่ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ ดังเดิม เนื่องจากคำว่า "ภคินี" หมายถึง ลูกพี่ลูกน้องหญิง[12] เนื่องจากสังคมไทยจะพิจารณาจากความเป็น "ลูกผู้พี่" และ "ลูกผู้น้อง"[13] จึงทรงพระนามตามพระฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ดังปรากฏในปัจจุบันว่า ส่วนพระนามในภาษาอังกฤษตามทางราชการใช้ว่า "Her Royal Highness Princess Bejaratana"[14]
เมื่อทรงพระเยาว์
หลังจากประสูติแล้วไม่นาน สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงย้ายไปประทับ ณ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงว่าสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ จะไม่มีสถานที่ทรงวิ่งเล่นเพราะในพระบรมมหาราชวังมีบริเวณคับแคบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายออกมาประทับ ณ พระตำหนักสวนหงษ์ พระราชวังดุสิต ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า[15] ซึ่งเป็นที่กว้างขวางร่มรื่นแวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เหมาะแก่การสำราญพระอิริยาบถของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ
ขณะสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ดูแลทั้งด้านพระอนามัยและความเป็นอยู่มาโดยตลอด ด้วยเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่นั้น ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าว่า “ขอฝากลูกด้วย” ต่อมา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้ายังได้มีพระราชกระแสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เจ้าฟ้านี่ ฉันตายก็นอนตาไม่หลับ พระมงกุฎฝากฝังเอาไว้”[8]
ระหว่างทรงพระเยาว์ มีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และกบฏบวรเดช ทำให้ต้องทรงย้ายที่ประทับอยู่ตลอดเวลา เช่น ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง, พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต, ตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา, พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในสวนสุนันทา และพระตำหนักเขียว วังสระปทุม
จนกระทั่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดให้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นเป็นส่วนพระองค์บนที่ดินหัวมุมถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัยซึ่งเป็นที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่คราวอภิเษกสมรส[15] ตำหนักแห่งนี้พระราชทานนามว่า พระตำหนักสวนรื่นฤดี มีนายหมิว อภัยวงศ์เป็นสถาปนิก และพลโท พระยาศัลวิธานนิเทศ (แอบ รักตะประจิต) เป็นวิศวกร (ต่อมาได้ทรงขายให้แก่ทางราชการขณะเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ และปัจจุบันเป็นส่วนราชการของกองทัพบก)
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ทรงพระอักษรเบื้องต้นโดยพระอาจารย์จากโรงเรียนราชินี เช่น หม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล, หม่อมเจ้าหญิงเสมอภาค โสณกุล และครูพิศ ภูมิรัตน เป็นต้น จากนั้น ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชินี เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2476[16] (หมายเลขประจำพระองค์ 1847) โดยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทั้งอาจารย์และผู้ปกครอง พระองค์มีพระสหายสนิทในขณะนั้นคือ หม่อมราชวงศ์กอบศรี เกษมสันต์, โรสลิน เศวตศิลา และงามเฉิด อนิรุทธเทวา[16]
ต่อมาพระองค์ได้ลาออกจากโรงเรียนราชินีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2478 ขณะทรงพระอักษรในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4[16] เพื่อทรงพระอักษรต่อ ณ สวนรื่นฤดี โดยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงจ้างมิสซิสเดวีส์ อดีตครูโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยมาถวายพระอักษรวิชาภาษาอังกฤษและวิชาการคำนวณ[16] ยังได้นำเด็ก ๆ ชาวต่างชาติมาร่วมกิจกรรมสนทนาภาษาอังกฤษ ว่ายน้ำและดื่มน้ำชาร่วมกับพระองค์เพื่อให้ทรงคุ้นเคยกับชาวต่างชาติและฝึกการรับสั่งภาษาอังกฤษด้วย[16] นอกจากนั้นยังได้ทรงศึกษากับพระอาจารย์ไทยเป็นการส่วนพระองค์ที่พระตำหนัก โดยมีหม่อมเจ้าหญิงเสมอภาค โสณกุล ถวายพระอักษรวิชาวรรณคดีไทยและพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ โดยมีการถวายพระอักษรตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเคร่งครัด[16]
ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ
ต่อมาใน พ.ศ. 2480 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระชนนีทรงเห็นว่าพระพลานมัยของพระธิดาไม่สู้สมบูรณ์นักจึงนำพระธิดาไปทรงพระอักษรและประทับรักษาพระอนามัย ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จไปประทับอยู่ก่อนการสละราชสมบัติแล้ว[17] พระองค์ทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งตามลำดับ กล่าวคือ ตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์, ตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และตำหนักไดก์โรด (บ้านรื่นฤดี) เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค[17] ทั้งสองพระองค์ต้องประสบความยากลำบากนานัปการอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในช่วงภาวะสงครามจึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ[17] โดยผู้ที่รับใช้ภายในพระตำหนักจะเป็นสตรีทั้งหมด[17]
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ทรงศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส และเปียโนกับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ ครั้นในช่วงเสด็จลี้ภัยสงครามโลกครั้งที่สอง ปี พ.ศ. 2473 พระองค์เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนประจำสตรีชื่อโรงเรียนเซเครดฮาร์ต แคว้นเวลส์[16] ส่วนพระมารดาทางสถานทูตได้จัดให้ทรงพำนักในโรงแรมอิมพีเรียลในเมืองแลนดัดโน (อังกฤษ: Landudno) ทั้งนี้ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่พระองค์ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์และพระชนนีมีพระกรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยโปรดให้เข้าเฝ้าและจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสมอ[17] และพระราชทานพระกรุณาแก่กิจการต่างๆ ของชาวไทยอยู่เสมอ ทรงร่วมงานของสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักรเป็นประจำ นอกจากนี้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ยังทรงอุทิศพระองค์ช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ประทานแก่ทหารและผู้ประสบภัยสงครามด้วยการเสด็จไปทรงบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ม้วนผ้าพันแผล จัดยา และเวชภัณฑ์ สภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา[17] และในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระชนมชีพหลังการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระชนนีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ
นิวัตประเทศไทย
เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเมื่อปี พ.ศ. 2500 ทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างวังในซอยสุขุมวิท 38 (ซอยสันติสุข) โดยมีพลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นสถาปนิก แล้วเสด็จไปประเทศอังกฤษอีกในปี พ.ศ. 2501 เพื่อทรงเตรียมพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร จากนั้นจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2502 ประทับ ณ วังแห่งใหม่ จึงได้ขนานนามวังดังกล่าวว่า วังรื่นฤดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2503[17] ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสุขุมวิท 38 กรุงเทพมหานคร และพระองค์ได้ประทับอยู่ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์[18] ส่วนในช่วงฤดูร้อนพระองค์จะเสด็จแปรที่ประทับไปยังตำหนักพัชราลัย ถนนเพชรเกษม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พระชนนีสิ้นพระชนม์
หลังการสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เมื่อ พ.ศ. 2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีผลัดเปลี่ยนกันอัญเชิญดอกไม้และผลไม้ และสังเกตพระอนามัยของพระองค์เป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ มีการจัดตำรวจคอยอารักขาตลอดเวลา และโปรดฯให้ห้องเครื่องสวนจิตรลดาจัดเครื่องเสวยมาทุกวัน[19] นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลขาธิการพระราชวังจัดกรมวัง และสารถีมาปฏิบัติหน้าที่ประจำทั้งภายในวังที่ประทับ และจัดเจ้าหน้าที่มาตกแต่งสถานที่ และปฏิบัติในเวลาที่มีงานพิเศษ เช่น งานวันคล้ายวันประสูติ และการทรงบำเพ็ญพระกุศลอย่างสมพระเกียรติยศทุกประการ[19] ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเองก็โปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงนราวดี ชัยเฉนียน มาเฝ้าและคอยติดตามพระอนามัย และใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเช่น คลุมพระบรรทมและปลอกพระเขนยที่สวยงาม รวมไปถึงการจัดดอกไม้ที่พระองค์โปรดมาไว้ที่ห้องพระบรรทม เพื่อให้ทรงชื่นพระทัย[19]
สิ้นพระชนม์
ดูบทความหลักที่: การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเมื่อ วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาพระอาการอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 16.37 นาฬิกา รวมพระชันษา 85 ปี[1][20]
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี มีพระราชพิธีถวายสรงน้ำพระศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระโกศ ประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้เบญจปฎลเศวตฉัตร(เศวตฉัตร 5 ชั้น) ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง[21]
ต่อมาใน วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ โดยให้เจ้าพนักงานจัดสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น) กางกั้นพระโกศทองใหญ่ทรงพระศพ [22]
นอกจากนี้ สำนักนายกรัฐมนตรียังได้มีประกาศให้สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา กับทั้งให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ ทั้งนี้มีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป (ยกเว้นวันที่ 12 สิงหาคม เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) [23] [24]ซึ่งพระราชพิธีพระศพจะจัดให้สมพระเกียรติเช่นเดียวกับพระราชพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555[25][26]
ส่วนพระสรีรางคารนั้นถูกแบ่งเป็นสองส่วน[27] ส่วนแรกได้อัญเชิญไปบรรจุในเสาวภาประดิษฐาน สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เมื่อวันที่ 12 เมษายนปีเดียวกันนั้น[28]
ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงบรรจุพระสรีรางคารส่วนที่สอง ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม[27] โดยได้บรรจุพระสรีรางคารของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเคียงข้างพระราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ และพระอังคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระชนนี[29]
ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ข้าราชบริพารนำโดย พลโท ม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ได้เชิญพระสรีรางคารส่วนสุดท้ายที่จำเริญจากเตาเผาพระศพก่อนการรื้อพระเมรุไปลอยกลางทะเลอ่าวไทย บริเวณ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
อนึ่ง สัปตปฎลเศวตฉัตรสุมพระอัฐิได้ เชิญไปถวายพระพุทธรูปปางประสูติ ในวิหารพระร่วงโรจนฤทธิ์
พระจริยวัตร
ในส่วนพระจริยวัตรส่วนพระองค์นั้น ทรงแสดงความกตัญญูต่อพระบุพการี เช่น ทรงตั้งพระกระยาหารสังเวยแก่พระบรมอัฐิของพระชนกพระชนนี ทั้งเวลาเช้าและกลางวัน ครั้นเมื่อค่ำแล้วก็ทรงสวดมนต์ถวายพระราชกุศล และถวายพระราชสักการะด้วยดอกไม้ธูปเทียน ซึ่งทรงปฏิบัติมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์[30] พระองค์ได้รับการปลูกฝังจากพระชนนีให้มีความกตัญญูต่อพระชนกจากพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ดังความตอนหนึ่งที่พระองค์เคยตรัสไว้กับคุณหญิงศรีนาถ สุริยะ ขณะเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ความว่า "ฟ้าหญิงรักทูลกระหม่อมก๊ะมาก ชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นลูกทูลกระหม่อมก๊ะ ขอนับถือพระพุทธศาสนา และขอให้ได้เกิดเป็นคนไทย"[30] และเมื่อพระชนนีสิ้นพระชนม์ก็ตรัสกับข้าราชบริพารว่า "ฟ้าหญิงอยากมีอายุสัก 100 ปี จะได้อยู่ทำบุญให้แม่ก๊ะ ฟ้าหญิงทำให้แม่ก๊ะลำบากเพราะฟ้าหญิงมามาก"[ต้องการอ้างอิง]
พระองค์ทรงศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้เคยเสด็จไปทรงศึกษาธรรมะกับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก[19] นอกจากนี้ยังมีพระอุปนิสัยทรงเคร่งครัดในการตรงต่อเวลา ทรงปฏิบัติพระกิจวัตรประจำวันเป็นเวลาและไม่ทรงปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ทรงประหยัดอดออมและโปรดความเรียบง่าย[19] ทั้งยังทรงนิยมและภาคภูมิพระทัยในความเป็นไทย โปรดเครื่องใช้รวมถึงฉลองพระองค์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น ชุดผ้าไหม, ฉลองพระบาท, กระเป๋า และพระสุคนธ์ซึ่งโปรดน้ำอบเป็นพิเศษ[30]
ส่วนการใช้ภาษาไทยนั้น ก็เป็นที่ทราบกันในหมู่ข้าราชบริพารว่าไม่โปรดให้ผู้ใดกราบทูลภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ มีรับสั่งด้วยวาจาอันสุภาพอ่อนโยน [31] และโดยส่วนพระองค์เองก็มีรับสั่งภาษาไทยถูกต้องชัดเจนเสมอ เช่น ทีวี ให้กราบทูลว่า โทรทัศน์, แอร์ ให้กราบทูลว่า เครื่องปรับอากาศ และล็อกประตู ให้กราบทูลว่า ลงกลอนประตู เป็นต้น[30] พระองค์จะมีรับสั่งภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสกับชาวต่างประเทศเท่านั้น[19]
สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ทรงมีพระจริยาวัตรที่บริสุทธิ์สะอาด ทรงได้รับการอบรมจากพระชนนี ไม่ทรงรู้จักคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียว ถ้าจะทรงบริภาษผู้ใดอย่างรุนแรงจะรับสั่งว่า ซีด เท่านั้น แต่ส่วนมากเมื่อทรงกริ้วก็จะทรงสามารถระงับพระพิโรธไว้ได้ โดยคติธรรมที่อยู่ในพระทัยเสมอก็คือ โทสะก็เหมือนไฟในตะเกียง ถ้าแรงนักก็ค่อยๆ หรี่ลง แล้วโทสะจะดับหายไปเอง[ต้องการอ้างอิง]
พระองค์ทรงใช้จ่ายทรัพย์ส่วนพระองค์อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ไม่โปรดให้ผู้ใดเปิดไฟไว้ล่วงหน้า และเมื่อเสด็จออกก็ปิดไฟด้วยพระองค์เอง[30] เมื่อครั้งที่พระองค์ยังมีสุขภาพเอื้ออำนวย ได้มีการบันทึกรายรับรายจ่ายส่วนพระองค์ไว้อย่างรอบคอบ[30]
พระองค์โปรดการถักนิตติ้งมากที่สุด เมื่อครั้งที่ยังมีพระพลานามัยเอื้ออำนวย พระองค์ทรงถักไหมพรมพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และผ้าพันคอพระราชทานแก่ทหารและตำรวจที่ประจำการแถบภาคเหนือที่ต้องรักษาการท่ามกลางความหนาวเย็น[31]พระองค์โปรดการเล่นเปียโน สามารถเล่นเพลงที่สดับนั้นได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวโน้ต[31] โปรดการจัดดอกไม้และการจัดสวน ตั้งแต่ประทับในอังกฤษ[31] และยังทรงมีอัจฉริยภาพในเรื่องความทรงจำและการคำนวณที่แม่นยำ เวลามีผู้เข้าเฝ้าจะรับสั่งถามถึงวันเดือนปีเกิดแล้วจะทรงบอกได้ว่า ตรงกับวันอะไร แต่เมื่อมีพระชันษาสูงได้มีผู้เข้าเฝ้าถามถึงการจำชื่อและวันเดือนปีเกิดที่เคยโปรดได้ไหม พระองค์จึงรับสั่งว่า "สมองฟ้าหญิงแก่แล้ว ทำ (คิดเลข) ไม่ได้แล้ว"[31] แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงใฝ่รู้อยู่เสมอ มีรับสั่งกับคุณหญิงศรีนาถ สุริยะ พระอาจารย์ที่เข้าเฝ้าประจำว่า "ฟ้าหญิงอยากเรียนหนังสือ" คุณหญิงศรีนาถจึงถวายบทเรียนง่าย ๆ แก่พระองค์[31]
พระกรณียกิจโดยสังเขป
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ มีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจ ดังปรากฏในพระดำรัสที่พระราชทานในงานฉลองพระชนมายุ 61 พรรษา เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ณ วชิราวุธวิทยาลัย ความตอนหนึ่งว่า
— [32]ฉันขอกล่าวต่อท่านทั้งปวงว่า จะพยายามบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยความจงรักภักดีต่อบ้านเกิดและต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระประมุขของชาติ ทั้งจะได้รักษาเกียรติศักดิ์แห่งความเป็นราชนารีในมหาจักรีบรมราชวงศ์ไว้ชั่วชีวิต
นับแต่พระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรใน พ.ศ. 2502 พระกรณียกิจก็ได้เพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ได้ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทั้งในการเสด็จแทนพระองค์ไปในพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีต่างๆ โดยเฉพาะในด้านสังคมสงเคราะห์พระองค์เสด็จออกเยี่ยมราษฎรตามหัวเมืองทั้งใกล้ไกล พร้อมพระราชทานพระอนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้อยู่เสมอ ครั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระวัยขึ้นกระทั่งทรงสามารถแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้ ประกอบกับพระองค์มีพระชนมายุสูงขึ้น จึงได้เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารน้อยลง[30][33] เมื่อพระองค์มีพระชันษาสูงขึ้น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เข้าเฝ้าและได้ปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เนืองๆ[19]
การพุทธศาสนา
เป็นพระกรณียกิจแบบฉบับเฉพาะพระองค์ที่ทรงปฏิบัติตลอดพระชนมชีพ เล่ากันว่าในเทศกาลทอดกฐิน นอกจากจะทรงเป็นผู้แทนพระองค์เชิญพระกฐินหลวงไปถวายตามพระอารามหลวงแล้วปีละ 2 วัด โดยส่วนมากจะเสด็จวัดพระปฐมเจดีย์ ในส่วนพระองค์ทรงเลือกวัดราษฎร์ที่ยากจนและอยู่หัวเมืองไกลๆ อีก 3 วัด เพื่อเสด็จไปทอดกฐิน เล่ากันถึงวิธีการเลือกวัดดังกล่าวไว้ว่า จะโปรดให้คนในวังไปสำรวจหาวัดที่มีคุณสมบัติดังที่ทรงประสงค์ และเก็บข้อมูลมาเล่าถวายว่าสมควรจะได้รับพระอุปการะอย่างไร ด้านไหน ก็จะทรงช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการและยังประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังที่มหาดเล็กในวังเล่าไว้ว่า “โปรดที่จะเสด็จไปทำบุญกับวัดที่ยากจน หรือไม่ก็ไม่มีใครเหลียวแลจริงๆ”[ต้องการอ้างอิง]
ด้านการศึกษา
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ทรงรับสถาบันและองค์กรต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์เป็นจำนวนกว่า 30 แห่ง ทั้งในส่วนที่สืบสานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระอัยยิกาในพระองค์ และโดยส่วนพระองค์เอง ในด้านการศึกษานั้น พระองค์ทรงอุปการะกิจการของสถาบันการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา โรงเรียนห้องสอนศึกษา [34] นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงอุปการะกิจการของสถาบันการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และได้ทรงตั้ง “ทุนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ” เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนและนักศึกษาของสถาบันการศึกษาอันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้แก่ โรงเรียนราชินี โรงเรียนราชินีบนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา โรงเรียนราชินีบูรณะ โรงเรียนวิเชียรมาตุ โรงเรียนสภาราชินี โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ โรงเรียนศรียานุสรณ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย[34] ในส่วนพระองค์นั้น พระองค์ทรงให้การอุปการะกิจการของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร โรงเรียนเพชรรัตนราชสุดา และสถานศึกษาไว้ในพระอุปถัมภ์หลายแห่ง เช่น โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย สถาบันสันติราษฎร์บริหารธุรกิจโรงเรียนเพชรรัชต์ โรงเรียนสายน้ำผึ้ง โรงเรียนสยามธุรกิจและพณิชยการ โรงเรียนศรีอยุธยา โรงเรียนกองทัพอุปถัมภ์ เพชราวุธวิทยา [34][35]
ด้านการสาธารณสุข
ในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข พระองค์ทรงตั้งกองทุนและมูลนิธิในโรงพยาบาลต่างๆ เช่น ทุนเพชรรัตนการุญ ในศิริราชมูลนิธิ โรงพยาบาลศิริราช มูลนิธิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร[34] นอกจากนี้ทรงรับมูลนิธิวชิรพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สำนักงานอาสากาชาด สภากาชาดไทย และมูลนิธิดุลยภาพบำบัดเพื่ออายุและสุขภาพไว้ในพระอุปถัมภ์[35] และทรงให้การอุปการะกิจการของโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย[34]
ด้านงานอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมชนกนาถ
พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งหอวชิราวุธานุสรณ์ ในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพื่อรวบรวมข้อมูลพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ตลอดจนบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและจัดตั้งมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยเหลือกิจการของหอวชิราวุธานุสรณ์[36][34]
ด้านการลูกเสือ เนตรนารี
พระองค์ทรงสืบสานพระราชกรณียกิจต่างๆ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกหลายกิจการ เช่น กิจการลูกเสือ-เนตรนารี พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งอุปถัมภิกา คณะลูกเสือแห่งชาติ และทรงรับองค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับลูกเสือและเนตรนารีไว้ในอุปถัมภ์หลายแห่ง ได้แก่ คณะลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือเพชรรัชต์ สโมสรเนตรนารีเพชรรัชต์ สมาคมสโมสรลูกเสือวิสามัญแห่งประเทศไทย และสโมสรลูกเสือวิสามัญกรุงเทพฯ[34][35] ด้วยพระกรุณาที่พระองค์ทรงมีต่อกิจการลูกเสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษแก่พระองค์เมื่อ พ.ศ. 2533 [37]
งานด้านสตรี
นอกจากนี้ ทรงรับองค์กรสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน ได้แก่ สมาคมสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดนแห่งประเทศไทย สหพันธ์สมาคมสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดนแห่งประเทศไทย และสมาคมสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน กรุงเทพมหานคร ไว้ในพระอุปถัมภ์ โดยองค์กรสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดนเหล่านี้จัดตั้งขึ้นเนื่องจากได้ตระหนักถึงพระราชดำริของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะให้สตรีไทยได้มีส่วนรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเป็นสมาชิกแม่เสือควบคู่กับเสือป่า[34]
ด้านศิลปวัฒนธรรม
นอกจากนี้ ยังทรงเป็นผู้นำในการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันได้แก่ พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี และ พระราชวังพญาไท ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า[38]โดยพระองค์ทรงรับเป็นประธานในคณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม จนกระทั่งการบูรณะเสร็จสมบูรณ์ และมีการน้อมเกล้าถวายพื้นที่คืนให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาค้นคว้า รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ[39] ในส่วนของพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี นั้น พระองค์ทรงจัดตั้งมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเพื่อนำเงินที่ได้รับบริจาคของผู้มีจิตศรัทธามาบูรณะพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและทรงรับมูลนิธิไว้ในพระอุปถัมภ์[40] นอกจากนี้ พระองค์ทรงรับมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไทไว้ในพระอุปถัมภ์ด้วย[41]
ด้านสังคมสงเคราะห์
ส่วนกิจกรรมสังคมสังเคราะห์ พระองค์ทรงบุกเบิกกิจกรรมสังคมสงเคราะห์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2500 โดยจัดขึ้นที่วังรื่นฤดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดงานหารายได้เพื่อการกุศลสงเคราะห์ต่างๆ เมื่อวังสร้างเสร็จได้สองปี ก็มีงานการกุศลงานแรกคืองานเมตตาบันเทิง รื่นฤดี ซึ่งมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาทรงเป็นประธาน เพื่อหารายได้สมทบทุนสมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ต่อมายังมีอีกหลายงาน เช่น งานหาทุนสร้างหอพักเพชรรัตน ในมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, งานหาทุนสร้างตึกอุบัติเหตุ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, งานหาทุนสร้างตึกเรียนวิทยาศาสตร์ วชิราวุธวิทยาลัย เป็นต้น[42] นอกจากนี้ พระองค์ทรงรับเป็นนายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา ที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระมารดาในพระองค์นั้น ทรงจัดตั้งขึ้นเพื่อการกุศล เช่น สงเคราะห์ผู้สละชีวิตเพื่อป้องกันประเทศชาติ มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษา ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บำรุงโรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ และองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ [34]
พระอัจฉริยภาพ
พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านเปียโน โดยทรงเรียนเปียโนกับพระอาจารย์ชาวต่างชาติที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงจ้างมาสอน ตั้งแต่เมื่อคราวที่ทรงประทับ ณ พระตำหนักสวนรื่นฤดี จนเมื่อทรงเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ จนทรงสามารถบรรเลงเปียโนได้อย่างคล่องแคล่ว แม้จะทรงทอดพระเนตรโน้ตเพลงเพียงครั้งเดียว หรือทรงสดับเพลงนั้นเพียงครั้งเดียว ซึ่งพระอัจฉริยภาพนี้คล้ายคลึงกับพระบรมชนกนาถยิ่งนัก[43]
พระอัจฉริยภาพด้านภาษา
สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ทรงพระอักษรภาษาอังกฤษจากครูที่พระนางเจ้าสุวัทนาฯ พระชนนีทรงจ้างมาสอน ตั้งแต่ทรงประทับ ณ สวนรื่นฤดี จนทรงสามารถมีรับสั่งกับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่ว และพระองค์ยังทรงสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้อย่างดี แต่มิทรงโปรดที่จะทรงภาษาต่างประเทศกับภาษาไทยอย่างเด็ดขาด ห้ามมิให้คนไทย ข้าราชบริพารพูดภาษาต่างประเทศปนภาษาไทย และไม่ทรงโปรดให้กราบทูลภาษาต่างประเทศโดยจะต้องสรรหาคำภาษาไทยมากราบทูลให้จงได้โดยจะทรงใช้คำที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติไว้ เช่น แบงก์ กราบทูลว่า ธนบัตร,ล็อกประตู กราบทูลว่า ลงกลอนประตู,เน็ตคลุมผม กราบทูลว่า ร่างแหคลุมผม หรือหากไม่มีก็จตะทรงบัญญิติขึ้นเอง เช่น ฟาร์มจระเข้ กราบทูลว่า ที่เลี้ยงจระเข้ หากผู้ใดกราบทูลปะปนกันก็จะทรงตรัสว่าเราเป็นคนไทย ต้องใช้ภาษาไทยนะจ๊ะ[44]
พระอัจฉริยภาพด้านกีฬา
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงมีพลังแห่งการสร้างสรรค์ เมื่อทรงพระเยาว์ทรงสนพระทัยและทรงเล่นกีฬาหลายประเภท อาทิ ขี่จักรยาน โคร์เกต ฯลฯ ตั้งแต่ทรงประทับที่สวนดุสิต และ วังสระปทุม ต่อมาเมื่อทรงเสด็จไปประทับ ณ สหราชอาณาจักร ก็ทรงโปรดที่จะทรงกอล์ฟ หรือจะทรงพระดำเนินเป็นระยะทางไกล แม้จะทรงเสด็จกลับมานิวัติประเทศไทยก็ทรงพระดำเนินรอบพระตำหนักวันละ 6 รอบ หรือ ถ้าประทับ ณ ตำหนักพัชราลัน หัวหินก็จะทรงพระดำเนินไปกลับตามชายหาดเป็นระยะทางร่วม 4 กิโลเมตร และจะทรงแกว่งพระกรทุกเช้าวันละ 200 ครั้ง[45]
พระอัจฉริยภาพด้านการคำนวณและความจำ
สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านการคำนวณโดยทรงสามารถคำนวณเลขได้เพียงไม่กี่วินาที ทั้งยังทรงสามารถคำนวณปฏิทินร้อยปีได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ หรือแม้ผู้ที่มาเฝ้าเคยมาเฝ้านานแล้วเป็นสิบปีก็ทรงจำได้อย่างแม่นยำ ตามที่ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ได้เล่าไว้ว่า คราวหนึ่งเมื่อเสด็จหัวเมือง ดิฉันทูลท่านว่าทรงจำชายคนนี้ได้ไหม ทรงตอบว่าชื่ออะไร ทูลว่าพัฒนพงศ์ ทรงตอบว่าไม่รู้จัก เลยทูลว่าเมื่อก่อนชื่อจุ้นเค็ง ทรงตรัสกับชายคนนั้นว่ายินดีด้วยวันนี้เป็นวันเกิดครบ 50 ปีของจุ้นเค็ง[46]
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ สร้างด้วยเงิน สร้างเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เนื่องในวันประสูติมีพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา โดยได้ประกอบพิธี ณ.มณฑลพิธีวังรื่นฤดี พระพุทธรูปประจำพระชนมวารองค์นี้จะเชิญออกมาประดิษฐานในพระพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์ เช่น งานบำเพ็ญพระกุศลวันประสูติ งานพระศพ ฯลฯ แต่เดิมถ้ามีงานพระพิธีบำเพ็ญพระกุศลในวังรื่นฤดีก็จะอัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีออกมาประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชา ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ยังประดิษฐาน ณ.ห้องพระวังรื่นฤดี เช่นเดิม แม้พระอัฐิจะเชิญมาประดิษฐาน ณ.พระวิมานพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วก็ตาม[47]
พระอิสริยยศและพระเกียรติยศ
ธรรมเนียมพระยศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ
พระอิสริยยศ
- สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (30 ธันวาคม พ.ศ. 2468 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478)
- สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
สถาปนาพระอิสริยยศ
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงมีสกุลยศชั้นเจ้าฟ้า ดังนั้น จึงได้รับพระราชทานเบญจปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 5 ชั้น) กางกั้นพระโกศ เพื่อเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ต่อมา ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2555 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศว่า โดยที่ทรงพระอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมพุทธศักราช 2554 ว่าเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้เป็นสมเด็จพระปิตุลาธิราช และเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นที่เคารพนับถือในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานเป็นลำดับมา บัดนี้ ถึงวาระที่จะได้พระราชทานเพลิงพระศพเป็นอวสานแห่งการพระราชกุศล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีขึ้น ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอพระองค์นั้น ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เชิดชูแห่งพระราชวงศ์ อีกทั้งทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนนานัปการ ควรได้รับพระเกียรติยศใหญ่ขึ้น โดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดสัปตปฎลเศวตฉัตรกางกั้นพระโกศ พระราชทานเป็นเครื่องเพิ่มเติมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป[48]
เครื่องอิสริยยศราชูปโภค
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชูปโภคสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้า ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีรายการดังต่อไปนี้[49]
- พานพระศรี (พานใส่หมากพลู) ทองคำลงยา เครื่องพร้อม
- พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก) ทองคำลงยา
- หีบพระศรีทองคำลงยา พร้อมพานรอง
- พระคนโททองคำลงยา พร้อมพานรอง
- พานเครื่องพระสำอาง พร้อมพระสางวงเดือนกับพระสางเสนียดสอดในซองเยียรบับ และพระกรัณฑ์ทองคำลงยาสำหรับบรรจุเครื่องพระสำอาง
- ราวพระภูษาซับพระพักตร์ทองคำลงยารูปพญานาค 2 ตน ขนดหางพันเกลียวเป็นเสาราว ผินเศียรไปทางซ้ายและขวาเป็นราวพาด 2 กิ่ง พร้อมซับพระพักตร์จีบริ้วพาดบนราว 2 องค์
- พระฉายกรอบทองคำลงยาทำเป็นรูปพญานาคขนดพันกันโดยรอบบานพระฉาย ด้านบนเป็นรูปพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเรียงลำดับตามปีที่ได้รับพระราชทาน ดังนี้
- พ.ศ. 2468 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ฝ่ายใน (ร.ว.) [50]
- พ.ศ. 2468 : เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1)[50]
- พ.ศ. 2469 : เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)[51]
- พ.ศ. 2500 : เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ฝ่ายใน (ม.จ.ก.)[52]
- พ.ศ. 2501 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า ฝ่ายใน (ป.จ.) [53]
- พ.ศ. 2510 : เหรียญกาชาดสรรเสริญ
- พ.ศ. 2510 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) [54]
- พ.ศ. 2529 : เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 (ภ.ป.ร.1)[55]
- พ.ศ. 2533 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ[56]
- พ.ศ. 2535 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[57]
- พ.ศ. 2538 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)[58]
พระยศทางทหาร
- พันโทหญิง (พ.ศ. 2512)
- ผู้บังคับการพิเศษ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 จังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ. 2512)
- พันเอกหญิง, นาวาเอกหญิง และ นาวาอากาศเอกหญิง (พ.ศ. 2533)
- นายทหารพิเศษประจำกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์
- นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (พ.ศ. 2533)
- นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ (พ.ศ. 2533)
- ราชองครักษ์พิเศษ กรมราชองครักษ์ (พ.ศ. 2533)
- นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (พ.ศ. 2533)
- นายทหารพิเศษประจำกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (พ.ศ. 2552) [59]
- พลเอกหญิง (พ.ศ. 2552) [60]
- พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง (พ.ศ. 2553) [61]
- นายทหารพิเศษประจำ ฝูงบิน 602 รักษาพระองค์ กองบิน 6 (พ.ศ. 2553)
ปริญญากิตติมศักดิ์
- คหกรรมศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนาการครอบครัวและเด็ก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2534[62][63]
- ศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สายอุตสาหกรรมบริการ โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี พ.ศ. 2540[62][63]
- ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2541[62][63]
- ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2550[63]
- ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2551[64][63]
รางวัล
- รางวัลมหิดลวรานุสรณ์ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2547[63][65]
การเทิดพระเกียรติ
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออกพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุ 5 รอบ 60 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีการบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุ 5 รอบ 60 พรรษา ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 โดยทรงเสด็จกลับจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีการบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุ 5 รอบและพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ โดยในช่วงเช้าสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ทรงเสด็จพระดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระกุศลถวายพระศพพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระชนนี ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา
ในปี พ.ศ. 2548 เป็นอภิลิขิตสมัย 2 วาระมาบรรจบกัน คือ วาระที่ 1 อภิลิขิตสมัยที่ครบรอบพระประสูติกาลพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระชนนีครบ 100 ปี และ วาระที่ 2 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ มีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ทางกองทัพบก โดยกรมแพทย์ทหารบก โรงพยาบาลพระมงกุฎ และหน่วยงานในสังกัดร่วมกับชมรมคนรักวัง ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดาฯ ได้ร่วมกันจัดงาน เพชรรัตน-สุวัทนา สองราชนารีในรัชกาลที่ 6 ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม จนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน ที่วังพญาไท โดยจะเป็นงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่โดยมีการแสดงดนตรีวงโยธวาทิตและวงปี่สก๊อต การแปรขบวนด้วยธงเสือป่า ของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยที่รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งขึ้น และการแสดงละครจากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง"พระร่วง"
นอกจากนี้จะมีการแสดงเพลงโหมโรง เพชรรัตน์-สุวัทนา ซึ่งแต่งโดย อ.ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า มือเดี่ยวระนาดเอกแห่งยุค ซึ่งแต่งให้มีความหมายว่าอันเป็นที่รักและสวัสดิ์มงคลควรค่า"ราชนารี" จึงใช้ชื่อโหมโรงเพชรัตน-สุวัทนา โดยการแสดงจะใช้ระนาดมากที่สุดถึง 81 รางซึ่งไม่เคยมีการละเล่นเช่นนี้มาก่อน โดยใช้คนตีระนาด 1 คนต่อ 2 ราง ส่วนอ.ณรงค์ฤทธิ์เล่นนำวง 1 ราง การเล่นระนาดแบบนี้จะให้ความสนุกสนานไพเราะ รวมทั้งท่วงทำนองที่เร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
พระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา
โดยใช้ชื่อการจัดงานเป็นภาษาไทยว่า "งานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" สำหรับชื่องานภาษาอังกฤษ คือ "The Celebrations of the 84th Birthday Anniversary of Her Royal Highness Princess Bejaratana" นอกจากนี้ยังมีการจัดพระราชพิธี รัฐพิธี และกิจกรรม ดังนี้
- จัดงานพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
- จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 285 รูป ถวายเป็นพระกุศล โดยในกรุงเทพมหานครจัด ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สำหรับจังหวัดอื่นๆ นั้น ขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำบุญตักบาตรตามความเหมาะสมต่อไป
- กิจกรรมการบริจาคโลหิตถวายเป็นพระกุศล
- จัดทำสารคดีพระประวัติ พระกรณียกิจ และพระเกียรติคุณ เผยแพร่ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
- จัดทำหนังสือเรื่อง "ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า" ฉบับพ็อคเก็ตบุ๊ค
- จัดทำหนังสือจดหมายเหตุการจัดงานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้า ภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
- กรมธนารักษ์จัดทำเหรียญที่ระลึก
- บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดทำดวงตราไปรษณียากรที่ระลึก
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ออกแบบภาพวัว เพื่อจัดทำเสื้อจำหน่ายให้แก่มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
- มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จัดทำนาฬิกาที่ระลึกจำหน่าย
หนังสือ
หนังสือดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า
เป็นหนังสือเฉลิมพระเกียรติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและเรียบเรียงโดยคุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร สำนักนายกรัฐมนตรีให้จัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา จำนวน 711 หน้า โดยผู้เรียบเรียงได้มอบลิขสิทธิ์ให้แก่มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา
เหรียญกษาปณ์
กรมธนารักษ์ออกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดังต่อไปนี้
- เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 มีลักษณะดังนี้[66]
- ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี"
- ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ "พ.ร." ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี และมีพระวชิระ ดอกบัว และดารารัศมีประดับอยู่โดยรอบ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘" เบื้องล่างมีข้อความบอกราคาและ "ประเทศไทย" ตามลำดับ
- เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีลักษณะดังนี้[67]
- ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี"
- ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ "พ.ร." ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี ล้อมด้วยลายไทยประดิษฐ์ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "พระชนมายุ ๘๔ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒" เบื้องล่างมีข้อความว่า "ประเทศไทย" โดยมีจุดกลมคั่นระหว่างข้อความเบื้องบนกับเบื้องล่าง
- เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555 มีลักษณะดังนี้
- ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี"
- ด้านหลัง กลางเหรียญเป็นรูปพระเมรุมาจัดวาง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ หลังรูปพระเมรุมีรูปแสงพระอาทิตย์แผ่รัศมีผ่าน ปุยเมฆ สื่อความหมายว่าแสงสุดท้ายและเป็นการน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
ตราไปรษณียากร
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดออกตราไปรษณียากรที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดังต่อไปนี้
- ตราไปรษณียากรที่ระลึก 80 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา - เป็นพระรูปทรงฉลองพระองค์ชุดไทยสีเทาเข้ม ประดับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ที่พระอังสาเบื้องขวาประดับเข็มกลัดเพชรอักษรพระบรมนามาภิไธย ร.ร.6 ในรัชกาลที่ 6 ฉากพื้นเป็นสีชมพูซึ่งเป็นสีวันประสูติ-วันอังคาร (วันแรกจำหน่าย: 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548) [68]
- ตราไปรษณียากรที่ระลึก 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา -เป็นพระรูปทรงฉลองพระองค์ชุดไทยสีน้ำเงินเข้ม ประดับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 อักษรบอกราคา 3 บาทเป็นสีชมพูซึ่งเป็นสีวันประสูติ-วันอังคาร (วันแรกจำหน่าย: 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) [69]
บทเพลง
- เพลงดวงแก้วจากฟ้า — โดยธีรนัยน์ ณ หนองคาย และคณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู, ไกวัล กุลวัฒโนทัย (ทำนอง), ไกวัล กุลวัฒโนทัย และชัชพล ไชยพร (เนื้อร้อง)
- เพลงเพชรแห่งพระมงกุฎเกล้า — โดยสุนทราภรณ์ [70]
- โหมโรงเพชรรัตน-สุวัทนา — โดยณรงค์ โตสง่า
- เพลงพระหน่อนาถ — โดยธีรนัยน์ ณ หนองคาย และทฤษฎี ณ พัทลุง (ทำนอง) อัญเชิญเนื้อร้องมาจากบทกล่อมพระบรรทมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ประกอบลำปลาทอง[71]
- เพลงพสุธากันแสง บทร้อง ชาลี อินทรวิจิตร[72]
- เพลงใบไม้ร่วง บทร้อง เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ [73]
- เพลงเพชร บทร้อง วัฒนะ บุญจับ [74]
พันธุ์ไม้
- กล้วยไม้สิงโตเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ เป็นกล้วยไม้คู่ผสมใหม่ของโลก ผสมโดยนายภวพล ศุภนันทนานนท์ ได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้เชิญพระนามมาตั้งเป็นนามกล้วยไม้สิงโตคู่ผสมใหม่ว่า สิงโตเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ ขึ้นทะเบียนกับสมาคมพืชสวนอังกฤษเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ในชื่อ Bulbophyllum "Princess Bejaratana"[75]
สถานที่
- สถานศึกษา
- โรงเรียนเพชรรัตนราชสุดา จังหวัดสระแก้ว
- ตึกเพชรรัตน วชิราวุธวิทยาลัย
- อาคารเพชรรัตน มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์
- อาคารเพชรรัตน์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
- อาคารเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
- อาคารเพชรรัตน์-สุวัทนา มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม
- อาคารเพชรรัตน-สุวัทนา โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี
- อาคารเพชรรัตน-สุวัทนา โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
- อาคารเพชรรัตนราชสุดา โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
- อาคารเพชรรัตนราชสุดา โรงเรียนเพาะปัญญา จังหวัดตรัง
- อาคารสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
- อาคารสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามธุรกิจ
- โรงเรียนเพชรรัชต์
- อาคารเพชรรัตน, อาคารราชสุดา, อาคารสิริโสภา, และอาคารพัณณวดี โรงเรียนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร
- ห้องระบบสืบค้นข้อมูล เพชรรัตน[76] คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ห้องสมุดเพชรรัตนราชสุดา[77] วิทยาลัยอาชีวศึกษาสันติราษฎร์
- ห้องสมุดเพชรรัตน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- ห้องบรรยายธีรราชธิดา อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- หอพักเพชรรัตน์ 1-7 มหาวิทยาลัยศิลปากร
- การสาธารณสุข
- ตึกมงกุฎ-เพชรรัตน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
- ตึกเทิดพระเกียรติเจ้าฟ้าเพชรรัตน โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี
- อาคารเพชรรัตน, อาคารราชสุดา, อาคารสิริโสภา, และอาคารพัณณวดี โรงเรียนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร
- การลูกเสือ-เนตรนารี
- สโมสรเนตรนารีเพชราวุธ จังหวัดสมุทรสาคร
- ค่ายลูกเสือเพชรรัชต์ จังหวัดสระบุรี** เรือนพยาบาลเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ [78] จังหวัดชลบุรี
- การศาสนา
- กุฏิสงฆ์เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
- วัง,พระตำหนัก
- ตึกสุวัทนา-เพชรรัตน พระตำหนักสวนรื่นฤดี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร
ทุน
- ทุนจุฬาเพชรรัตน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ทุนเพชรรัตน มหาวิทยาลัยศิลปากร
- ทุนเพชรรัตน สำนักงานบรรเทาทุกข์ สภากาชาดไทย
- ทุนเพชรรัตนการุญ ศิริราชมูลนิธิ
- ทุนเพชรรัตนการุณ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15
- ทุนเพชรรัตนอุปถัมภ์ โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
- ทุนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์
- ทุนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ สำนักงานอาสากาชาด สภากาชาดไทย
- ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ นิธิวัดราชบพิธ
- ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ
- กองทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม
- ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โรงเรียนราชินี
- ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โสสะมูลนิธิแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
แหล่งที่มา: http://google.co.th