การทำร้ายร่างกายมีโทษเพียงเสียค่าปรับ 500บาท??
ตามประมวลกฏหมายอาญานั้น ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย คือ การทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบของความผิดดังนี้
องค์ประกอบภายนอก
- ทำร้าย หมายถึง กระทำต่อร่างกายหรือจิตใจผู้อื่น อันเป็นการทำให้เสียหายเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ
- ผู้อื่น หมายถึง มิใช่ทำร้ายตนเอง และผู้ถูกทำร้ายยังมีสภาพบุคคลหรือยังมีชีวิตอยู่
- จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น หมายถึง เมื่อมีการทำร้ายเกิดขึ้นแล้ว การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ กล่าวคือ อันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจนั้นเป็นผลโดยตรงจากการทำร้าย อันตรายแก่จิตใจก็คือ ผลจากการทำร้ายนั้นทำให้ผู้เสียหายจิตใจผิดปกติ สติฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ จิตใจหวาดผวา หมดสติเป็นเวลานาน
องค์ประกอบภายใน
- เจตนา หมายถึง ผู้กระทำได้กระทำโดยประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลว่าการกระทำของตนจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น
ซึ่งในประมวลกฏหมายอาญานั้นได้วางหลักในชัดเจน
มาตรา 295 วางหลักว่า ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
แล้วเหตุใดกลุ่มคนเหล่านั้นจึงเข้าใจว่าการทำร้ายร่างกายมีโทษเพียงเสียค่าปรับ 500บาท?? ที่พวกเขาเข้าใจเช่นนั้นเป็นเพราะดังจะอธิบายต่อไปนี้
ในประมวลกฏหมายอาญายังมีอีกมาตราหนึ่งที่วางหลักเกี่ยวกับเรื่องการทำร้ายร่างกาย คือ มาตรา 391 ซึ่งองค์ประกอบของมาตรานั้นเหมือนมาตรา 295 เกือบทุกประการยกเว้นในส่วนที่ว่า มาตรา 391 นั้นคือ การทำร้ายแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งความผิดตามมาตรา 391 นี้จัดเป็นความผิดลหุโทษนั่นเอง
มาตรา 391 วางหลักว่า ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จะเห็นได้ว่าทั้งสองมาตรานี้วางหลักในเรื่องของการทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยกันทั้งคู่ ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อมาก็คือ แล้วทั้งสองมาตราต่างกันอย่างไร?
ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของทั้งสองมาตราก็คือ ผลของการกระทำที่จะเป็นความผิดกล่าวคือ มาตรา 295 จะต้องเป็นการทำร้ายให้ได้รับ “อันตรายแก่กายหรือจิตใจ” แต่มาตรา 391 การกระทำ "ไม่เป็นเหตุให้เป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ"นั่นเอง
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผลของการกระทำที่จะเป็นความผิดนั้น เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือไม่?
ในประเด็นนี้ เรามีวิธีพิจารณาง่ายๆดังจะอธิบายผ่านสถานการณ์สมมุติว่ากรณีดังต่อไปนี้เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือไม่?
- นาย ก. ต่อยหน้านาย ข.อย่างแรง เป็นแผลฟกช้ำ รักษา 3 วันหาย
- นาย ก. ต่อยหน้านาย ข.อย่างแรง ทำให้นาย ข.ตกใจสลบไป ชั่วครู่ก็ฟื้นหายเป็นปกติ
- นาย ก. ใช้มีดสปาต้าร์ แทง ข.เข้าที่น่องขา 1 ครั้ง เป็นแผลลึก 1เซนติเมตร มีโลหิตไหล
- นาย ก. ใช้ท่อเหล็กฟาดใส่ดั้งจมูกของ ข. ทำให้ภายในโพรงจมูกเกิดเป็นแผลเลือดกำเดาไหล
กรณีที่ นาย ก.มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือไม่เพียงใดมีดังนี้
- การที่ใบหน้านาย ข.เป็นแผลฟกช้ำ รักษา 3 วันหาย ยังไม่ถือว่าถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กาย นาย ก. จึงมีความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 391
- การที่นาย ข. ตกใจสลบไปเพียงชั่วครู่ ยังไม่ถึงขนาดถือว่าเป็นอันตรายแก่จิตใจ นาย ก. จึงมีความผิด ตามมาตรา 391
- บาดแผลที่นาย ข. ได้รับนั้นถือว่าถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายแล้ว นาย ก. จึงมีความผิดตามมาตรา 295
- การที่นาย ก. ฟาดนาย ข.จนเลือดกำเดาไหลนั้น ถือว่าถึงขนาดเป็นอันตรายแก่กายแล้ว นาย ก. จึงมีความผิดตามมาตรา 295 (ดั้งหักถือว่าเป็นอันตรายแก่กาย ถ้าแค่เลือดกำเดาไหล ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายแก่กาย เข้า 391)
กล่าวโดยสรุปเพื่อให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือ หากการทำร้ายนั้นส่งผลอันตรายหรือถึงขั้นมีบาดแผล เกิดรอยฉีดขาดและโลหิตไหล ถือว่าเป็นเหตุอันตรายแก่กายแล้วนั่นเอง