ประวัติของรองเท้าดังตอน 5 Nike
ไนกี้ (อังกฤษ: Nike) เป็นบริษัทผลิตเครื่องกีฬา อย่างรองเท้า อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย มีบริษัทแม่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดย บิลล์ บาวเวอร์แมน และ ฟิล ไนต์
ประวัติ[แก้] 1962 ไนต์ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลและพบว่ารองเท้ากีฬาจากประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดี และมีราคาถูกกว่าสินค้ากีฬาจากประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้นำตลาดในอเมริกาอยู่ขณะนั้น และหลังจากที่ไนต์เรียนจบด้าน MBA จึงได้ออกเดินทางไปทั่วโลก และไปที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเขาได้มีโอกาสพบกับ Onitsuka Tiger Company โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของญี่ปุ่น และชักชวนให้ Tiger ขยายตลาดเข้ามาในอเมริกา
ในปี 1948 บิลล์ บาวเวอร์แมนซึ่งเป็นโค้ชให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน มีผลงานอย่างในการแข่งขัน NCAA outdoor championships ในปี 1962, 1964, 1965 และ 1970 เขายังทำให้ทีมชาติอเมริกาสามารถพิชิตถึง 6 เหรียญทอง ในโอลิมปิก และฟิล ไนต์ได้รู้จักกับบาวเวอร์แมนในขณะที่เขาเป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่มีความเบาและทนทานสำหรับการแข่งขัน จนในปี
ไนต์ใช้ชื่อสินค้าว่า “Blue Ribbon Sports” หรือ BRS ซึ่งเป็นชื่อเดิมของไนกี้ และได้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับบาวเวอร์แมนที่ชื่อ BRS Inc.ขึ้น โดย ไนต์ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการเงินและการตลาด ส่วนบาวเวอร์แมน ดูแลทางด้านการพัฒนาออกแบบรองเท้ากีฬา
ต่อมาในปี 1970 บาวเวอร์แมนทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำหรับรองเท้ากีฬา ที่พื้นรองเท้าเป็นแบบที่เห็นในทุกวันนี้ ถัดมาในปี 1971 บาวเวอร์แมนจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ชื่อว่า Nike Inc. ในปีถัดมา BRS Inc. และ Onitsuka Tiger ได้แยกบริษัทออกจากกันอันเนื่องจากความขัดแย้งกันทางธุรกิจ ในปีนี้เองได้ออกแบรนด์ไนกี้เพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาในโอลิมปิก ต่อมาในปี 1981 BRS Inc. และ Nike Inc. ได้รวมบริษัทเข้าด้วยกัน
ในปี 1984 ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดังได้มาร่วมงานกับไนกี้ ซึ่งทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อ "Jordan" และในปี 1997 สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของ “M.J.” แตกไลน์ออกไปโดยใช้ชื่อ "12-Star products" (ในปีนั้นไมเคิล จอร์แดนได้รับเป็นผู้เล่น All-Star Game ถึง 12 ครั้ง) และไนกี้ยังประสบความสำเร็จกับแคมเปญ โฆษณาชุด “Just Do It” อีกด้วย
ปัจจุบัน Nike Inc. มีพนักงาน 23,000 คนทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือที่เมืองโอเรกอน ประเทศอเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์ กีฬาสำคัญที่ไนกี้ได้ให้การสนับสนุน คือ บาสเกตบอล เบสบอล อเมริกันฟุตบอล และเทนนิส ฯลฯ
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไนกี้ได้มีออกมาหลายรูปแบบอาทิเช่นอย่างรองเท้า อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
จากการได้สืบค้นขอมูลที่ตัวของผมจะทำคือผมจะทำเกี่ยวกับรองเท้าของไนกี้ โดยเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับรองเท้าและเจาะลึกลงไปที่ตัวรองเท้าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่ตัวโดยจะมีการบอกสรรพคุณของตัวรองเท้าโดยผู้ใช้โดยได้ต้นแบบมาจากหนังสือและจากทางอินเตอร์เนตโดยได้บอกข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ตัวของผู้ใช้โดยเป็นตัวนักฟุตบอลอาชีพจริงๆที่ใช้ตัวรองเท้าและบอกว่าชอบและสรรพคุณบอกความรู้สึกทุกอย่างอารมณ์ในการได้ส่วมใส่ โดยในข้อมูลที่นำมาใช้ได้มีการใช้รองเท้าไนกี้ของนักเตะที่เป็นนักเตะอาชีพจริงโดยในบทสัมภาษณ์ตัวนักเตะได้ใส่รองเท้าไนกี้ ทัมโป้ ที่เป็นหนังจิงโจ้ และก็ให้เจ้าตัวบอกว่าทำไมถึงชอบและในบทความที่ได้นำมาเป็นตัวอย่างก็เป็นการแนะนำรองเท้าหลายรุ่นของนกี้ในบทความก็ทำให้เห็นว่าจะเขียนออกมาในแนวบอกคณภาพของรองเท้าด้วยว่าเหมาะกับสนามแบบไหน ช่วยรักษาตัวเท้าของเรามากน้อยแค่ไหนอยู่ในการควบคุมบอลแบบไหน ช่วยให้วิ่งเร็วหรือไม่ ช่วยเพิ่มให้การยิงประตูการจ่ายบอลการเข้าทำเป็นอย่าง อย่างก็คงจะได้เห็นกันครับโปรดติดตามด้วยครับ
ต่อกันที่ประวัติความเป็นมาของ Air Max รวมไปถึงแรงบันดาลใจของ ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์ ผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้ ว่าแต่ละรุ่นมีที่มาที่ไปกันอย่างไร รับรองว่าข้อมูลละเอียดเอาไปโม้กับเพื่อนได้เลย
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไนกี้ได้มีออกมาหลายรูปแบบอาทิเช่นอย่างรองเท้า อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
จากการได้สืบค้นขอมูลที่ตัวของผมจะทำคือผมจะทำเกี่ยวกับรองเท้าของไนกี้ โดยเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับรองเท้าและเจาะลึกลงไปที่ตัวรองเท้าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่ตัวโดยจะมีการบอกสรรพคุณของตัวรองเท้าโดยผู้ใช้โดยได้ต้นแบบมาจากหนังสือและจากทางอินเตอร์เนตโดยได้บอกข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ตัวของผู้ใช้โดยเป็นตัวนักฟุตบอลอาชีพจริงๆที่ใช้ตัวรองเท้าและบอกว่าชอบและสรรพคุณบอกความรู้สึกทุกอย่างอารมณ์ในการได้ส่วมใส่ โดยในข้อมูลที่นำมาใช้ได้มีการใช้รองเท้าไนกี้ของนักเตะที่เป็นนักเตะอาชีพจริงโดยในบทสัมภาษณ์ตัวนักเตะได้ใส่รองเท้าไนกี้ ทัมโป้ ที่เป็นหนังจิงโจ้ และก็ให้เจ้าตัวบอกว่าทำไมถึงชอบและในบทความที่ได้นำมาเป็นตัวอย่างก็เป็นการแนะนำรองเท้าหลายรุ่นของนกี้ในบทความก็ทำให้เห็นว่าจะเขียนออกมาในแนวบอกคณภาพของรองเท้าด้วยว่าเหมาะกับสนามแบบไหน ช่วยรักษาตัวเท้าของเรามากน้อยแค่ไหนอยู่ในการควบคุมบอลแบบไหน ช่วยให้วิ่งเร็วหรือไม่ ช่วยเพิ่มให้การยิงประตูการจ่ายบอลการเข้าทำเป็นอย่าง อย่างก็คงจะได้เห็นกันครับโปรดติดตามด้วยครับ
AIR MAX 1
นวัตกรรมอาจไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้เสมอไป แต่เมื่อใดก็ตามที่นวัตกรรมสักอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ มันก็อาจสร้างแรงกระเพื่อมได้มากเกินกว่าจะวัดประเมินได้ ในปี 1987 ไนกี้ได้เปิดตัว ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 1 (Nike Air Max 1) รองเท้ารุ่นแรกที่อวดนวัตกรรมให้เห็นได้อย่างชัดเจน นวัตกรรมที่ว่าคือระบบรองรับแรงกระแทก ไนกี้แอร์ (Nike Air) ซึ่งได้กลายเป็นช่องทางใหม่ในเวลาอันรวดเร็วให้กับการแสดงออกถึงตัวตน สไตล์ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ประสิทธิภาพอันแท้จริง ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 1 ปรากฏตัวขึ้นในฐานะของผู้สั่นสะเทือนและพลิกโฉมหน้าวงการ และนับจากนั้นเป็นต้นมา โลกของรองเท้าก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์ คือหัวหน้าทีมนักออกแบบที่พาแอร์แม็กซ์ออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวา ในตอนนั้นไนกี้แอร์ไม่ใช่สิ่งใหม่ โดยกระเปาะอากาศแอร์-โซล (Air-Sole Unit) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรุ่น ไนกี้ แอร์ เทลวินด์ (Nike Air Tailwind) เมื่อช่วงปลายปี 1978 แต่ในครั้งนั้นนวัตกรรมนี้ยังถูกหุ้มอยู่ภายในวัสดุโฟม
อย่างไรก็ตาม แฮทฟิลด์ซึ่งเป็นสถาปนิกผู้มากด้วยชั้นเชิงในการพลิกผันสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ได้นำแรงบันดาลใจมาจากงานสถาปัตยกรรมสวนกระแสแห่งหนึ่งในปารีส เขาตัดองค์ที่เป็นโฟมรอบๆ พื้นรองเท้าออกไปเพื่อเผยให้เห็นกระเปาะอากาศแอร์-โซลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เปลือยขอบให้เห็นอย่างกล้าได้กล้าเสียว่ามีแอร์-โซลอยู่ในนั้นจริง
“ผมไปปารีสเพื่อเที่ยวชมบ้านเมือง แต่ก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปงปีดูว์ (Pompidou Center) ด้วย” แฮทฟิลด์เล่า “มันเป็นอาคารที่เอาสิ่งที่โดยปกติจะซ่อนอยู่ข้างในกลับออกมาไว้ด้านนอก โดยผิวอาคารที่เป็นกระจกกลับไปซ่อนอยู่ข้างใน พอกลับมาโอเรกอนผมได้เข้าประชุมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่กำลังออกแบบกระเปาะอากาศแอร์-โซลในขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แล้วผมก็เชื่อมโยงความคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีเราน่าจะเปลือยให้เห็นเทคโนโลยีแอร์-โซลดูบ้างและสร้างสรรค์รองเท้าสักรุ่นที่ไม่มีใครเหมือน”
ในตอนนั้นหลายคนมองว่านี่เป็นไอเดียที่หลุดโลกเกินไป แต่แฮทฟิลด์และทีมงานก็ยังเดินหน้าผลักดันต่อ และเพื่อทำให้รองเท้ารุ่นใหม่ยิ่งโดดเด่นท่ามกลางรองเท้าวิ่งรุ่นอื่นๆ ในยุคนั้น พร้อมกับตอกย้ำเนื้อความสื่อสารเรื่องการมองเห็นได้ (Visibility) ไนกี้ แอร์แม็กซ์ รุ่นแรกจึงมาในสีสันที่เด่นชัดสะดุดตา
รองเท้าตระกูล แอร์แม็กซ์ มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอด 28 ปีที่ผ่านมาผ่านการปรับโฉมได้อย่างติดตาติดใจนับร้อยรุ่น ทว่าการดำรงอยู่ของแต่ละรุ่นล้วนมีผลพวงบางส่วนมาจากความสุดยอดของ ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 1 ด้วยกันทั้งสิ้น
AIR MAX 90
ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 90 (Nike Air Max 90) เต็มไปด้วยสง่าราศี แม้ในขณะที่ยืนอยู่นิ่งๆ รองเท้ารุ่นนี้ก็ยังดูเป็นชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซที่กำลังโลดแล่น
แอร์แม็กซ์ 90 เปิดตัวในปี 1990 และหากถือว่ารุ่นแรกคือรุ่นปี 1987 นี่ก็คือรองเท้ารุ่นที่ 4 จากตระกูลแอร์แม็กซ์ โดยรองเท้ามีองค์ประกอบของ ไนกี้แอร์ ที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติที่นิยามรองเท้ารุ่นนี้คือความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อนไหล แฮทฟิลด์ตระหนักดีว่าเค้าโครงของมันจะสัมผัสพื้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิ่ง การออกแบบจึงมุ่งกระตุ้นความรู้สึกของการเคลื่อนไหวไปข้างหน้า
นอกจากนี้ แอร์แม็กซ์ 90 ยังผสานแผ่นพลาสติกลายเซาะร่องพร้อมแนวรูร้อยเชือกเพิ่มพิเศษเพื่อสร้างความกระชับอย่างสมบูรณ์แบบ องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างคือสีสัน โดยเฉดสีแดงเจิดจ้าของรองเท้า ซึ่งต่อมาเป็นที่เรียกขานกันว่า “อินฟราเรด” (Infrared) ช่วยเน้นความโดดเด่นให้กับ Air-Sole เป็นเฉดสีที่ยากเกินจะรอดพ้นสายตา และยังคงเป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกความเป็น แอร์แม็กซ์ 90 เช่นเดียวกับรูปทรงของรองเท้า
แอร์แม็กซ์ 90 ได้รับความนิยมตั้งแต่เริ่มเปิดตัวและเป็นสัญลักษณ์แห่งทศวรรษใหม่อีกด้วย ในปีต่อๆ มานักออกแบบของไนกี้ได้ปรับเปลี่ยนเค้าโครงใหม่ แต่มันก็ยังคงรองเท้าซึ่งเป็นที่ต้องการและเป็นรุ่นที่ขาดไม่ได้อยู่ตลอดไป
AIR MAX 180
ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 180 ถือกำเนิดขึ้นจากความคิดอ่านร่วมกันของแฮทฟิลด์กับนักออกแบบซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ แอร์ฟอร์ซ 1 (Air Force 1) คือ บรู๊ซ คิลกอร์ บุคคลผู้เป็นตำนานทั้งสองมุ่งสู่เป้าหมายที่จะทำให้สามารถเห็น Air-Sole ของแม็กซ์แอร์ (Max Air) ได้ทั้งที่พื้นรองเท้าชั้นกลางและชั้นนอก ซึ่งช่วยเน้นคุณสมบัติของรองเท้าในการรองรับแรงกระแทก 180 องศา
หน้ารองเท้ามีปลอกด้านในแบบ Stretch Dynamic ใหม่ที่ยืดหยุ่นตามการขยับตัวของเท้า ในขณะที่ส้นรองเท้ามีเบ้าขอบขึ้นรูปเพื่อพยุงส้นเท้า ลายเซาะร่องพื้นที่ปลายเท้าถือเป็นช่วงต้นๆ ของการทดลองเพื่อมอบการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ
Air-Sole ของรองเท้ารุ่นนี้กลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว และเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ไนกี้เปิดตัว แอร์แม็กซ์ 1 ด้วยภายนตร์โฆษณาได้อย่างติดตา การเปิดตัวของ แอร์แม็กซ์ 180 ได้แรงหนุนจากภาพยนตร์โฆษณาที่ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นโดยนักเขียนการ์ตูนฝีมือระดับตำนาน ยอดฝีมือด้านเอฟเฟ็คท์พิเศษ และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง
AIR MAX 93
สำหรับ ไนกี้ แอร็แม็กซ์ 93 (Nike Air Max 93) พลังขับเคลื่อนอยู่ที่การทำให้มองเห็นองค์ประกอบข้างในได้ แล้วคุณจะทำอย่างไรให้ผู้ที่คุณเคยเซอร์ไพรส์มาครั้งแล้วครั้งเล่าได้รู้สึกตื่นตะลึงอีก? หัวใจของมันอยู่ตรงกระเปาะที่ส้นรองเท้ามาโดยตลอด แล้วทำไมไม่ทำสุดขีดไปเลยล่ะ? ผลงานสร้างสรรค์ชิ้นล่าสุดของแฮทฟิลด์เป็นการต่อยอดลายเซาะร่องเพื่อความยืดหยุ่น (Flex Groove) ของ แอร์แม็กซ์ 90 และยังใช้ปลอกเท้าด้านในแบบ Dynamic-Fit ที่ทำจากยางนีโอพรีนเพื่อประคองเท้าและข้อเท้าอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่เกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ได้ คือ Air-Sole ที่มองเห็นได้ 270 องศา ได้แรงบันดาลใจมาจากเหยือกนมพลาสติก โดยเป็นการเป่าขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง มันได้สร้างมาตรฐานใหม่ของระบบรองรับแรงกระแทกขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ และยังได้กลายเป็นรากฐานสำคัญให้กับการออกแบบ Air-Sole ที่ปลายเท้าอีกด้วย
AIR MAX 95
ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 95 (Nike Air Max 95) ไม่ได้เป็นแค่รองเท้า แต่มันคือรองเท้าตระกูลแอร์แม็กซ์ที่มีความแตกต่างอย่างแท้จริง
รองเท้าไนกี้แอร์แม็กซ์ 95 ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 1995 นั้นเป็นรองเท้ารุ่นแรกในตระกูลแอร์แม็กซ์ที่โชว์นวัตกรรมไนกี้แอร์บริเวณฝ่าเท้า ซึ่งนวัตกรรมใหม่ล่าสุดช่วยสำหรับในการรองรับแรงการกระแทกจากการวิ่งโดยใช้ชิ้นส่วนไนกี้แอร์ถึง 2 ชิ้นเพื่อให้นักวิ่งรู้สึกถึงความสบายกว่าเดิม นอกจากนี้ รองเท้าแอร์แม็กซ์ 95 ยังเป็นรองเท้ารุ่นแรกในตระกูลแอร์แม็กซ์ที่ใช้บริเวณกลางส้นรองเท้าเป็นสีดำ ซึ่งแตกต่างไปจากลักษณะของรองเท้าวิ่งปกติ
การใช้ชิ้นส่วนไนกี้แอร์ถึง 2 ชิ้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่สำคัญของการสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นนี้จากร่างกายของมนุษย์ ส่วนบริเวณกลางส้นรองเท้าซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางของงานออกแบบนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากกระดูกสันหลัง ด้านข้างรองเท้าที่ผลิตจากไนล่อนเปรียบเสมือนซี่โครง ในขณะที่ช่วงบนของรองเท้าและหน้ารองเท้าเปรียบเสมือนผิวหนังและกล้ามเนื้อ
การไล่สีหน้ารองเท้าที่เป็นสีมืดนั้นเป็นความตั้งใจของไนกี้ที่จะให้รองเท้าดูไม่สกปรกแม้วิ่งบนเส้นทางแบบใดก็ตาม รายละเอียดอื่นๆเช่นการวางตำแหน่งตราสัญลักษณ์ของไนกี้ ตัวพิมพ์แบบใหม่ และการใส่สีในชิ้นส่วน Air-Sole จากภายในตัวชิ้นส่วนถือเป็นไฮไลท์ที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีความน่าจดจำเฉกเช่นรองเท้าแอร์แม็กซ์ 1 และแอร์แม็กซ์ 90
แอร์แม็กซ์ 95 ถือเป็นโฉมหน้าใหม่ของการออกแบบและเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ลอนดอน หรือโตเกียว มีผู้คนจำนวนมากอยากสวมใส่นวัตกรรมแห่งอนาคต และรองเท้ารุ่นนี้ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คนได้จนถึงปัจจุบัน
AIR MAX 97
ด้วยชิ้นส่วน Max Air 97 ที่ยาวตลอดตัวรองเท้า แอร์แม็กซ์ 97 จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของไนกี้ รองเท้ารุ่นนี้จำเป็นต้องมีหน้ารองเท้าที่สอดรับกับนวัตกรรมที่โดดเด่นนี้ เมื่อแรกผลิต รองเท้ารุ่นนี้มีสีเงินและได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถไฟความเร็วสูงในกรุงโตเกียว ชิ้นส่วนที่เป็นเงาทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีลักษณะราวกับเปล่งประกายได้ด้วยตัวเอง รองเท้ารุ่นนี้ยังถือเป็นรองเท้ารุ่นคลาสสิกที่สะท้อนถึงยุคแม็กซิมัลลิซึ่ม ยุคที่การแต่งเติมรายละเอียดมากๆไม่ว่าในเรื่องภาพยนตร์ ดนตรี หรือสไตล์ ซึ่งทำให้รองเท้าคู่นี้ถือเป็นดีไซน์คลาสสิกรุ่นหนึ่ง
AIR MAX 2003
หน้ารองเท้าที่เรียบง่ายและคุณสมบัติการรองรับแรงกระแทกที่ดียิ่งกว่าเดิมคือจุดเด่นของไนกี้แอร์แม็กซ์รุ่นปี 2003 สำหรับรองเท้ารุ่นนี้ได้ยืมชิ้นส่วน Air Sole แบบเดียวกับรองเท้าแอร์แม็กซ์ 97 แต่ได้รับการปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีการหล่อขึ้นรูป การประกอบ และคุณสมบัติใหม่ที่ช่วยให้ตัวเท้ามีระยะห่างจากพื้นน้อยลงเพื่อการเคลื่อนไหวที่ดียิ่งขึ้น สำหรับรองเท้ารุ่นนี้ มีการเลือกนำเสนอสีของรองเท้าที่ดูเรียบง่ายขึ้นแทนที่จะใช้สีสันที่สะดุดตาเหมือนรองเท้ารุ่นก่อนหน้าในตระกูลแอร์แม็กซ์
หน้ารองเท้าของรองเท้ารุ่นนี้ผลิตจากวัสดุพิเศษของเทจิน (Teijin) แบบเดียวกับที่ใช้ผลิตปุ่มสตั๊ดและปุ่มของรองเท้ากรีฑาและฟุตบอล วัสดุนี้ช่วยให้รองเท้ามีน้ำหนักเบากว่าเดิม มีรูปลักษณ์ที่ดูพรีเมี่ยมแต่แฝงไปด้วยความดุดัน และให้ความรู้สึกนุ่มสบายตั้งแต่ใส่ครั้งแรก
AIR MAX 360
แอร์แม็กซ์ 360 เป็นรองเท้าที่ได้รับการรังสรรค์ให้ผู้สวมใส่รู้สึกราวกับเดินอยู่บนอากาศจากรองเท้าแอร์แม็กซ์คู่แรกเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน รองเท้ารุ่นนี้ใช้ชิ้นส่วน Max Air ที่มีสมดุลดียิ่งขึ้น มีการลดจำนวนโฟมที่ใช้คั่นกลางระหว่างเท้ากับชิ้นส่วน Air-Sole และมีการใช้เทคนิคการขึ้นรูปด้วยความร้อนเป็นครั้งแรกเพื่อการสร้างชิ้นส่วนซัพพอร์ทแบบ 360 องศา
รองเท้ารุ่นนี้ใช้สีเดียวกับรองเท้าแอร์แม็กซ์ 1 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์ในรองเท้ารุ่นนี้ พร้อมกับการใช้เทคนิคการทำลวดลายบนหน้ารองเท้าที่ใช้เลเซอร์เพื่อให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับรองเท้าแอร์แม็กซ์ 95 แต่รองเท้ารุ่นนี้มีรุ่นที่ผลิตเป็นจำนวนจำกัดซึ่งใช้หน้าผ้าแบบต่างๆของรองเท้าแอร์แม็กซ์หลากหลายรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ด้วย
AIR MAX 2015
แอร์แม็กซ์ 2015 เป็นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ไปและฉีกกฏเกณฑ์รองเท้าพร้อมๆกัน รองเท้าวิ่งรุ่นล่าสุดในตระกูลแอร์แม็กซ์นี้มีหน้ารองเท้าที่สอดรับกับชิ้นส่วน Max Air รุ่นปี 2013 ที่มีความยืดหยุ่นสูงและให้ความรู้สึกนุ่มขณะสวมใส่กว่าเดิม นอกจากนี้ รองเท้ารุ่นนี้ยังเป็นรองเท้ารุ่นแรกในตระกูลแอร์แม็กซ์ที่มีหน้ารองเท้าแบบสังเคราะห์ที่น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี และเกือบจะไร้ฝีเข็มโดยสิ้นเชิง หน้ารองเท้านี้จะทำงานร่วมกับนวัตกรรมไนกี้ฟลายไวร์ (Flywire) เพื่อช่วยรองรับเท้า แนวคิดของการใช้โครงสร้างแบบท่อและพื้นรองเท้าที่ยืดหยุ่นได้ดีกว่าที่เคยช่วยให้นักวิ่งรู้สึกสบายขณะวิ่งกว่าเดิม การออกแบบตราสัญลักษณ์ของไนกี้แบบกลับด้านยังถือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของรองเท้าตระกูลแอร์แม็กซ์อีกด้วย
Air Max Zero
ย้อนกลับไป 29 ที่แล้ว จากจุดเริ่มต้นที่ของ ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์ นักออกแบบรองเท้าระดับตำนานของ ไนกี้ เล่าให้ฟังถึงภาพร่างของอากาศที่มองเห็นได้ (Visible Air) ชิ้นแรกๆ ของเขา ณ ตอนนั้นไนกี้แอร์ได้เปิดตัวไปแล้วและประสบความสำเร็จอย่างสูงในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการวิ่ง แต่แฮทฟิลด์คิดว่าแค่นั้นยังไม่พอ เรื่องของอากาศที่อยู่ใต้เท้าน่าจะต้องมีการขยายความให้เกรียวกราวยิ่งขึ้นอีก ตอนนั้นไนกี้กำลังพัฒนา Air-Sole เหล่านี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก และคิดว่าน่าจะต้องให้ใครๆ ได้เห็นมันและเข้าใจว่ามันคืออะไร ซึ่งที่นั่นเขาเยี่ยมชมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมปงปีดูว์ (Centre Pompidou) และเกิดแรงบันดาลใจจากการออกแบบตัวอาคารที่โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยการตลบเอาสิ่งที่ควรอยู่ข้างในออกมาไว้ข้างนอก เมื่อกลับถึงโอเรกอนเขาเริ่มลงมือออกแบบ และนำแนวคิดอากาศที่มองเห็นได้ ออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตในร่างของรองเท้าวิ่ง ที่ปฏิวัติวงการนี่คือเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่รับรู้ แต่เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้มีอยู่แค่นั้น การออกแบบ ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 1 ไม่ได้เสร็จสิ้นในคราวเดียว ที่จริงแล้วมันเป็นผลจากภาพร่างหลากหลายแบบ โดยหนึ่งในแบบแรกๆ ที่สุดก็คือแนวคิดของ แอร์แม็กซ์ ซีโร่ ซึ่งในการร่างแบบนี้แฮทฟิลด์ยังไม่ทราบในทีแรกว่าเขากำลังใช้แนวทางการออกแบบที่ทำให้ต้องรอ 29 ปีจึงจะทำให้เป็นจริงได้
ในเวลานี้ กรีม แม็คมิลแลน รับหน้าที่การออกแบบ Air Max Zero จึงเติมความก้าวล้ำด้วยการบรรจุนวัตกรรมล่าสุดของไนกี้เข้าไป โดยประกอบไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ พื้นรองเท้าชั้นนอก แอร์แม็กซ์ 1 อัลตร้า (Air Max 1 Ultra) ที่เพิ่งเปิดตัวในรองเท้ารุ่น แอร์แม็กซ์ 1 อัลตร้ามัวร์ (Air Max 1 Ultra Moire) ซึ่งมีโครงสร้างไฟลอน (Phylon), หน้ารองเท้าแบบเชื่อมติดกัน(Fused Upper) ที่ช่วยลดความหนาโดยที่ไม่สูญเสียคุณสมบัติในการประคองเท้า, และวัสดุตาข่ายซึ่งเป็นด้ายเส้นใยยาวชนิดเส้นเดี่ยว (Monofilament Yarn) ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างหัวรองเท้าพิเศษโดยที่ไม่สูญเสียคุณสมบัติในการระบายอากาศไป ทั้งหมดนี้ทำให้แนวคิดแรกเริ่มของแฮทฟิลด์เป็นจริง แนวคิดที่เกิดขึ้นก่อนจะมี Air Max 1
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตำนาน มีที่มา NIKE AIR MAX ก็เช่นกัน เราจึงขุดคุ้ยประวัติ ตั้งแต่รุ่นแรกมาจนถึงรุ่นปัจจุบันว่ามีที่มาอย่างไร
ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 29 ปี AIR MAX ไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตรองเท้าเลย และเราเชื่อว่าคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ อีก ใครเป็นสาวกแอร์แม็กซ์ก็ติดตามดูให้ดี แถมตอนนี้มีสายพันธ์ุใหม่ตระกูล AIR MAX HTM เกิดขึ้นมาอีก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรสามารถอ่านได้ที่ NIKE AIR MAX HTM คอลเลคชั่นใหม่ปี 2016 จบเรื่องสายพันธ์ุใหม่ไปแล้ว งั้นลองไปย้อนดูตั้งแต่รุ่นแรกกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร
AIR MAX 1 (1987)
ในปี 1987 ไนกี้ได้เปิดตัว ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 1 รองเท้ารุ่นแรกที่นำเอานวัตกรรม Air Sole Unit ซึ่งเป็นถุงบรรจุอากาศมาเปลือยให้เห็นจากภายนอกได้อย่างชัดเจน โดยรองเท้ารุ่นดังกล่าวถูกพัฒนาโดย “ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์” ปรมาจารย์ด้านการออกแบบของไนกี้ที่เขาได้รับแรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากรูปทรงที่ดูแปลกตาของอาคารศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปงปีดูว์ (Pompidou Center) ในมหานครปารีส อย่างไรก็ตามในตอนนั้นหลายคนมองว่าไอเดียการออกแบบรองเท้า Air Max 1 ดูหลุดโลกเกินไป แต่แฮทฟิลด์และทีมงานก็ยังเดินหน้าผลักดันต่อ ก่อนที่ Air Max 1 จะกลายเป็นหนึ่งในรองเท้าระดับตำนานของไนกี้ตลอดระยะเวลา 29 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่ารุ่นนี้ต้นกำเนิดของ AIR MAX เลยก็ว่าได้
AIR MAX 90 (1990)
รุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นรุ่นสานต่อตำนานของ AIR MAX แถมรุ่นนี้ยังได้รับความนิยมสูงสุดอีกด้วย คงเป็นเพราะดีไซน์ที่โดดเด่น โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ สีแดงของตัวรองเท้า หรือที่เรียกกันว่า “อินฟราเรด” (Infrared) ซึ่งเน้นความโดดเด่นให้กับถุงบรรจุอากาศ จึงทำให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้มีองค์ประกอบของ Air Sole Unit ที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติที่นิยามรองเท้ารุ่นนี้ คือความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความลื่นไหล จึงทำให้รุ่นนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
AIR MAX 180 (1991)
ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 180 ถือกำเนิดขึ้นจากความร่วมมือของแฮทฟิลด์กับ บรู๊ซ คิลกอร์ นักออกแบบผู้สร้างสรรค์รองเท้า แอร์ฟอร์ซ 1 (Air Force 1) โดยจุดเด่นของรองเท้ารุ่นนี้คือ พื้นรองเท้าชั้นกลางและชั้นนอกที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ 180 องศา และมีหน้ารองเท้าแบบ Stretch Dynamic เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นตามการขยับของเท้า
AIR MAX 93 (1993)
สำหรับ ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 93 คือ อีกผลงานการสร้างสรรค์ที่ถูกพัฒนาโดยแฮทฟิลด์ ซึ่งที่จุดเด่นของรองเท้ารุ่นนี้คือ ถุงบรรจุอากาศที่สามารถมองเห็นได้ 270 องศา ซึ่งมันได้ไอเดียมาจากหูหิ้วของเหยือกนมขวดพลาสติก โดยรองเท้ารุ่นนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของระบบรองรับแรงกระแทก และยังได้กลายเป็นรากฐานสำคัญให้กับการออกแบบถึงบรรจุอากาศที่ปลายเท้าอีกด้วย
AIR MAX 95 (1995)
ไนกี้ แอร์แม็กซ์ 95 ไม่ได้เป็นแค่รองเท้า แต่มันคือรองเท้าตระกูลแอร์แม็กซ์ที่มีความแตกต่างอย่างแท้จริง เนื่องจากมีการใช้ชิ้นส่วนไนกี้ แอร์ ถึง 2 ชิ้นเพื่อให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงความสบายกว่าเดิม และที่สำคัญการสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากลักษณะของร่างกายของมนุษย์ โดยที่บริเวณกลางส้นรองเท้าเปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง ด้านข้างรองเท้าที่ผลิตจากไนล่อนเปรียบเสมือนซี่โครง ในขณะที่ช่วงบนของรองเท้าและหน้ารองเท้าเปรียบเสมือนผิวหนังและกล้ามเนื้อ
AIR MAX 97 (1997)
แอร์แม็กซ์ 97 เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของไนกี้ ใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อให้ตัวรองเท้าดูหนาขึ้น โดยรองเท้ารุ่นนี้จะมีสีเงิน และได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถไฟความเร็วสูงในประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่แถบสะท้อนแสงทำให้ Air Max 97 มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและดูลงตัว
AIR MAX 2003 (2003)
สำหรับไนกี้ แอร์แม็กซ์ รุ่นปี 2003 มีความพิเศษคือ หน้ารองเท้าผลิตมาจากวัสดุพิเศษของเทจิน (Teijin) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ผลิตปุ่มสตั๊ดและปุ่มของรองเท้ากรีฑาและฟุตบอล วัสดุนี้ช่วยให้รองเท้ามีน้ำหนักเบากว่าเดิม มีรูปลักษณ์ที่ดูพรีเมี่ยมแต่แฝงไปด้วยความดุดัน และให้ความรู้สึกนุ่มสบายตั้งแต่ใส่ครั้งแรก
AIR MAX 360 (2006)
แอร์แม็กซ์ 360 เป็นรองเท้าที่ได้รับการรังสรรค์ให้ผู้สวมใส่รู้สึกราวกับเดินอยู่บนอากาศ รองเท้ารุ่นนี้ใช้ชิ้นส่วน Max Air ที่มีสมดุลดียิ่งขึ้น มีการลดจำนวนโฟมที่ใช้คั่นกลางระหว่างเท้ากับชิ้นส่วน Air และมีการใช้เทคนิคการขึ้นรูปด้วยความร้อนเป็นครั้งแรกเพื่อการสร้างชิ้นส่วนซัพพอร์ทแบบ 360 องศา พร้อมกันนี้ยังเป็นการผสานสีและลวดลายของแอร์แม็กซ์ 1 และแอร์แม็กซ์ 95 เพื่อให้รองเท้ารุ่นนี้ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น
AIR MAX 2015 (2015)
แอร์แม็กซ์ 2015 เป็นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่และฉีกกฎเกณฑ์รองเท้าจากเดิม เนื่องจากเป็นรองเท้ารุ่นแรกในตระกูลแอร์แม็กซ์ที่มีหน้ารองเท้าแบบสังเคราะห์ที่มีน้ำหนักเบา และระบายอากาศได้ดี ขณะเดียวกันยังมีนวัตกรรมไนกี้ ฟลายไวร์ (Flywire) เพื่อช่วยรองรับเท้า และมีการออกแบบตราสัญลักษณ์ของไนกี้แบบกลับข้าง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของรองเท้าตระกูลแอร์แม็กซ์อีกด้วย (นี่ไม่ใช่ของก๊อปนะ มันเป็นดีไซน์โลโก้ให้ดูแตกต่างและดูล้ำสมัยขึ้นเท่านั้นเอง)
AIR MAX ZERO (2015)
สำหรับรุ่นนี้เป็นรุ่นล่าสุดที่เพิ่งมีวางจำหน่ายไปไม่นาน เป็นการเฉลิมฉลองครบ 25 ปี ของ Nike Air Max BW Ultra ซึ่งรุ่นนี้จะโดดเด่นที่ส่วนบนของรองเท้า ใช้เทคโนโลยี Hyperfuse คือมีลักษณะบาง เบาสบาย ดูโฉบเฉี่ยว Nike Air Max BW Ultra ยังมาพร้อมกับช่องหน้าต่างขนาดใหญ่เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ช่วยสามารถรองรับแรงกระแทกได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการบล๊อกสีใหม่ทำให้รุ่นนี้ดูมีระดับ พรี่เมี่ยมมากขึ้น
ในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่หรือวัยรุ่นทั่วไปนิยมแต่งตัวแนว Sport ให้เห็นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเทรน Sport ตอนนี้นั้นกำลังมาแรง อาจเป็นเพราะเห็นดาราฮอลีวูดหรือไอดอลเกาหลี หรืออาจจะเป็นนักร้องดาราในประเทศเรานั้นแต่งแนวนี้ อาจจะมีความชื่นชอบ จึงทำให้เป็นที่นิยมกันอย่างมาก และผู้คนส่วนใหญ่นิยมหันมาออกกำลังกายรักสุขภาพกันซะส่วนใหญ่ เลยทำให้การแต่งกายของผู้คนสมัยนี้ดู Street มากขึ้น จึงส่งผลทำให้เครื่องแต่งแนว Sport เป็นที่นิยมขายดีกันเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์กีฬายี่ห้อหนึ่ง หลายๆคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ชื่อเสียงเรียงนามไม่ธรรมดา และยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับการแข่งขันกีฬาในหลายๆชนิด นั่นก็คือ แบรนด์ Nike นั่นเอง
Nike ผลิตก่อตั้งเมื่อปี 1964 โดยมีผู้ก่อตั้งคือ ฟิล ไนต์ (Phil Knight) และ บิลล์ เบาเวอร์แมน (Bill Bowerman) Nike มีชื่อเดิมว่า Blue Ribbon Sport (BRS)
หลายคนอาจสังเกตหรือสงสัยกันว่าในรองเท้าบางรุ่นของ Nike เช่นรุ่น Roshe run ที่จะมีลักษณะคล้ายๆกับขนมรังผึ้ง หรือขนมวาฟเฟิลนั้น แท้จริงแล้ว Bill Bowerman ได้เห็นเครื่องอบขนมวาฟเฟิลของภรรยาในห้องครัว จึงฉุดไอเดียขึ้นมา ทำให้พื้นรองเท้ามีลักษณะคล้ายกับขนมวาฟเฟิล ประโยชน์ของไอ้เจ้าพื้นรองเท้านี้คือ ช่วยลดความลื่นให้กับนักกีฬาเวลาลงแข่ง
ปี 1971 ได้เริ่มมีการติดสัญลักษณ์ Nike บนสินค้าของ Blue Ribbon Sport (BRS) เป็น Nike
Nike ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ธุรกิจเติบโตขึ้น ได้มียอดขายในแต่ละปีประมาณ 10,000 ล้านดอลล่ารสหรัฐ Nike ได้มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มของนักกีฬา จึงทำให้ Nike เป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ทางด้านกีฬาและชุดกีฬาโด่งดังมาถึงปัจจุบันนี้
ปี 1984 Nike ได้ให้ John Mcenroe นักกีฬาเทนนิส และ Michael Jordan นักบาสเกตบอล เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ Nike จึงทำให้แบรนด์ Nike อยู่แถวหน้าของตลาดรองเท้านักกีฬานั่นเอง และยังได้ขยายไปยังกีฬาประเภทต่างๆ Tiger Woods นักกอล์ฟ และ Anre Agassi นักเทนนิส เป็นพรีเซนเตอร์ใช้สินค้า Nike อีกด้วย Nike ยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2000
ในปัจจุบัน Nike ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรองเท้ารุ่น Nike Air มีลักษณะเด่นคือ มีช่องอากาศในชั้นรองเท้า เพื่อช่วยลดแรงกระแทกของข้อเท้าและเท้าได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ Nike Air ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงแม้ว่าจะมีราคาค่อนข้างสูง และในปัจจุบัน Nike ได้มีการผลิตรองเท้าที่สามารถใส่ในน้ำได้หรือรองเท้าลำลองใส่เล่น
Nike Air Force 1 ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1982 เพื่อเป็นรองเท้าบาส ซึ่งในตอนแรกที่ผลิตนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรองเท้าปีนเขา แต่เปลี่ยนจาก toe box ที่เจาะเป็นรู มาใช้เป็นผ้าตาข่ายที่ด้านข้างของรองเท้าแทน ชื่อรุ่นของรองเท้า ก็เอามาจากเครื่องบิน Air Force 1 ที่ให้ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ใช้เดินทาง
Air Force 1 ถือเป็นรองเท้าบาสรุ่นแรกของไนกี้ ที่ใช้เทคโนโลยี Air ของไนกี้ ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อว่า Bruce Kilgore
จนถึงทุกวันนี้ ดีไซน์ของตัวรองเท้า ถือว่าเปลี่ยนไปน้อยมาก สิ่งที่เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน ระหว่างรุ่นแรกๆ กับรุ่นที่ขายในปัจจุบันนี้ คือการเดินด้ายด้านข้างตัวรองเท้า
ในยุคแรกๆ ที่เริ่มจำหน่าย Air Force 1 มีเพียงตัว Low กับ High เท่านั้น ภายหลัง จึงได้มีตัว Mid ออกมาจำหน่ายในปี 1994
ในตัว Mid จะมีแถบรัดข้อเท้ามาให้ด้วย ซึ่งแถบนี้ มีชื่อเฉพาะเรียกว่า Proprioceptus Belt มีประโยชน์คือ เอาไว้ป้องกันอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า
รองเท้า Air Force 1 ยังเป็นที่นิยมมากในวงการฮิพฮอพ เนื่องมาจากการที่ในเมืองนอก วัฒนธรรมของชาวฮิพฮอพ มีสิ่งที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับ บาสเก็ตบอลอยู่ด้วย ศิลปินฮิพฮอพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักสะสมตัวยงของ Air Force 1 ก็เช่น Fat Joe, Nelly ซึ่ง Nelly เคยแต่งเพลงชื่อ Air Force One เอาไว้ในอัลบั้ม Nellyville เนื้อหาเกี่ยวกับรองเท้า Air Force One
จนถึงทุกวันนี้ Air Force 1 ได้ถูกผลิตขึ้นมาจำหน่ายหลายร้อยแบบ ทั้งแบบที่ทำมาจำกัด และไม่จำกัด ไนกี้ยังได้ผลิตรุ่นที่ออกแบบมาให้กับศิลปิน นักร้องหลายๆคน เช่น Nelly, Rockafella Records ฯลฯ หรือรุ่นที่ทำออกมาเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่นวัน St.Patrick, Easter, Valantine ฯลฯ
ในช่วงหลังๆมานี้ ทางไนกี้ได้พัฒนาคุณภาพของ Air Force 1 ให้ดีมากขึ้น โดยการออกรุ่น Premium ออกมา ซึ่งเน้นไปที่การใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม และยังมีรุ่น Lux อีก ซึ่งทำออกมาค่อนข้างน้อย และผลิตโดยหนังจากอิตาลี
Air Force 1 ยังเป็น 1 ในรองเท้ารุ่นที่คนนิยมนำมาคัสตอมมากที่สุดอีกด้วย ทำให้สีที่ขายดีที่สุดของรุ่นนี้คือ สีขาวล้วน และดำล้วน
พูดง่ายๆ ว่าเป็นผลผลิตของรองเท้าบาสที่เกิดขึ้นในอดีต และ แน่นอน ฮิพฮอพ โย่ว ๆ ที่น่าคิดมากขึ้นคือ NIKE น่าจะทำรองเท้าเล่นตะกร้อบ้างนะครับ
ไนกี้ (NIKE) ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย มหาวิทยาลัยโอเรกอน ( University of Oregon ) โดย Philip Knight และ Bill Bowerman ในช่วงเดือนมกราคม ปี 1964 (ไนกี้ เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปี อย่างยิ่งใหญ่เมื่อปีที่แล้วครับ) สิ่งที่จุกเพิ่งจะรู้ก็คือ ไนกี้ เองเป็นผู้จัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ดังของญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ Onitsuka Tiger โอ้วว ว้าวว มันสุดยอดจิงๆ
Nike แต่เดิมใช้ชื่อว่า Blue Ribbon Sports อันนี้เป็นชื่อดั้งเดิมเลยนะครับ ใช้มาตั้งแต่ 1964 พอมาถึงปี 1971 ถึงได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า Nike Inc. พร้อม logo (swoosh) ที่ออกแบบโดยนักศึกษาปริญญาโทมหาลัยพอร์ตแลนด์ (Portland State University) ชื่อ Carolyn Davidson ด้วยค่าแรง 35$ หรือเป็นเงินไทยราวๆ 1,120 บาทครับ (เรท 32 บาท) แต่ในเวลาต่อมา เธอได้รับหุ้นมูลค่ามากกว่า 640,000$
สโลแกน “Just Do It” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฆาตกรต่อเนื่อง Gary Gilmore ที่กล่าวว่า “let’s do it ” ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตในปี 1977
และนี้เป็นการเปิดตัวครัั้งแรกของ แคมเปญใหม่ภายใต้สโลแกน “Just Do it” ในปี 1988 กับโฆษณาของคุณลุงวัย 80 ปี
HISTORY OF AIR [รองเท้า nike air]
กลับมาอีกครั้งนะครับกับบทความเกี่ยวกับไนกี้ โดยวันนี้ผมจะนำแนะประวัติของรองเท้าของไนกี้ที่เชื่อว่าทุกคนจะต้องรู้จัก และเป็นอีกตำนานของเหล่ารองเท้าวิ่งอีกด้วย หลายๆคนคงรู้แล้วนะครับว่าคือรุ่นอะไร นั้นก็คือ “Nike Air Max” นั่นเองครับ เจ้า Air Max มีอายุอานามากกว่า 20 ปี รองเท้าที่มีการพัฒนากว่า 20 ปีคงมีเรื่องราวมากมายในตัวมัน มาติดตามชมถึงประวัติของเจ้า Nike Air Max กันเลยดีกว่า
ในปี 1969 Frank Rudy วิศวะกรยานอวกาศ มีความคิดที่จะใส่ หรือ อัดอากาศเข้าไปในตัวรองเท้า และเขาก็ได้ทำออกมาจนสำเร็จ ได้จดสิทธิบัตรในปี 1972 5 ปี ต่อมา Frank ได้โทรศัพท์ไปหา Phil Knight ซึ่งตอนนั้นก็คือเจ้าของร่วมของไนกี้ เพื่อที่จะให้ Phil ได้ทดลองเจ้ารองเท้าที่มีการใส่ถุงอัดอากาศที่พื้นรองเท้าเข้าไป และแน่นอน Phil มีความสนใจอย่างมากจึงรีบไปหา Frank และได้ทดลองวิ่งโดยใส่รองเท้าของ Frank ราวๆ 20 นาที โดยเขามีความเห็นว่าเจ้าตัวถุงอากาศที่ใส่ไว้อาจเสือมลงเพราะการวิ่ง แต่ Phil ก็ยังคิดว่ามันเหมาะแก่การเสี่ยงที่จะพัฒนาเจ้ารองเท้าคู่นี้เหลือเกิน เขาจึงตกลงกัน Frank เพื่อที่จะพัฒนารองเท้าคู่นี้
Frank Rudy
Phil Knight
ในปี 1978 ไนกี้ได้ซื้อโรงงานที่ Saco Maine เพื่อที่จะเอาไว้พัฒนา Air Sole โดยเฉพาะ และเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอด ซึ่งมี Frank และพนักงานไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาติให้เขาไปในส่วนนี้เพื่อร่วมกันคิดค้นเจ้า Air และด้วยการร่วมกันนี้ก็ทำให้เกิดเป็น Air Sole ขึ้นโดยเป็นแผ่นที่อัดอากาศลงไปโดยมีความยาวเท่าพื้นรองเท้าเลย เอาไว้ลดแรงกระแทกซึ่งอาจเกิดขึ้นเวลาวิ่งหรือเดิน รองเท้าคู่แรกที่ใส่ Air Unit ลงไปนั่นยังไม่ใช่ Nike Air Max แต่เป็น Nike Tailwind ซึ่งผลิตขึ้นมาเพียง 250 คู่ และวางจำหน่ายในงานวิ่งมาราธอนในฮาวาย นี้ก็คือต้นกำเนิดของเทคโนโลยี “Air” ของไนกี้ จากการทดสอบในตอนนั้นเจ้า “Air” สามารถช่วยลดพลังงานจากการวิ่งได้ถึง 2.8% เลยที่เดียว
Nike Tailwind
ต่อมาไนกี้ได้ตัดสินในที่จะออกแบบให้พื้นรองเท้ามีรู เพื่อที่จะมองเข้าไปเห็น Air Unitภายในพื้นรองเท้าและก็เป็นจุดเริ่มต้นของ visible air หรือ Air ที่มองเห็นได้นั่นเอง ในปี 1982 สื่อหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวเกี่ยวกับ Air Shoes หรือรองเท้าที่ใส่ Air ลงไปเพราะว่า Alberto Salazar ผู้ชนะอันดับสามของการวิ่งมาราธอนในนิวยอร์คได้ใส่ Air Mariah ในการลงแข่งขันนั่นเอง
Air Mariah
ในปี 1987 Tinker Hatfield นักออกแบบของไนกี้ ได้ออกแบบรองเท้ารุ่น Nike Air Max 1 หรือ Nike Air Max 87 ซึ่งเป็นปีที่ Nike Air Max รุ่นแรกถูกคิดค้นขึ้น Tinker ได้ออกแบบให้พื้นมีช่อง หรือที่เขาเรียกมันว่าหน้าต่างเพื่อที่จะเห็น Air Sole ภายในพื้นรองเท้าและเป็นรองเท้าที่เป็น Icon อีกคู่นึกของ Nike เลยที่เดียว ต่อมาในปี 1890 Nike Air Max 90 ได้ถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีความพิเศษอยู่ที่พื้นรองมี Flex Grooves ที่ด้านหน้าซึ่งช่วยในการงอเท้า และเพิ่มความสบายในการวิ่งอีกด้วย อีก 1 ปีต่อมา Nike Air Max BW ก้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับช่องสำหรับ Air ที่ใหญ่ขึ้น
Air Max 1
Air Max 90
Air Max BW
Air Max 93
Air Max 95
Air Max 97
Air Max 93 มีพื้นที่หล่อออกมาทำให้สามารถใส่ส่วนที่เป็น Air ได้มากถึง 35% ของพื้นรองเท้า และยังทำพื้นให้เห็น Air ตั้งแต่ดานข้างจนถึงที่ส้นรองเท้ากันเลยทีเดียว สำหรับAir Max 95 นั้นก็ได้มีการใส่ Forefoot Unit เป็นครั้งแรกซึ่งก็คือส่วนที่เป็น Air Unit ที่ด้านหน้ารองเท้านั่นเอง อีกไม่นาเกินรอก็ทำให้ฝันของแฟนๆของไนกี้มาถึงกัน ChristianTresser ผู้ออกแบบ Air Max 97 ซึ่งมาพร้อมกับพื้นที่เป็นขึ้น Air Unit ทั้งหมดที่สามารถเห็นได้ ทำให้ใส่แล้วมีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนอากาศกันเลยที่เดียว ต่อมาไนกี้ก็ได้พัฒนารอเท้ารุ่นนี้อีกกว่า 40 รุ่นด้วยกันจนถึงปัจจุบัน และหลายๆแบรนด์ก็นำรุ่นนี้ไป collab ด้วย จนดังและได้รับความนิยมกันไปอีกหลายรุ่น ถือได้ว่าเป็นรองเท้าที่เป็นตำนานไปซะแล้วครับสำหรับ Nike Air Max !
Patta x Parra X Nike Air Max 1
CLOT x Kanye West X Edison Chen Nike Air Max 1
Nike Air Max 1 ATMOS