หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

หนุ่มทโมนเที่ยวทมิฬ บทที่ 2

โพสท์โดย dejaboo

ลิงค์บทที่ 1 https://board.postjung.com/988305.html

“หนุ่มทโมนเที่ยวทมิฬ  ฟินสุดๆกับอินเดียใต้”

เรื่อง/ภาพ โดย เดชา เวชชพิพัฒน์

บทที่ 2

ผมแบกเป้เที่ยวอินเดียมาแล้วสามครั้ง ครั้งละสิบห้าวัน อ่านหนังสือเกี่ยวกับที่เที่ยวอินเดียก็ไม่น้อย แถมดูหนังอินเดียมาตั้งแต่เด็ก เรื่องแรกคือ “ช้างเพื่อนแก้ว” รู้จักพระเอกนางเอกอินเดียตั้งแต่รุ่นเก๋ากึ๊กอย่าง เฮม่า มาลินี กับ ซาซิ กาปูร์ จนถึงรุ่นปัจจุบันอย่าง ไอณี จาฟรี กับ ศาห์รุกข์ ข่าน แต่ “มมัลลปุรัม” กลับเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูผมเลยแม้แต่นิดเดียว ... ได้ไงเนี่ย

        แต่พอศึกษาข้อมูลจากหนังสือนำเที่ยวเล่มโปรดแล้ว ใจผมก็ลอยมาหล่นปุ๊ที่เมืองนี้ทันที

        เพราะมมัลลปุรัมมีโบราณสถานและงานฝีมือชื่อแปลกๆ ที่ผมจะได้ชื่นชม ส่วนใหญ่เป็นการแกะหินก้อนโตเป็นเทวาลัย แกะหน้าผาเป็นรูปนูนต่ำแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อและตำนานต่างๆ แกะหินก้อนน้อยเป็นสิงสาราสัตว์ แกะเป็นอ่างเก็บน้ำก็มีครับ ขอบคมราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้เลยทีเดียวเชียว

นอกจากนี้ ของที่ระลึกก็ล้วนแล้วแต่เป็นงานแกะหิน แกะขายกันตั้งแต่ก้อนเท่าฝ่ามือไปจนถึงก้อนโตเท่ารถสามล้อ มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างไปตามความเชื่อและความนิยม กล่าวได้ว่าคนที่นี่แกะหินเก่งมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงตั้งคำขวัญให้แก่เมืองนี้ว่า 

มมัลลปุรัม ... พ่อสลัก ลูกเสลา หลานเกลา เหลนกลึง ดึงดูดคนจากทั่วโลกมาเที่ยวชม

นอกจากนี้ ยูเนสโก ยังยกให้มมัลลปุรัมเป็นมรดกโลกอีกด้วย

อดีตของเมืองนี้ก็ใช่ย่อย ช่วงศตวรรษที่เจ็ดและแปดเคยเป็นเมืองท่าและเมืองหลวงแห่งที่สองของราชวงศ์ปัลลวะ จึงเป็นศูนย์รวมของเทวาลัยเก่าแก่จำนวนมากที่ผมจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวชม

แต่ใครจะนึกว่าเทวาลัยองค์แรกที่ผมเห็นนั้นจะได้เห็นจากชายหาด

ตอนนั้นแบกเป้เดินหาที่พักจนสุดถนน Othavadai แล้วเจอชายหาดติดมหาสมุทร จึงรีบ “กางหน้า” รับลมรับแดดให้ชื่นใจ จากนั้นหันมองไปทางซ้ายเห็นชายหาดวิ่งไปไกลสุดตา มองไปทางขวา ... เอ๊ะ อะไร 

เทวาลัยครับคุณผู้อ่าน คนที่นี่เขาสร้างเทวาลัยติดชายหาดด้วยนะครับ เทวาลัยองค์นี้มีชื่อเสียงโด่งดังด้วย ... Shore Temple

มุมมอง Shore Temple จากที่พัก เดี๋ยวจะพาไปดูใกล้ๆ แต่อยากให้ดูคลื่นว่าลูกโตแค่ไหน แรงถึงขนาดเป็นแหล่งเล่น Surfboard แสดงว่าคนที่นี่ว่ายน้ำแข็ง คลื่นลูกขนาดนี้ยังเล่นน้ำกันหน้าตาเฉย ขนาดผมเป็นคนว่ายน้ำเก่งยังไม่กล้าเลย ขอกลับบ้านทางเครื่องบินดีกว่าลอยไปติดหาดแถวประจวบฯ 

        เทวาลัยนี้เข้าทางชายหาดไม่ได้นะครับ มีรั้วกั้นบรรดาพวกรู้มากทั้งหลายที่คิดจะเข้าฟรี (อย่างผม) ต้องเดินไปเข้าที่ Beach Road ซึ่งอยู่ตรงสี่แยกใกล้สถานีรถประจำทาง ซึ่งก็ดีครับ แถวที่พักไม่มีร้านขายอาหารเลย มีแต่ร้านขายของที่ระลึก งานนี้ถูกใจคนชอบเดินอย่างผมยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นจึงตื่นแต่เช้าเดินออกจากท้ายถนน Othvadai มาที่หัวถนนซึ่งเชื่อมกับ East Raja street แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปจนถึงสถานีรถประจำทาง จากนั้นตรงไปไม่กี่ก้าวก็เจอสี่แยก แถมเจอร้านขายของกินด้วย เวลานั้นผมหิวจนไม่เรื่องมากแล้วครับ อะไรก็กิน แถมเป็นการกินแบบชาวอินเดียอย่างของแท้แน่นอนด้วย นั่นคือใช้มือกิน อาศัยจับขนมแป้งนึ่งด้านที่เปื้อนน้ำแกงน้อยที่สุดแล้วใส่ปาก กินพอให้มีแรงว่างั้นเหอะ เที่ยวต่ออีกไม่กี่วันจึงรู้ว่าคนที่นี่กินข้าวเช้าแบบเบาๆ แต่ไปหนักเอาตอนบ่ายกับมื้อเย็น     มิน่าล่ะ พุงแต่ละคนใหญ่พอใช้แทนห่วงยางเป่าลม สามารถว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไปประเทศไทยได้สบายๆ

อาหารเช้ามื้อแรกในมมัลลปุรัม “อิดลี่” แต่ขอเรียกว่า “ยูเอฟโอลงสรง”

กินมื้อเช้าแล้วเดินตรงเข้าไปใน Beach Road ก็เจอทางเข้าชม Shore Temple ต้องซื้อตั๋วก่อนเข้าชม ซึ่งตั๋วนี้นายห้างสั่งลุยครับ จัดโปรโมชั่นแบบบัตรเดียวเที่ยวสามแห่ง สามารถใช้เข้าชม Five Rathas และ Tiger Cave โดยมีข้อแม้ว่าต้องใช้ภายในวันเดียวกัน

คนขายตั๋วที่นี่ก็พยายามเหลือเกินที่จะล้วงคองูเห่าจากไทยแลนด์ ผมให้แบงค์ห้าร้อยไปกลับคืนมาแต่ตั๋วไม่มีเงินทอน ถ้าโชคดีเจอคนขี้หลงขี้ลืมก็ได้เงินกินเปล่าไปเหนาะๆ 250 รูปี แต่อุบายตื้นๆ แค่นี้ไม่ได้กินเงินผมหรอกครับ รีบบอกเลยว่าคุณลืมให้เงินทอนนะ เจ้าหน้าที่จึงกล่าวขอโทษแล้วรีบยื่นเงินทอนให้

ขอบอกว่าเป็นแบบนี้เฉพาะพวกเจ้าหน้าที่นะครับ ทริปนี้มีเรื่องเด็ดจะเล่าให้ฟังด้วย เจ้าพ่องูเห่าอย่างผมโดนล้วงคอจนทอนซิลอักเสบเลยเชียวล่ะ แต่ทำใจแล้วครับว่าเที่ยวอินเดียถ้าไม่ถูกหลอกถูกโกงก็แปลว่ามาไม่ถึง ติดตามตอนต่อๆไปละกัน

แต่ชาวทมิฬนาฑูทั่วๆ ไปเป็นคนน่ารักมากนะครับ โดยเฉพาะชาวบ้าน ทั้งเป็นมิตรและมีน้ำใจ

เที่ยวต่อดีกว่า จะได้ลืมเรื่องเซ็งๆ

Shore Temple เป็นเทวาลัยแบบก่อหิน เรามักคุ้นกับคำว่า ก่ออิฐถือปูน แต่เทวาลัยนี้ใช้หินก้อนโตแทนอิฐ หินที่ใช้คือหินแกรนิตซึ่งแข็งมาก ก่อแล้วจึงไม่จำเป็นต้องถือปูน อวดเนื้อหินสวยๆ เทวาลัยนี้สร้างในศตวรรษที่แปดโดย Narasimha Varman II หรือ Rajasimha เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นก่อนองค์อื่นๆในทมิฬนาฑู 

Shore Temple นี่โด่งดังไม่เบา ในช่วงศตวรรษที่ 14 ชาวตะวันตกโดยเฉพาะนักเดินเรือก็ยังรู้จักเทวาลัยนี้ โดยเรียกขานกันว่าเป็น Place of Seven Pagodas แปลไทยๆ คือ วัดเจดีย์เจ็ดยอด ซึ่งเป็นการเรียกขานตามที่มองเห็นจากเรือ แสดงว่าจริงๆ แล้วเทวาลัยนี้มีมากกว่าสองยอดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งนักโบราณคดีก็พบหลักฐานที่เชื่อว่าเป็นไปตามที่สันนิษฐาน

โหย สร้างมาตั้งพันกว่าปี อยู่ติดมหาสมุทรอีกต่างหาก เหลือให้เห็นตั้งสองยอดก็ถือว่าโคตรอึดแล้วล่ะ ไหนจะโดนแดดจัด ลมแรง ไอน้ำรสเค็ม พายุ และสึนามิ   

เทวาลัยองค์หลักหรือองค์ใหญ่สุดนั้นหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ขึ้น ระเบียงด้านหน้ามีห้องขนาดเล็ก ผนังทั้งสามด้านแกะสลักเป็นภาพนูนต่ำ Somaskandaตรงกลางห้องตั้งแท่งหินแกรนิตสีดำผิวเรียบเป็นมันที่เป็นสัญลักษณ์ Lingam ของพระศิวะ ปัจจุบันแท่งหินนี้หักเหลือครึ่งเดียวหรือหนึ่งในสาม

        Somaskanda คือคำที่หมายถึงครอบครัวของพระศิวะที่ประกอบด้วยพระศิวะ พระแม่อุมาเทวีที่เป็นชายาและบุตร ส่วนคำว่า Lingam นั้นแปลว่า ลึงค์

แน่นอนว่าเทวาลัยนี้รายล้อมด้วยหินสลักเป็นรูปโคนนทิ โคเผือกที่เป็นพาหนะของพระศิวะ มีชื่อเป็นทางการว่า อุสุภราช โคจึงเป็นสัตว์ที่ชาวฮินดูถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ฆ่าโคและไม่กินเนื้อโค เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมที่ผมไปเที่ยวเนปาลเห็นวัดฮินดูสวยงามจะเข้าไปถ่ายรูป แต่ถูกห้ามไว้เพราะใส่เข็มขัดหนังวัว

 

รูปสลักโคอาบแดดยามเช้า

เสียดายที่รูปสลักเหล่านี้สึกกร่อนไปมาก อยากเห็นตอนสลักเสร็จใหม่ๆว่าจะงดงามเพียงใด

นอกจากรูปสลักโคนนทิแล้วยังมีรูปสลักสิงโตของพระแม่ทุรคาอีกด้วย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอีกปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวี อวตารเพื่อปราบอสูรร้ายตนหนึ่ง

เยี่ยมชมเทวาลัยแห่งนี้ได้แค่สองชั่วโมงท้องก็ร้องหิวแล้วครับ “อิดลี่” หรือ “ยูเอฟโอลงสรง” ไม่อยู่ท้องเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องรีบออกมาหาของกิน บริเวณสถานีรถประจำทางดีที่สุดแล้ว เพราะมีร้านอาหารแบบชาวบ้านกิน ราคาเหมาะกับพวกซำเหมาแบกเป้เที่ยวอย่างผม ปรากฏว่าไม่มีข้าวให้กินครับ ถามกี่ร้านๆ ก็บอกว่าข้าวหมกไก่ขายตอนบ่ายจ้า จึงเดินหาของกินต่อ โชคดีร้านชาชื่อดังแห่งกรุงลันดั้น “เดอะริทซ์” มาเปิดสาขาที่นี่ จึงได้อาศัยลูบท้องด้วย “ไช” หรือชาอินเดียของโปรด กินแกล้มกับเค้ก “ซาราลี” เชียวนะครับ เจ้าของร้านเองก็อารมณ์ดีโชว์ “ชักชา” ให้ดูหลายรอบ

เค้กซาราลีรุ่นใหม่ไม่ต้องแช่เย็น ใส่โหลก็อร่อยได้

ของกินที่นี่เกือบทุกอย่างห่อหรือรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แบบว่าแถมข้อมูลข่าวสารให้ด้วย กินไปอ่านไป เพลินดี

บรรยากาศภายในร้าน เดอะริทซ์ สาขามลัลลปุรัม ตกแต่งภายในอย่างหวานแหวว

        หายหิวแล้วผมไปเที่ยวต่อที่ Five Rathas ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ประมาณสองป้ายรถเมล์ของบ้านเรา เดินไปได้ครับ

Five Rathas มีผู้แปลเป็นไทยว่า ปัญจปาณฑพรถะ แยกเป็นคำๆ ได้ดังนี้ ปัญจะคือห้า ปาณฑพ (ปาน-ดบ) คือชื่อพี่น้องห้าคนในมหากาพย์ “มหาภารตะ” รถะหมายถึงรถม้าศึก

        แปลแบบบ้านๆ ปัญจปาณฑพรถะคือที่จอดรถห้าคันนั่นเอง แต่ว่ารถแต่ละคันไม่เบานะครับ ไม่เบาจริงๆ เพราะแกะจากหินแกรนิตก้อนโตเพียงก้อนเดียว แกะเป็นรูปช้างเท่าของจริงก็มี ศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ Monolith แปลว่าหินใหญ่ก้อนเดียว แต่กินความได้กว้างขวาง รถะก็จัดเป็น Monolith ภูเขาที่เกิดจากหินก้อนเดียวก็เป็น Monolith เช่น สิกิริยาในศรีลังกา ไอเยอร์ร็อคในออสเตรเลีย และ Devils Tower ในสหรัฐอเมริกา

        ส่วนพี่น้องห้าคนเจ้ารถะทั้งห้าคันมีชื่อดังนี้ คนโตสุด ยุธิษฐิระ หรือ ธรรมราชา คนที่สอง ภีมะ คนกลาง อรชุน คนที่สี่และห้าเป็นฝาแฝดชื่อ นกุล และ สหเทพ ทั้งห้าคนนี้มีเมียคนเดียวกันคือ เทราปตีรถะ

        Five Rathas สร้างขึ้นในศตวรรษที่เจ็ด ในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ก่อนจะถูกฝังอยู่ในทรายจนชาวอังกฤษขุดพบเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา 

รถะที่เห็นอยู่ฝั่งซ้ายมือคือ ธรรมราชารถะ เป็นของพี่ชายคนโต ส่วนที่เห็นอยู่ฝั่งขวามือคือ ภีมะรถะ เป็นของคนที่สอง

รถะคันกลางคือ อรชุนรถะ คันหน้าสุดคือ เทราปตีรถะ ผู้ภรรยาของพี่น้องทั้งห้า 

รถะของฝาแฝด นกุล-สหเทพรถะ ช้างแกะสลักเท่าของจริงและเหมือนจริงมีชื่อว่า Gajaprishthakara หรือ คชปฤษฎาคาง ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช้างแกะสลักที่งดงามอย่างยิ่งในอินเดีย

ความประทับใจที่ผมมีต่อ Five Rathas คือหลังคาของรถะแต่ละคัน เพราะแต่ละรถะก็มีหลังคาหน้าตาแตกต่างกันไป หนึ่งรถะก็หนึ่งแบบ ศึกษาหาข้อมูลจึงรู้ว่ามีทั้งหมดสี่แบบ

        แบบแรกคือหลังคาแนวโค้ง (Curvilinear) แบบของ เทราปตีรถะ แบบที่สองเหมือนหลังคารถชาวบ้านแบบของ ภีมะรถะ แบบที่สาม หลังคาที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ขึ้นไปถึงยอดแบบของ ธรรมราชารถะ และ อรชุนรถะ ซึ่งหลังคาแบบนี้เป็นรูปแบบงานศิลปะแบบดราวิเดียน ส่วนหลังคาแบบที่สี่นั้นเหมือนหลังช้าง ด้วยเหตุนี้จึงมีรูปสลักช้างอยู่ข้างๆ คงจำได้นะครับว่ารถะนี้เป็นของฝาแฝด นกุล-สหเทพรถะ

        หลังเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ ผมก็ไปต่อที่ถ้ำเสือ (Tiger Cave) และ วัดTirukkalikundram ที่มีวัดนกอินทรี (Vedagirishvara Temple) อยู่บนยอดเขา ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่นอกตัวเมืองมมัลปุรัม แห่งแรกห่าง 5 กม.แห่งที่สองห่าง 14 กม. งานนี้เดินไม่ไหวจริงๆ ต้องยอมจ้างสามล้อแบบเหมาจ่าย โชคดีได้คนขับชื่อบาบา ซึ่งเป็นคนจิตใจดี ระหว่างทางขออนุญาตผมแวะไปไหว้อาจารย์ ผมก็ยินดี คิดว่าคงเป็นอาจารย์สอนวิชาอะไรสักอย่างสมัยเป็นนักเรียน ปรากฏว่าอาจารย์ของเขาคือ “เชอร์ดี ไสบาบา” ผู้นำทางจิตวิญญาณที่คนอินเดียเคารพนับถือ สถานที่ที่เขาพาไปคือ SHIRDI SAI TRUST เป็นสถานที่ฝึกสมาธิวิปัสสนาและสำหรับระลึกถึงท่านเชอร์ดีผู้ล่วงลับ บาบาพาผมเข้าข้างในด้วยครับ บรรยากาศร่มรื่นสงบเงียบเหมาะกับการฝึกสมาธิอย่างยิ่ง บาบาคงมาที่นี่บ่อย มิน่าล่ะ เขาจึงดูใจเย็น พูดจาก็สุภาพ ไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนคนขับรถสามล้อคนอื่นๆ เจอมาเยอะเลย หลายคนพูดกับผมเหมือนเป็นลูกเขา ทั้งห้วนทั้งดัง ผมได้แต่คิดจะเสียงดังกลับไปบ้าง ไม่กล้าทำจริงเพราะตัวใหญ่กว่าผมทั้งนั้น

บาบา สารถีใจเย็น

        นั่งรถที่บาบาขับได้ไม่นานก็ถึงถ้ำเสือเพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองแค่ห้ากิโลเมตร

ถ้ำเสือเป็นเทวลัยที่แกะสลักจากหินก้อนเดียว ทำขึ้นในศตวรรษที่ 8 โดยฝีมือช่างชาวปัลลวะเพื่อถวายแก่เจ้าแม่ทุรคา ล้อมรอบด้วยหัวเสือ 11 หัว ผมเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะยืนชมไปร้องเพลงไป เพลง “เสือตัวที่11” ของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ไงครับ

        ใกล้ๆ กับถ้ำเสือยังมีเทวลัยเก่าแก่อีกแห่งชื่อ Athiranachandha Cave ที่ตั้งชื่อตามกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ปัลลวะ สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่พระศิวะ ด้านหน้ามีศิวลึงค์ (Lingam) ตั้งอยู่เหมือนที่ Shore Temple แต่อันนี้ไม่หัก อยู่ในสภาพดี ด้านในก็เช่นกัน

        เทวาลัยสององค์นี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบ บรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย ภายในยังมีหินก้อนใหญ่หน้าตาแปลกอีกด้วย ถ้ามีเวลาเตรียมอาหารมาปิกนิกก็จะดีไม่น้อย

เที่ยวเทวาลัยสององค์นี้เสร็จปุ๊บ ท้องร้องปั๊บ ผมรีบขอให้บาบาพาไปหาของกิน ท้องว่างแบบนี้ต้องข้าวหมกไก่อย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งเป็นเวลาบ่ายแล้ว ร้านไหนยังไม่ขายอีกผมจะแจ้ง สคบ. แห่งอินเดียมาปิดร้านเลย ฮึ่ม

        ปรากฏว่าบาบาพาไปกินร้านอร่อยประจำเมืองครับ เห็นตรา “อาบังชวนชิม” อยู่หน้าร้านแล้วดีใจ คนก็นั่งกินเยอะแยะ กินแล้วก็อร่อยจริง จานใหญ่แค่ไหนก็กินหมด แถมรองใบตองให้ด้วย ทำให้ดูน่ากินและได้บรรยากาศขึ้นมาอีกเยอะ คิดถึงสมัยก่อนที่เรายังใช้ใบตองตอนซื้อข้าวใส่ห่อ ทั้งข้าวผัด ข้าวมันไก่ ผัดซีอิ๊ว ล้วนแล้วแต่ใช้ใบตอง เสียดายว่าผมไม่ถนัดกินด้วยมือแบบพวกเขา ไม่งั้นจะได้บรรยากาศยิ่งกว่านี้ ต้องขอช้อนมาหนึ่งคัน ซึ่งก็มีบริการให้

เพื่อนร่วมร้านข้าวหมกไก่ “อาบังชวนชิม”

        บาบาบอกให้ผมกินข้าวเยอะๆ เพราะสถานที่เที่ยวต่อไปต้องใช้แรงขึ้นเขาเป็นการขึ้นบันได 500 ขั้น ... ของโปรดผมเลยครับ เที่ยวแบบได้ออกแรงออกกำลังแบบนี้ ไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้ออกแรงจนเสื้อชุ่มเหงื่อ แต่เสียอารมณ์กับคนขายตั๋วเป็นอย่างยิ่ง บาบาก็เตือนแล้วพวกเขาใช้วิธีพูดผิดราคา ค่าตั๋วบวกค่ากล้องราคาที่กำหนดไว้คือหลักสิบ แต่พูดเป็นหลักร้อย ถ้าใครเผลอให้เงินไปตามที่บอกก็ถูกโกง ... ไม่น่าทำแบบนี้เลย ทำงานอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ

        กินข้าวแล้วบาบาพาเดินทางออกจากตัวเมืองระยะทาง 14 กม. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขอย่างยิ่ง สองข้างทางเป็นผืนนาที่ข้าวออกรวงจนสุก กระทบกับแสงแดดยามบ่ายดูเหลืองอร่ามราวกับสีทอง เสียงเพลง “ทุ่งรวงทอง” ดังเข้ามาในความทรงจำ ถึงขนาดมองเห็นภาพไอ้ขวัญกับอีเรียมแข่งควายกัน

        ยิ่งขากลับก็ยิ่งมีความสุขครับ เพราะพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ได้กลิ่นหอมดอกไม้ตลบอบอวลตั้งแต่อยู่ในตัวเมืองแล้ว ตลอดทางก็โชยมาเรื่อยๆ คงเป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นตอนกลางคืน

        นั่งรถสามล้อชมทุ่งรวงทองอยู่นานพอควรก็ถึง หน้าวัด Tirukkalikundram แถมเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินพอดี

หน้าวัด Tirukkalikundram ด้านบนคือวัด Vedagirishvara Temple หรือวัดนกอินทรี ชาวบ้านขึ้นบันได้ห้าร้อยขั้นไปวัดนี้เพื่อไหว้พระและขอพร ส่วนนักท่องเที่ยวขึ้นไปเพื่อชมทิวทัศน์รอบเมือง

        ผมเริ่มต้นเที่ยววัดนี้ด้วยการถอดรองเท้าวางไว้หน้าวัดครับ ระหว่างทางขึ้นวัดก็ไม่ต้องกลัวร้อนเพราะมีหลังคาให้ตลอดทาง บันไดก็เป็นหินหนาเย็นเท้า ระหว่างทางมีจุดพักรับลมเย็นอยู่เป็นระยะๆ คุณตาคุณยายเดินขึ้นกันเยอะแยะ ส่วนใหญ่ค่อยๆไปทีละขั้น อาศัยจับราวที่ทำไว้ทั้งสองข้างเป็นอย่างดี

วัดเกือบทุกวัดในทมิฬจะมีอ่างเก็บน้ำประจำแต่ละวัด

มุมมองจากยอดเขา

เด็กๆ ที่นี่น่ารักมาก ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายขอถ่ายรูปพวกเขาเลย อาสาเป็นนายแบบนางแบบกันเอง คนขวามือสุดเหมือนตุ๊กตาเลยครับ

ขวามือเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ชาวทมิฬนาฑูดูแลรักษาเป็นอย่างดี เห็นเกือบทุกเมืองเลยครับ

โบกมือลาพระอาทิตย์ พรุ่งนี้เจอกัน

เนื้อหาโดย: เดชา เวชชพิพัฒน์
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
dejaboo's profile


โพสท์โดย: dejaboo
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
28 VOTES (4/5 จาก 7 คน)
VOTED: หุ่นเชิดสังหาร, แมวฮั่ว แมวขี้น้อยใจ, ซาอิ, คุณบี๋, zerotype, อินจือ, ผมชื่อ ไอ้โง่
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พฤติกรรมและวัฒนธรรมแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องปกติของผู้คนในอิตาลี ที่คุณอาจจะสงสัยและไม่รู้มาก่อน!สื่อดัง "วอยซ์ทีวี" ประกาศปิดกิจการ 31 พ.ค.นี้ เลิกจ้างพนักงานกว่า 100 ชีวิต ด้าน "แขก คำผกา"เคลื่อนไหวแล้ว 3 นักษัตรที่การเงินเด่น มีโชคด้านการลงทุน เสี่ยงดวงช่วงนี้ด่วน ! เกิดเหตุรถกระบะตกข้างทาง บาดเจ็บ 7 เสียชีวิต 3ขำสุดซอย..ฮาก๊าก..คลายเครียด!สาวเครียด! โพสค์ระบาย เหมือนไร้ตัวตนในที่ทำงาน?ทางกัมพูชา และ จีนจัดงานโชว์ศิลปะการต่อสู้ กังฟู + โบกาตอร์ ตอนแรกหลายคนนึกว่า จะเอามาสู้ๆกัน อ้อ ไม่ใช่ มาโชว์กระบวนท่าการแสดงเฉยๆ พอมีคนดูอยู่เหมือนกันเด้อช็อตฮาประชาชี : บ้านญาติบรรยากาศแบบนี้ ต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนหน่อยเน่อ ไม่งั้นหลอนแน่ๆเตือนแล้วไม่ฟัง ต้องบังให้มิด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ป๋าเสรี" ร่วมงานศพ"ทวี ไกรคุปต์" ด้าน"ปารีณา" โผล่สวมกอด ลั่นขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับท่านเสรี!ทางกัมพูชา และ จีนจัดงานโชว์ศิลปะการต่อสู้ กังฟู + โบกาตอร์ ตอนแรกหลายคนนึกว่า จะเอามาสู้ๆกัน อ้อ ไม่ใช่ มาโชว์กระบวนท่าการแสดงเฉยๆ พอมีคนดูอยู่เหมือนกันเด้ออดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรกตอนเรียนกับตอนทำงานเต่างกันแค่ไหน?
กระทู้อื่นๆในบอร์ด Review, HowTo, ท่องเที่ยว
บรรยากาศยามเย็น ที่กว๊านพะเยา โอซาก้าจะเลียนแบบเวนิสในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าญี่ปุ่นสั่งกั้นมุมภเขาไฟฟูจิ! เหตุ นนท. ทำพิษพฤติกรรมและวัฒนธรรมแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องปกติของผู้คนในอิตาลี ที่คุณอาจจะสงสัยและไม่รู้มาก่อน!
ตั้งกระทู้ใหม่