ใจเจ๊ก บทที่ 2
ลิงค์บที่ 1 https://board.postjung.com/988480.html
นวนิยาย “ใจเจ๊ก”
โดย เดชา เวชชพิพัฒน์
บทที่ 2
คุยกับเจ้าของร้านผ้าย้อมครามแล้ว ภูมิชัยเดินต่อจนถึงห้องสุดท้ายที่เป็นร้านข้าวราดแกงจึงเลี้ยวเข้าไป หยุดยืนมองมารดาผู้กำลังตักแกงใส่ถุงให้ลูกค้าที่ยืนรออยู่ เมื่อเห็นว่าไม่ยุ่งมากจนต้องช่วย จึงเดินต่อผ่านโต๊ะที่ตั้งเรียงติดผนังซ้ายขวาเข้าไปภายใน
บิดาของภูมิชัยกำลังอ่านหนังสือพิมพ์รายวันอยู่ที่โต๊ะตัวในสุด เขาอยู่ในวัยห้าสิบปลายๆ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีกาแฟตัดกับผมสีดอกเลา เมื่อเห็นลูกชายคนเดียวเดินเข้ามาจึงกล่าว
“ไปร้านเน็ตมาอีกล่ะสิ”
ภูมิชัยลากเก้าอี้ลงนั่งตรงหน้าบิดาแล้วกล่าวเสียงใส
“ใช่พ่อ ไปหาเรื่องด่าเจ๊กเล่นแก้เบื่อ”
ผู้ให้กำเนิดฟังแล้วเลิกคิ้ว ยิ้มบางๆด้วยความพอใจก่อนถาม
“เรื่องอะไร”
ภูมิชัยตอบทันที “มีข่าวนักท่องเที่ยวจีนขี้ลงคูเมืองเก่าที่เชียงใหม่ครับพ่อ ทุเรศจริงๆเลยไอ้พวกเจ๊ก”
ไกรสมพยักหน้าช้าๆ แม้เป็นพ่อ อีกทั้งยังมีวัยห้าสิบปลายๆ แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาสั่งสอนลูกในทางที่ถูกที่ควร คงเป็นเพราะจบการศึกษาแค่ประถมศึกษาตอนปลาย รวมกับความเกลียดคนไทยเชื้อสายจีนอย่างเข้ากระดูก เขาจึงไม่บอกความจริงกับลูกชาย แม้ความจริงนั้นอยู่ในหนังสือพิมพ์ตรงหน้า ข่าวนักท่องเที่ยวจีนถ่ายอุจจาระลงในคูเมืองเก่านั้น พิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นภาพถ่ายคนวิกลจริตที่กินนอนอยู่แถวนั้น หาใช่นักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ แต่ด้วยความไม่ชอบหน้านักท่องเที่ยวจีนที่มักมาเป็นกลุ่มใหญ่และส่งเสียงดัง จึงมีการปล่อยข่าวให้เสื่อมเสียเพียงเพื่อความสะใจ
ในเมื่อไกรสมเองก็สะใจ ลูกชายเขาก็สะใจ ความจริงเป็นเช่นไรจึงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว รู้ความจริงภายหลังก็ไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือได้ด่าว่าคนไทยเชื้อสายจีน
ความเกลียดชังคนไทยเชื้อสายจีนถ่ายทอดมาตั้งแต่ปู่ของภูมิชัย ไกรสมได้ยินบิดาเรียกคนไทยเชื้อสายจีนว่าเจ๊กมาตั้งแต่เป็นเด็ก แถมด้วยข้อเสียต่างๆนานาของคนไทยเชื้อสายจีน
“ไอ้พวกเจ๊กนี่วันๆมันคิดแต่เรื่องทำมาหากิน ไม่เห็นมันเข้าวัดเข้าวาหรือทำอะไรที่เจริญใจบ้าง”
“เจ๊กนี่มันชอบเอาเปรียบคนไทยเหลือเกิน ไอ้ห่าเอ๊ย มาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่แท้ๆ”
“พวกเจ๊กนี่มันช่างกินเหลือเกิน ลูกหมูทั้งตัวมันก็เอามาย่างกินได้ ไอ้ที่มีเงินหน่อยก็กินหูฉลาม กินรังนก กินตีนหมี กินหมายังมีเลย”
แน่นอนว่าความคิดเหล่านี้ถ่ายทอดจากปู่สู่พ่อและสู่หลาน กอปรกับความเป็นคนชอบอ่านของไกรสม ทำให้ภูมิชัยได้รับทัศนคติที่ด้านลบมีต่อคนไทยเชื้อสายจีนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวยิ่งขึ้น ไกรสมถึงขนาดให้ครูภาษาไทยที่เขารู้จักมักคุ้นรวบรวมสำนวนที่เหยียดหยามคนไทยเชื้อสายจีนแล้วเขียนไว้บนฝาบ้าน อธิบายความแล้วให้ภูมิชัยในวัยสิบสองขวบท่องจนขึ้นใจ
“เจ๊กปราศรัยเหมือนไทยตีกัน”
ไกรสมอ่านนำ รอจนภูมิชัยอ่านตามจึงอธิบาย
“เอ็งเคยได้ยินพวกเจ๊กมันคุยกันไหม เสียงดังฉิบหาย ล้งเล้งอะไรของพวกมันก็ไม่รู้ โคตรจะหนวกหูเลย เอ็งอย่าเอาอย่างเป็นอันขาด เราคนไทยพูดจาช้าๆพูดเบาๆแบบที่ผู้ดีเขาทำกัน จำไว้นะ อย่าคุยเสียงดังเหมือนพวกเจ๊ก”
“แล้วที่พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันละครับ” เด็กชายภูมิชัยถามตามที่เห็นกับตาบ่อยๆ
ไกรสมขมวดคิ้วก่อนตอบ “ไม่ใช่โว้ย นั่นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน แต่พวกเจ๊กมันไม่ได้ทะเลาะกัน คุยกันธรรมดานี่แหละ แต่เสียงดังฉิบหาย”
“เหมือนตอนพ่อกินเหล้ากับเพื่อน” เด็กชายภูมิชัยพูดตามเห็นบ่อยๆอีกเช่นกัน
“นั่นก็ไม่ใช่อีก พ่อเมา เพื่อนพ่อก็เมา คนเมาที่ไหนก็พูดเสียงดังทั้งนั้น แต่พวกเจ๊กมันไม่ได้เมามันก็พูดเสียงดัง เข้าใจไหม”
เด็กชายภูมิชัยพยักหน้าทันที “ครับ”
ไกรสมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกจึงอ่านสำนวนต่อไป
“เจ๊กตื่นไฟ”
เขาอธิบายทันทีที่ภูมิชัยอ่านตาม “นี่ก็อีก หมายถึงพวกเจ๊กที่เวลาตื่นตกใจที จะเอะอะโวยวายเหมือนคนบ้า พูดว่าเจ๊กตื่นไฟเพราะพวกเจ๊กมันกลัวไฟไหม้”
“แล้วพวกเราไม่กลัวหรือครับ”
เด็กชายภูมิชัยถามอย่างไร้เดียงสา ผู้เป็นบิดาเม้มปากก่อนกล่าว
“ใครๆก็กลัวไฟไหม้ทั้งนั้นแหละ แต่การแสดงออกไม่เหมือนกัน ไม่ต้องเอะอะโวยวายก็ได้ รีบๆตักน้ำมาดับไฟหรือเรียกคนมาช่วย โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ใครเห็นก็ทุเรศลูกตา เข้าใจไหม”
“ครับ” เด็กชายกล่าวแล้วถามด้วยความสงสัย จำได้ว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเกิดเหตุไฟไหม้บ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านที่ไม่ใช่คนจีนออกมายืนหน้าบ้านตะโกนเรียกให้คนช่วย เสียงดังไปทั้งหมู่บ้านก็ว่าได้
“เรียกคนมาช่วยไม่เหมือนโวยวายอย่างไรครับ”
ไกรสมเกาหัวก่อนกล่าวอย่างขอไปที หารู้ไม่ว่าเป็นการบ่มเพาะนิสัยบางประการให้ลูกชาย
“ไม่เหมือนสิวะ เรียกคนมาช่วยก็เรียกไปสิ แต่พวกเจ๊กมันเรียกไปมันก็โอดครวญไปด้วย ร้องหาเง็กเซียนฮ่องเต้อะไรของมันนี่แหละ”
“ใครครับพ่อ”
“ข้าจะไปรู้หรือ รู้แต่ว่าเป็นเทพเจ้าของพวกเจ๊กมัน เอ็งไม่ต้องสนใจหรอก เอ้าพูดถึงเจ้าก็ต้องสำนวนนี้ เจ๊กไหว้เจ้า”
“แปลว่าอะไรครับ”
“เอ็งคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เด็กชายภูมิชัยขมวดคิ้วก่อนตอบอย่างรู้จักคิด “เจ๊กก็ไหว้พระใช่ไหมครับ”
ไกรสมส่ายหน้า “ไม่ใช่โว้ย แต่หมายความว่าพวกเจ๊กมันเรื่องมาก พวกมันไหว้เจ้าปีละหลายครั้ง ทั้งวันตรุษวันสารท ไหว้แต่ละทีก็เตรียมของอย่างกับกลัวคนไม่รู้ว่ามีอันจะกิน ทั้งผลไม้ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ ปูปลากุ้งหอย ของสดของแห้ง เหล้ายาปลาปิ้ง บางทีมีทั้งไหว้ตอนเช้า ไหว้ตอนสาย ไหว้ตอนบ่าย ไหว้ตอนค่ำ ประสาเจ๊กนั่นแหละ ชอบทำอะไรเอิกเกริก โอ้อวด”
“อวดเจ้าหรือครับ”
“อวดใครข้าไม่รู้ จะอวดเจ้าหรืออวดคนมันก็คืออวดนั่นแหละ เอ็งไม่ต้องถามมาก อ่านสำนวนต่อไปสิ”
ไกรสมชี้ประโยคบนกระดาน เด็กชายภูมิชัยอ่านเสียงใส “ไทยปาเรือนเจ๊ก ไม่ถูกเด็กเล็ก ไม่ต้องปรับไหม”
ไกรสมยิ้มเย็นก่อนอธิบาย “สำนวนนี้เตือนพวกเจ๊กว่ามาอาศัยแผ่นดินคนอื่นอยู่ก็ต้องรู้จักยอมๆกันบ้าง เวลามีคนหมั่นไส้มากๆแล้วเอาหินปาบ้านมัน มันก็ต้องอดทน มันต้องยอม”
แววตาใสของเด็กสิบสองขวบเริ่มแสดงให้เห็นถึงการซึมซับบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนแววตาบิดา ก่อนกล่าวเสียงสนุก
“เอาหินปาบ้านเจ๊กได้ไม่มีใครว่า เย้”
ไกรสมหัวเราะชอบใจก่อนกล่าว
“แต่เอ็งต้องรีบวิ่งหนีนะโว้ย เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“อ้าว ก็พ่อบอกว่าเจ๊กมันต้องยอม”
“มันยอมให้หลวงโว้ย แต่ไม่ยอมเอ็งหรอก ถ้าเอ็งไม่รีบหนีถูกมันรำมวยจีนใส่หน้าตาจะแหกเอา”
“มวยจีนๆ ไอ้หนุ่มหมัดเมา” เด็กชายร้องลั่นบ้านพร้อมทำท่าแบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์
ไกรสมหัวเราะอีก “ทำซะเหมือนเชียว ว่าแต่เอ็งไม่ต้องไปสนใจหรอกหมัดเมาหมัดหมาของพวกเจ๊กมัน มวยไทยนี่แหละเด็ดสุดแล้ว ไว้โตอีกหน่อยพ่อจะให้ไปเรียน ถ้าโชคดีได้เป็นแชมป์ละเอ็งเอ๊ย เงินรางวัลมากพอซื้อรถซื้อบ้านได้เชียวละ”
เด็กชายภูมิชัยยิ้มแป้น กล่าวเสียงดังว่าอยากเป็นเหมือนนักมวยไทยชื่อดังคนหนึ่งที่รู้จักกันทั้งประเทศ ได้เป็นแชมป์โลกและได้เงินกับของรางวัลมากมาย
ไกรสมพยักหน้าช้าๆอย่างพอใจก่อนกล่าว “เอาละ พอได้แล้วเอ็ง อย่าเพิ่งฝันกลางวัน อ่านสำนวนต่อไปสิ”
เด็กชายภูมิชัยมองกระดานไม่นานก็อ่าน “เจ๊กจีนใหม่”
ไกรสมลูบหัวลูกชายก่อนอธิบาย “แปลว่าพวกเจ๊กที่ชอบทำตัวรุ่มร่าม ไม่รู้มารยาท ไม่รู้กาลเทศะ”
เด็กชายภูมิชัยเอียงคอทันที “คืออะไรครับ”
ไกรสมนิ่งไปอึดใจก่อนอธิบายให้ลูกชายเห็นภาพ “พวกเจ๊กมันไหว้ไม่เป็นไง ไหว้มือกาง นิ้วแต่ละนิ้วห่างกันเป็นวา หรือไม่ก็ทำปลกๆเหมือนไก่คุ้ยดิน เอ็งเคยเห็นหรือเปล่า”
เด็กชายส่ายหน้าทันที
“อืม” ไกรสมเหลือกตามองเพดาน พยายามใช้ความรู้ที่มีอยู่จำกัดอธิบายสำนวนนี้ “ถ้างั้นก็หมายถึงพวกเจ๊กที่ชอบพูดแทรก ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ นั่งยองๆไหว้พระ เวลาเจอผู้หญิงสวยๆก็พยายามถูกเนื้อต้องตัว นี่แหละทำตัวรุ่มร่าม”
เด็กชายภูมิชัยยิ้มแป้น “อ๋อ เหมือนพี่ข้างบ้าน”
ไกรสมรู้ดีว่าลูกชายหมายถึงลูกชายคนโตของเพื่อนบ้านผู้ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้ประตูดิน ชอบหาโอกาสถูกเนื้อต้องตัวสาว เคยถูกตบจนเป็นเรื่องเป็นราวฉาวโฉ่ไปทั้งหมู่บ้านมาแล้ว แต่เนื่องจากเพื่อนบ้านคนนี้เป็นไทยแท้ เขาไม่อยากให้ลูกชายสับสนจึงกล่าว
“ไม่ใช่โว้ย อย่างพี่คนนี้เขาเรียกว่าเจ้าชู้ไก่แจ้ ไม่หล่อจริงทำไม่ได้นะเอ็ง สาวๆชอบอีกต่างหาก แต่เจ๊กจีนใหม่คือพวกไม่รู้กาลเทศะ เอ็งเข้าใจคำนี้ไหม”
ท่าทางของบิดาทำให้ภูมิชัยตอบทันทีอย่างตรงข้ามกับความรู้สึก “เข้าใจครับ”
“ใกล้จะหมดแล้ว เหลืออีกสองอัน เอ็งอ่านอันก่อนสุดท้ายสิ”
เด็กชายภูมิชัยทำตามอย่างรวดเร็วเพราะอยากออกไปวิ่งเล่นเต็มที “ตีหัวหมาปาหัวเจ๊ก”
ไกรสมยิ้มบางๆ กล่าวอย่างคนรู้ไม่จริง “สำนวนนี้เหมือนปาบ้านเจ๊กแหละ แปลว่าพวกเจ๊กมันหงอ มันไม่มีพิษสง มันไม่มีทางสู้ เราทำอะไรมันก็ได้ เหมือนตีหัวหมานั่นแหละ”
เด็กชายภูมิชัยขมวดคิ้ว นึกถึงภาพยนตร์เรื่องโปรดขึ้นมาทันที “แล้วไอ้หนุ่มหมัดเมาล่ะพ่อ”
“หมัดเมาอีกแล้ว เอ็งนี่ นั่นมันหนังที่พวกเจ๊กทำขึ้นมาเพื่อให้ดูว่าเป็นมวย แถมโกยเงินได้อีก เอ็งไม่ต้องไปสนใจหรอก คนเมาที่ไหนสู้คนได้วะ ถูกกระทืบตายละไม่ว่า”
“สู้แบบเมาๆไงพ่อ” กล่าวแล้วเด็กชายภูมิชัยทำท่าเดิมแบบที่จำมาจากภาพยนตร์
ไกรสมชักฉุน “ไอ้ลูกชาย ที่ข้าสอนก็เพื่อให้เอ็งเกลียดเจ๊ก เอ็งไม่ต้องสงสัยอะไรมาก แค่เกลียดเจ๊กก็พอแล้ว”
เด็กชายภูมิชัยหยุดทำท่าไอ้หนุ่มหมัดเมา จ้องตาบิดาก่อนถาม “ทำไมต้องเกลียดเจ๊กครับ”
“เพราะเจ๊กมันชอบเอาเปรียบ”
ไกรสมตอบแค่นั้นโดยไม่ยอมอธิบายด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอาย พ่อเขาและตัวเขาล้วนเคยเสียทรัพย์ให้แก่คนไทยเชื้อสายจีน ถึงขนาดทำให้แทบสิ้นเนื้อประดาตัว
พ่อของเขาเคยมีนาหลายสิบไร่ แต่เสียพนันจึงเอาไปจำนองกับเถ้าแก่คนหนึ่ง เพื่อนำเงินมาชำระหนี้พนัน เมื่อครบกำหนดเวลาก็มีเงินไปไถ่ถอนได้เพียงครึ่งเดียว อ้อนวอนอย่างไรเถ้าแก่ก็ไม่ยอมผ่อนผันให้ จึงเสียที่นาซึ่งเป็นมรดกของบรรพบุรุษไปครึ่งหนึ่ง
ครั้นถึงรุ่นเขาประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย แม้ได้มรดกเป็นที่ดินผืนนี้ แต่ไกรสมก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ไกรสมไม่เล่นพนัน แต่เขาใช้เงินเกินตัว ทำนาขายข้าวได้แต่ละครั้งก็หมดไปกับการกินดื่มกับเพื่อนฝูง ลืมไปว่ามีค่าใช้จ่ายอื่นๆรออยู่
เมียออกลูกทีเขาก็กู้เงิน
ลูกเข้าโรงเรียนทีเขาก็กู้เงิน
ทำนาทีเขาก็กู้เงิน
เคยมีพายุพัดหลังคาบ้านเปิดไปทั้งหมดเขาก็กู้เงินมาซ่อมแซม
นอกจากนี้ยังกู้ยืมอีกครั้งละไม่มากแต่หลายครั้ง รู้ตัวอีกทีก็เป็นหนี้ก้อนใหญ่ พอดีกับปีนั้นฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล แล้งจนต้นขาวแห้งตายคานา เขาจึงตัดสินใจขายที่นาทั้งหมดให้แก่เจ้าของโรงสีซึ่งเป็นคนจีน ด้วยราคาที่เขาเห็นว่าเอาเปรียบกันอย่างยิ่ง แต่ไม่มีทางเลือกเพราะเป็นคนเดียวที่กล้าซื้อที่นาไร้อนาคตของเขา
ไกรสมนำเงินที่เหลือจากการใช้หนี้ซื้อตึกแถวในตลาด สิบกว่าปีที่แล้วยังเป็นตลาดขนาดเล็กและวังเวง เน้นขายผักสดผลไม้ให้แม่บ้านในตอนเช้าตรู่ก็วายไปตอนใกล้เที่ยง ราคาตึกแถวจึงต่ำพอที่เขาจะซื้อได้ ไกรสมรู้ดีว่าภรรยาของเขามีฝีมือทำอาหารระดับขายได้ จึงทำร้านข้าวราดแกง ช่วงแรกมีกับข้าวสองหรือสามอย่างตามความต้องการลูกค้า จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเพิ่มเป็นสิบอย่าง มีลูกค้าหลากหลาย ทั้งแม่บ้าน พ่อบ้าน ข้าราชการ ลูกจ้าง และคนขับรถสารพัดประเภท
จากชาวนาในหมู่บ้านตั้งอยู่ในที่โล่งกว้าง เขาต้องใช้ชีวิตในอาคารพาณิชย์ย่านตลาดประจำอำเภอเมือง แม้กำไรจากการขายข้าวแกงทำให้เขาสามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบายๆ แต่ความเกลียดชังคนไทยเชื้อสายจีนในใจของไกรสมก็ไม่เคยลดลงแม้แต่นิดเดียว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เขาพยายามถ่ายทอดความรู้สึกนี้ไปสู่ทายาทเพียงคนเดียวอีกด้วย
“เอาละ สำนวนสุดท้ายแล้วไอ้ภูมิ” ไกรสมหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวเน้นเสียง “ใจเจ๊ก”