รู้จักเกาหลีเหนือ & เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
เห็นตอนนี้ใครๆก็อินอยู่กับ เกาหลีเหนือ
จากกระทู้แนะนำของคุณ Suez (ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากๆชอบมากๆเลย)
เลยนำความรู้เกี่ยวกับประเทศเกาหลีเหนือมาฝากกันค่ะ
โดยข้อความทั้งหมด นำมาจากเว็บต่างๆนะคะ
จะลงเครดิตให้ทุกบทความค่ะ ขอบคุณค่ะ
ก่อนจะไปอ่านเรื่องราวคุกลับของเกาหลีเหนือ มาอ่านเกร็ดความรู้กันก่อนเล็กน้อยค่ะ เพื่อให้รู้จักประเทศเกาหลีเหนือมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/
รู้จักเกาหลีเหนือ*
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือชื่อโดยทั่วไปว่า เกาหลีเหนือ เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก กินพื้นที่ครึ่งเหนือของคาบสมุทรเกาหลี เมืองหลวงและนครใหญ่สุดคือ เปียงยาง เขตปลอดทหารเกาหลีเป็นเขตกันชนระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ แม่น้ำอัมนอคหรือยาลู และตูเมนเป็นพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน แม่น้ำตูเมนส่วนที่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพรมแดนกับรัสเซีย
คาบสมุทรเกาหลีถูกปกครองโดยจักรวรรดิเกาหลีเรื่อยมากระทั่งถูกผนวกเข้ากับญี่ปุ่นหลังสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น พ.ศ. 2448 และถูกแบ่งเป็นเขตยึดครองโซเวียตและอเมริกาใน พ.ศ. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เกาหลีเหนือปฏิเสธจะเข้าร่วมการเลือกตั้งที่สหประชาชาติอำนวยการ ซึ่งจัดในทางใต้ใน พ.ศ. 2491 และนำไปสู่การสถาปนารัฐบาลเกาหลีแยกในเขตยึดครองทั้งสอง ทั้งเกาหลีเหนือและใต้ต่างอ้างอธิปไตยเหนือคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด และนำไปสู่สงครามเกาหลีใน พ.ศ. 2493 ความตกลงสงบศึกชั่วคราว พ.ศ. 2496 ยุติการสู้รบ อย่างไรก็ดี ทั้งสองยังถือว่าอยู่ในภาวะสงครามต่อกันอย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่มีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ทั้งสองรัฐได้รับการยอมรับเข้าสู่สหประชาชาติใน พ.ศ. 2534
เกาหลีเหนือเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้สหแนวร่วมนำโดยพรรคกรรมกรเกาหลี รัฐบาลของประเทศเจริญตามอุดมการณ์จูเช่ (Juche) ว่าด้วยการพึ่งพาตนเอง พัฒนาโดยประธานาธิบดีของประเทศ คิม อิลซอง หลังเขาถึงแก่อสัญกรรม คิม อิลซองถูกประกาศให้เป็นประธานาธิบดีตลอดกาลของประเทศ จูเชกลายมาเป็นอุดมการณ์ของรัฐอย่างเป็นทางการ เมื่อประเทศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2515 แม้คิม อิลซองจะใช้ร่างเป็นนโยบายอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2498 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายครั้ง ได้เกิดทุพภิกขภัยขึ้น เป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวิตถึงระหว่าง 9 แสนถึง 2 ล้านคนโดยเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ ผู้นำ คิม จองอิลประกาศใช้นโยบายซอนกุน (Songon) หรือ "ทหารมาก่อน" เพื่อเสริมสร้างประเทศและรัฐบาล
องค์การต่างชาติหลายแห่งอธิบายเกาหลีเหนือว่าเป็นเผด็จการลัทธิสตาลินเบ็ดเสร็จ โดยมีลัทธิบูชาบุคคลประณีตรอบครอบครัวคิมและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบันทึกสิทธิมนุษยชนต่ำที่สุดในโลก รัฐบาลเกาหลีเหนือปฏิเสธความเชื่อมโยงนี้ เกาหลีเหนือเป็นชาติติดอาวุธมากที่สุดของโลก โดยมีกำลังพลประจำการ สำรองและกึ่งทหารรวม 9,495,000 นาย ทั้งเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีโครงการอวกาศที่ยังดำเนินอยู่
ปล. ไม่ทราบว่าใครคือผู้เขียนที่แท้จริง แต่เราเอามาจากเว็บ
http://atcloud.com/stories/95880 ขอบคุณมากค่ะ
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้คุมและนักโทษที่หลบหนีมายังเกาหลีเหนือได้สำเร็จ
เกาหลี เหนือเป็นประเทศที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ลึกลับทั้งจากข้างนอกและภายนอก เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด ห้ามบุคคลใดๆ ภายนอกเข้ามา ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น งานเทศกาล หรือผู้นำอนุญาต
เกาหลี เหนือขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุด ในโลก รายงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เรามักได้ยินข่าวการทรมาน การจับอดอาหาร การประหารชีวิต การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การบังคับให้ทำแท้ง การฆ่าเด็กทารก การจับคนบริสุทธิ์ด้วยข้อหาเล็กๆ น้อย โดยไม่มีการไต่สวน
แต่ ที่น่ากลัวที่สุดคือค่ายกักกัน(รู้จักในนาม GULAG) ค่ายกักกันเหล่านี้พูดซะเพราะ แต่หลายคนเรียกมันว่านรกบนดิน ขนาดของมันพอๆ กับเมืองเล็กๆ แต่ละแห่งจะมีคน 5,000- 50,000 คนล่าสุด แต่ถ้าเอามารวมกันจะมียอดนักโทษถึง 150,000-200,000 คนทีเดียว
นัก โทษในนิคมนี้ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ครอบครัวเจ้าของที่ดิน นายทุน สายลับ(ที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า) ผู้สนับสนุนเกาหลีใต้ คริสเตียน นักรณรงค์ศาสนา และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง คนที่ทำผิดเหล่านี้ต้องถูกส่งตัวเข้าค่ายกักกังแล้วแต่ความผิดที่ได้รับ บางคน 10 ปี บางคน 3 เดือน หรือบางคนตลอดชีวิตก็ยังมี แต่ขอบอกว่าเพียงแค่คุณเห็นสภาพคุกและความเป็นอยู่ของนักโทษเหล่านี้ขอบอก เลยว่า”อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว”, “โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย”
มี บางคนเถียงว่า “พวกนั้นทำผิดเองนี้ช่วยไม่ได้” ก็ขอตอบเลยว่า คดีต่างๆ ของนักโทษที่จองจำค่ายกักกันนั้น กระบวนการตัดสินส่วนใหญ่ไม่เป็นธรรม หลายคนที่รอดจากค่ายนี้ได้บอกว่าหลายคนโดนขังคุกแห่งนี้ด้วยข้อเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำรูปผู้นำเปื้อน ฉีกขาด, ทำผลผลิตไม่ตรงเป้าหมาย, โดนใส่ร้าย ฯลฯ แต่กรณีที่เลวร้ายกว่านั้นคือโนจำคุกทั้งครอบครัว ทั้ง พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย ลูก โดนหมด
เรื่อง ราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช้เรื่องเกิดขึ้นในอดีต และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด ย้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะผู้นำมองนักโทษเหล่านั้นไม่ใช้มนุษย์ ต่ำยิ่งกว่าสัตว์ เลยมีการสร้างคุกนรกนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนหวาดกลัว และเมื่อมีผู้หลบหนีและเล่าเรื่องราวเหล่านี้ฟัง โลกถึงกับช็อกเรื่องที่คนเหล่านี้เล่า จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง โอเวอร์ไปหรือเปล่า อีกทั้งรัฐบาลเกาหลีมักปฏิเสธว่าประเทศของตนไม่มีค่ายนรกแห่งนี้ แต่จากหลักฐาน จากการเขียนผังภาพ และเอามาเปรียบเทียบ กับภาพถ่ายทางอากาศ ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง!!
คนเหล่านี้ด้วยทุกข์ทรมาน บางคนตายอย่างน่าสมเพส ในคุกแห่งนั้น เชื่อหรือไม่จนบัดนี้คุกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น อดีตจะเป็นอย่างไรก็เป็นแบบนั้น...!!
สิ่ง ที่เป็นจุดเด่นของคุกนรกแห่งนี้คือ อาหาร ไม่ใช้อาหารห่วยแต่อย่างใด แต่ไม่มีอาหารเลยต่างหาก เพราะอาหารที่ให้น้อยมากๆ เพราะประเทศเกาหลีเหนืออาหารขาดแคลนอย่างรุนแรงทั้งประเทศ มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แล้ว ดังนั้นนักโทษส่วนมากมักตายเพราะขาดอาหาร บางคนต้องกินเศษอาหารหมูเพื่อเอาชีวิตรอด(ถ้าจับได้จะโดนยิง) หนูเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ
สำหรับชาวเกาหลีเหนือที่อพยพมา ไทยนั้น ปัจจุบันมียอดประมาณ 1000 คน ซึ่งส่วนมากไทยมักทำจับกุม แต่ไม่ส่งไปเกาหลีเหนือแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลไทยรู้ดีถ้าส่งประเทศนี้ละก็ซะตากรรมของผู้อพยพนั้นต้องรับคือ อะไร
และนี้คือ 5 เรื่องจริงสุดโหดของเกาหลีเหนือ ถ้าคุณอ่านครบ 5ตอน แล้วไม่เชื่อหรือเวอร์เกินไปก็ลองไปดูกูเกิลดูนะครับ (ภาพการ์ตูนมาจากการวาดของผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือ)
อันดับ5 ชีวิตนักโทษในค่ายกักกันที่ทุกคนต้องเจอ (ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)
รายงานคร่าวๆ ที่ออกมาเราสามารถแบ่งประเภทของค่ายกักกัง 2 แบบคือ
KWAN-LI-SO
KWAN-LI-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต (บางครั้งโดนจับคุมขังทั้ง 3 ชั่วคน คือ ปู่ พ่อ ลูกเลย) โดยไม่มีการไต่สวนคดี สถานที่ลักษณะนี้มี 6 หรือ 7 แห่งซึ่งใหญ่โต ทุกคนต้องทำงานหนัก และได้รับอาหารต่ำกว่าที่จะพอยังชีพ ขอบอกว่า อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ตายซะดีกว่าที่จะอยู่ตลอดชีวิต
KYO-HWA-SO
KYO-HWA-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง และนักโทษคดีอาญาปกติ โดยมีโทษจำคุกไม่ตลอดชีวิต ฟังดูอาจดีกว่าประเภทแรก แต่อัตราการตายสูงมาก จนถือกันว่าเป็นคุกแรงงานมรณะ เพราะมักตายก่อนครบโทษ นอกจากนี้ก็มีศูนย์กักกันพิเศษและคุกประเภทแยกย่อยต่างๆ ที่โหดร้ายทารุณอีกมากมาย มีทั้งคุกเฉพาะสำหรับผู้ที่พยายามหนีไปจีนและถูกส่งกลับมา
คุกแต่ละ แห่งนั้นมีจุดเหมือนกันคือ ทั้งหมดตั้งอยู่พื้นที่ทุรกันดาน ห่างไกลจากความเจริญ ระบบการรักษาความปลอดภัยสุดยอดมาก คือมีการรักษาความปลอดภัยประตูเข้าออกอย่างแน่นหนา และมีรั้วไฟฟ้าสูงประมาณ 2.5 เมตร ล้อมรอบ นอกรั้วมีหลุมพรางที่ตกลงไปจะเจอกับดักขนเม่น หมอนหนาม ส่วนประกอบของค่ายกักกันก็เหมือนกันคือมีโรงงาน ห้องคุมขัง(นรก) หอคอย คอกหมู เรือนพัก ฯลฯ
นอกจากนี้จุดที่เหมือนกันคือ สภาพความเป็นอยู่แสนสกปรก กลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อาหารที่ให้ ค่อนข้างน้อยมาก(ประกอบด้วยซุปเกลือ ข้าวโพดหักๆ สำหรับเลี้ยงสัตว์มากกว่าเลี้ยงคน ส่งผลให้นักโทษต้องหาอาหารเองไม่ว่าจะต้องกิน หนู หนอน กินโคลน เพื่อประทังชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือมีนโยบาลควบคุมนักโทษโดยการอดอาหาร
โดย ทั่วไปนักโทษจะอยู่ในกระต๊อบที่สร้างอย่างหยาบๆ ทำจากดินเหนียวและมีหลังคามุงหญ้าคา ทำให้มันไม่มั่นคงจนมองดูเหมือนว่ามันจะถล่มมาได้ทุกเมื่อ ต้องใช้ไม้ค้ำยันไว้ตลอดเวลาและต่ำมากจนมองจากระยะไกลหรือมุมสูงไม่ค่อยเห็น ถ้าจะเปรียบเทียบละก็เหมือนหมู่บ้านขอทาน มันห่วยกว่าโรงวัวหรือคอกหมู สภาพน่าอนาถจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือทางเข้าอันไหนคือหน้าต่าง มีรูเต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่าหีบปากเพลง(Harmonica)
กระต๊อบ บางหลังใช้เป็นเป็นที่อยู่ของครอบครัว บางกระต๊อบใช้สำหรับกลุ่มนักโทษหญิง ส่วนของนักโทษชายโสดจะอยู่อย่างแออัดเต็มไปด้วยแมลง ทำให้ที่นั้นเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นักโทษชายต้องนอนแออัดในห้อง 6x5 เมตรถึง 80-90 คน ที่นั้นเต็มไปด้วยตัวหมัด นอนบนพื้น เบียดเสียดกัน หัวไปทาง เท้าไปทาง ทำให้นักโทษบางคนต้องดมกลิ่นเท้าของคนอื่นที่เหม็นอย่างร้ายกาจ ยิ่งเป็นฤดูหนาวยิ่งทรมาน นักโทษต้องอาศัยไออุ่นจากเพื่อนนักโทษเพื่อสู้ไอหนาวที่เข้ามาพื้นห้อง แม้แต่ฤดูร้อนห้องเหล่านี้ยิ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของนักโทษ
อีกกระต๊อบ หนึ่งก็มีไว้สำหรับนักโทษที่ทรมานจากโรคต่างๆ เช่นโรคตับอักเสบ โรคเรื้อน โรคทางจิตประสาท อันเป็นผลจากการขาดอาหารและถูกซ้อม มันเป็นกระท่อมเล็กๆ บนภูเขาที่ล้อมรวบด้วยรั่วหนามเหล็กสูง เหมือนเล้าไก่มากกว่า ไม่มีการรักษาการแพทย์ใดๆ พวกเขาถูกทิ้งไว้ที่นั้นเพื่อรอความตายเท่านั้น และไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้รอดชีวิตจากที่นั้นเลยสักราย
ยิ่ง กว่า ของใช้ประจำวันของนักโทษจะขาดแคลนมาก เช่น รองเท้า และเสื้อผ้า ซึ่งหนึ่งคนจะได้เพียงอย่างละชิ้นเท่านั้น ถ้ามันพังหรือหายไม่มีเปลี่ยนให้ ทำให้นักโทษเหล่านี้แก้ปัญหาโดยขโมยเศษกระสอบหรือเศษผ้ามาปะเสื้อผ้าขาดวิ่ง ของพวกเขา บางครั้งถึงขั้นแย่งเสื้อผ้าจากซากศพคนตาย ซึ่งถ้าเกิดผู้คุมจับตายถึงขั้นประหารชีวิตทันที
ส่วน ลักษณะของผู้คุม นอกเหนือผู้คุมจะแต่งตัวเป็นเครื่องแบบราชการแล้ว ผู้คุมจะสวมหน้ากากตลอดเวลา และอยู่ห่างๆ จากนักโทษเพื่อหลบกลิ่นเหม็น และที่ค่ายกักกันยังมีธรรมเนียมอย่างคือเวลาผู้คุมเรียกนักโทษ นักโทษต้องรีบวิ่งไปหาและคุกเข่าพร้อมก้นศีรษะ นักโทษทำได้แต่ตอบคำถามเท่านั้น ห้ามพูดนอกเหนืออะไรจากนี้ หากตอบช้าหรือเคลื่อนไหวเจ้า นักโทษจะถูกหีบที่หน้าหรือหน้าอก
ผู้ คุมได้รับคำสั่งให้ปฏิบัตินักโทษอย่างไร้ความปราณี เสมือนผู้คุมเป็นสัตว์เดรัจฉานและผู้พิพากษาที่ลงโทษตามใจชอบ ยิ่งกว่านั้นผู้คุมจะได้รับอำนาจสังหารนักโทษที่ใดก็ได้ เมื่อใดก็ได้ ข้อหาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนรายงานหรือรับผิดชอบ(โดยมากคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุม ต้องทำหน้าที่ตลอดชีวิต ห้ามลาออกหรือย้ายไปไหน เนื่องจากรัฐบาลกลัวว่าผู้คุมเหล่านั้นจะเอาเรื่องนี้ไปแฉให้คนภายนอกทราบ)
ทุกๆ วันจะมีตอนขานชื่อเช้าและเย็น ซึ่งตอนเย็นนั้นถือได้ว่าเป็นเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด นักโทษต่างเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปขานชื่อ บางคนต้องคลานไปจุดขานชื่อ นักโทษจะถูกควบคุมไม่ให้สื่อสารกับใคร ไม่ให้เขียนหรือรับจดหมายกันโดยไม่มีข้อยกเว้น
และเมื่อ ถึงวันสิ้นปี เมื่อถึงเที่ยงคืนเป็นต้นไป นักโทษทุกคนต้องโค้งคำนับ “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่” และผู้นำอันเป็นที่รัก”(คิมจองฮิวและบุตรชาย) สำหรับนักโทษแล้วช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งนรก เพราะพวกเขาทำงานหนักทั้งวันจนสายตัวแทบขาด อยากนอนหลับเพื่อเก็บพลังเอาไว้อยู่รอด แต่ต้องตื่นมาเที่ยงคืนเดินทางไปที่สำนักงานเพื่อโค้งคำนับผู้นำในวาระปี ใหม่ ซึ่งเป็นสภาพไม่น่าดูมาก เพราะนักโทษต้องต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งตอนเช้าพวกเขาต้องกลับมาที่นี้อีกครั้งเพื่อฟังบันทึกและต้องจำโอวาท ปีใหม่ของผู้นำ ซึ่งถ้าใครจำไม่ได้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
และนี้คือกฎระเบียบในค่าย(นิคม)กักกันในเกาหลีเหนือ(ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)
1.ถ้าหนีจะถูกยิงทิ้งทันที
2.ห้ามชุมนุมเกิน 3 คน
3.ห้ามขโมยของจะถูกยิงทิ้ง
4.ถ้านักโทษแสดงไม่พอใจแก่ผู้คุมจะต้องโดนยิงทิ้ง
5.นักโทษต่อต้านผู้คุมไม่ได้
6.ชายและหญิงห้ามสัมผัสกันโดยไม่รับอนุญาต จะถูกยิงทิ้ง
7.ฯลฯ
มีคนถามมาว่ารู้ทั้งรู้ว่าผู้นำเกาหลีเหนือมันเลว ชั่ว ค่ายนรก แต่ทำไมไม่มีการปฏิวัติเกาหลีเหนือ
ก่อน อื่นเราต้องเข้าใจเกาหลีเหนือก่อน เกาหลีเหนือไม่เหมือนพม่า,อิรัก, โบลิเวีย ที่มีชนกลุ่มน้อยต่างๆ อาศัยอยู่ และเปิดพอสมควร แต่เกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด และประชาชนและทหารถูกล้างสมองตั้งแต่สมัยพ่อของคิม จอง อิล แล้ว มีการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับตัวผู้นำ ระบอบ ตลอดเวลา ทุกวัน ว่าผู้นำดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทีวีทุกช่องมีแต่รายการสรรเสริญและข่าวของผู้นำแทบทั้งนั้น แทบไม่มีรายการอย่างอื่นเลย ซึ่งทำให้เป็นตัวปลูกฝังให้ประชาชนรักผู้นำจนฝังลึก
-ชาว เกาหลีเหนือนั้นจะมองท่านผู้นำว่าเป็นดั่งทุกๆ สิ่ง มีความสามารถเก่งกาจรอบด้าน ถ้าไม่มีผู้นำประเทศจะล้มสลาย ผู้นำคือเจ้าชีวิตของเรา (ความจริงแล้วมีการแฉว่า คิม จอง อิล เอาเงินภาษีประชาชากร ไปซื้อรถนอกราคาแพงนับสิบๆ คัน มีหนังต่างประเทศนับหมื่นชุด ทั้งๆ ที่เป็นหนังอเมริกา และเป็นผู้นำเข้าคอนยัคเฮเนสซี่อันดับ1ของโลก และอาหารชั้นเลิศอื่นๆ ทั้งๆที่ประชาชนในประเทศอดอยาก)
-ผู้นำเอาความกลัวเป็นเครื่องมือ ควบคุมสำหรับผู้ที่คิดต่าง เช่นบอกว่าอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นประเทศป่าเถื่อน นิสัยไม่ดี จ้องแต่ฆ่าชนชาวเกาหลีเหนือตลอดเวลา อย่าไปยุ่งกับมัน ใครคิดเข้าข้างไม่เห็นด้วยก็โดนขังคุก หรือยิงทิ้ง ถ้าใครทำผิดซักคนครอบครัวก็โดนด้วย
-ผู้นำใช้โฆษณาให้ประชาชนเห็นว่าระบอบการประเทศดี
-ประชาชน มองท่านเป็นที่เคารพห้ามมิให้ใครหน้าไหนมาว่าวิจารณ์รวมถึงพูดในทางไม่ดีไม่ ได้ ห้ามวิจารณ์นโยบายการทำงานของรัฐเด็ดขาด ไม่งั้นอาจมีโทษถึงตาย
-การ กระทำหรือตัดสินใจต่างๆ ของท่านผู้นำล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะดำเนินนโยบายผิดพลาดเพียงใดก็ตาม จะโกง จะกินบ้านกินเมือง จะเอาเงินไปบำรุงสุขก็ไม่มีใครว่า ตรูจะทำสักอย่างมีอะไรไหม
-แม้จะ มีคนต่อต้านแต่จะเอาอะไรไปสู้ มีด เสียม เหรอ ในขณะที่กองทัพของเกาหลีของคิม จอง อิล ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งติดอันดับโลก คุณจะใช้มีด เสียมสู้กับทหารเหล่านี้เหรอ
-ประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดติดอันดับโลก คุณจะเอาเงินที่ไหนไปปลุกระดม ไม่ใช้เสื้อสีต่างๆ ในบางประเทศสักหน่อย
-หรือ จะรอให้ทหารมาปฏิวัติเหรอ ทหารของคิม จอง อิล ถูกปลูกฝังจนฝังลึกเรียบร้อยตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่มีความคิดหักหลังผู้นำแต่อย่างใด อีกทั้งอาชีพนี้ดีที่สุดในประเทศแล้ว ถ้าขาดผู้นำพวกเขาก็อยู่ไม่ได้สิ
-อาชีพที่ประชานฮิตในประเทศนี้คือการเป็นคือทหาร
-เกาหลี เหนือมีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 4 ของไทย มีประชาชนประมาณ 24 ล้านคน (เกาหลีใต้ 50 ล้านคน) จำนวนนี้คิดหรือว่าจะมีสักกี่คนต่อต้านผู้นำ
-เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์
-รัฐ เข้ามาจุ้นจ้านจัดการกับวิถีชีวิตของเอกชนทุกอย่าง(เช่น คุณต้องเกิดต้องคลอดที่ไหน คุณต้องเรียนอะไร คุณต้องโตขึ้นไปเป็นใคร คุณต้องแต่งงานกับใคร)
-ชาวเกาหลีเหนือไม่มีทางรับรู้โลกภายนอกเลย ทำให้คิดว่าทุกอย่างในเกาหลีเหนือดีที่สุด ดังนั้น คนเกาหลีเหนือจึงไม่เคยรู้ว่า มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์แล้ว ไม่รู้จักเลยว่า ไมเคิล แจ็คสัน เปเล่ แบ็คแฮม อินเตอร์เน็ต ตุ๊ด เกย์ เลสเบียน คืออะไร
-สำหรับ ค่ายนรกก็มีกรณีต่อต้านเหมือนกันในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 นักโทษการเมืองที่ทำงานในเหมืองในนิคมที่ 12 ต่างรับไม่ได้กับการได้รับปฏิบัติอย่างต่ำช้า พวกเขาเลยก่อการจลาจลขึ้น นักโทษทำการซุ่มโจมตีครอบครัวของเจ้าหน้าด้วยพลั่ว ขวานเจาะหิน ท่อนไม้ ขวาน และค้อน ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่ประกอบด้วยภรรยาและลูกๆ ถูกฆ่าตายหลายคน และเมื่อผู้คุมทั้งหลายกับมาที่เกิดเหตุก็ระดมอาวุธยิงใส่ไม่เลือกหน้า ผลคือมีนักโทษตายถึง 5000 คน นักโทษที่เหลือพยายามต่อต้าน แต่ก็สู้พวกผู้คุมไม่ได้ เพราะพวกเขามีทั้งปืนใหญ่ ปืนกล และปืนอาก้า
-การต่อต้านค่ายกักกันทั้งสองเหตุการณ์ ส่งผลให้มีนโยบายคือผู้คุมจะต้องปฏิบัติต่อนักโทษให้หยาบคายขึ้น และมีการยกความเข้มแข็งระบบควบคุมนิยมกักกัน มีการวางกับดักในจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ รวมไปถึงการติดตั้งรวดหนามไฟฟ้าสูง และการนำวิธีการอดอาหารจนหิวโหยและการใช้แรงงานหนักมาใช้เพื่อเป็นหลัก ปฏิบัติมาตรฐานต่อเนื่อง
-มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคล้ายๆ กันในปี 1989 ในนิคมที่ 13 นักโทษหญิงวัย 27 ชื่อ ชอย เป็นนักบัญชี เธอเป็นเครื่องระบายทางเพศสำหรับนาย ชุง ยาง กี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเธอยังเป็นเครื่องระบายางเพศให้ผู้บังคับบัญชาเขาอีกด้วย ดังนั้นมีเหรอว่าลูกผู้หญิงอย่างเธอจะทนไหว วันหนึ่งเธอแอบรอเขาในสำนักงานเขา โดยหวังจะฆ่าเขาและชิงปืนพก แต่ด้วยความที่เธอตื่นเต้นมากเกินไปจึงมีพิรุธ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเห็นเลยเกิดความสงสัย เลยค้นตัวเธอ พบมีดยาว 15 เซนติเมตร ซ่อนในกางเกงของเธอ
เขาเกรี้ยวกราดอย่างมาก และกระหน่ำยิงเธอถึง 7 นัด แบะในปีค.ศ.1990 เจ้าหน้าที่ชุงก็เลื่อนตำแหน่งจากร้อยเอกเป็นพันตรีและโยกย้ายไปประจำการที่ นิคมที่ 16
อันดับ 4 แรงงานนรก
มีคนบอกว่าผลผลิตจากนิคม กักกันและคุกนักโทษการเมืองต่างๆ นั้นเมื่อมารวมกันแล้วจะเท่ากับร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเกาหลีเหนือเลยที่เดียว ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่มันก็แสดงให้เห็นว่านักโทษต้องถูกบังคับให้ทำงานหนักขนาดไหน
นัก โทษต่างๆ ต้องถูกทารุณกรรมใช้แรงงานอย่างหนัก จนหลายคนเสียชีวิตระหว่างทำงาน ไม่มีนักโทษว่างงาน,นักโทษป่วย,นักโทษพิการคนไหนได้รับอาหารเต็มส่วน นอกเสียจากนักโทษคนนั้นต้องทำงานเสร็จตามกำหนดประจำวัน
และ ข้างๆ ตัวนักโทษจะมีผู้คุมในมือถือแส้ที่ทำจากหนังโคและมีหลายอันถูกแขวนบนผนัง กำแพง และถ้านักโทษทำผิดจะถูกเฆี่ยน เตะถีบ และชก บ้างครั้งผู้คุมก็ลงโทษแบบไม่มีเหตุผล นักโทษไม่ได้รับอนุญาตให้พูด หัวเราะ หรือหยุดพัก นอกจากนี้นักโทษจะก้มหน้าก้มตาทำงานในท่าเดียวตลอดเวลา ยืมทั้งวันจนขาอ่อน ผลคือนักโทษหญิงกว่าครึ่งมีสภาพหัวและไหบ่ปูด หลังโกง และพิการ และที่เหลือเชื่ออีกก็คือนักโทษไม่สามารถอนุญาตปัสสาวะหรืออุจจาระในขณะที่ ทำงานได้ เพราะพวกเขาอ้างว่าจะทำให้งานขาดความต่อเนื่อง....บางคนต้องตอกประตูจำนวน มหาศาลส่งผลให้นิ้วมือของนักโทษต่างหงิกงอไม่ได้รูปและหยาบกร้าน
นอก จากนั้นกลิ่นในที่ทำงานจะเหม็นสุดๆ เนื่องจากนักโทษได้รับอนุญาตอาบน้ำปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้ทุกคนมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ ที่ทำงานตลบอบอวลด้วยกลิ่นสาบของเหงื่อ
บ่อยครั้งที่นักโทษเผลอหลับ ในขณะทำงานและต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเข็มแทงที่มือในขณะเย็บผ้า เขาก็ได้แต่เอาน้ำมันเครื่องจักรใส่แผลและทำงานต่อไป
การทำงานในเหมืองนั้นจะทำ ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 3 กะ การระบายอากาศในปล่องและควบคุมความปลอดภัยนั้นแย่มากๆ จนมีนักโทษบาดเจ็บเสียชีวิต เนื่องจากนักโทษนั้นมีรูปร่างเตี้ยเกินไปเขาจึงต้องปีนขึ้นไปบนล้อเลื่อน เพื่อเทถ่านหินลงไป หลายครั้ง ด้วยความหมดแรง นักโทษก็พลันตกไปในกระบะพร้อมกับถ่านหินและเสียชีวิตในนั้น เหมืองอยู่ในสภาพเปราะบางอย่างยิ่ง จนมันเหมือนกับระเบิดเวลาที่พร้อมระเบิดทุกเมื่อก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามในเมื่อมันเป็นงาน นักโทษหลายพันคนจึงถูกบังคับให้เข้าไปทำงานในปล่องแร่โดยไม่รู้ว่ามันจะถล่ม หรือระเบิดเมื่อไหร่
โรง งานนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายและยากลำบากที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับผู้หญิง การผลิตยางนั้นเขาจะผสมยางเก่าเข้ากับเม็ดยางและผสมเข้ากับกาวยางที่มาจาก ถังขนาดใหญ่ที่มีไอกาวพิษฟุ้งกระจายซึ่งเคยมีนักโทษหญิงคนหนึ่งศีรษะเธอเต็ม ไปด้วยกาวยางขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดถังกาวยาว จนในที่สุดเธอก็ตาย
นอก จากนี้ส่วนผสมข้นเหนียวในถังที่ล้นออกมา พวกผู้หญิงต้องดันมันกลับเข้าไปในถัง มันเป็นงานที่แสนลำบากของผู้หญิงอย่างมาก ทำให้หิวโหยและอ่อนแอ หลายครั้งส่วนผสมที่ข้นเหนียวนั้นกลับดึงเอาคนงานตกลงไปในถังและเสียชีวิต และในที่สุดทางเจ้าหน้าที่คุกก็ออกกฎใหม่ใช้แรงงานชายแทนผู้หญิงในปี ค.ศ.1989 แต่ถึงอย่างไรที่นั้นก็ยังเป็นนรกไม่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากอากาศจะทำให้เกิดฟองในยาง โรงงานจึงปิดสนิทตลอดปี ทำให้ภายในเกิดไอร้อนมากๆ ซึ่งมันอึดอัดและทำให้หายใจไม่ออก
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1993 เกิดไฟไหม้ขึ้นในปล่องขุดแร่ในเหมืองแร่ที่นิคม 22 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ระเบิดทางเข้าปล่องขุดแร่ไดนาไมต์เพื่อควบ คุมเพลิง ทำให้นักโทษราว 50 ชีวิตถูกทิ้งไว้ภายในรอความตาย และหลังจากเหตุการณ์นั้นสงบ พวกเขาก็ฝังศพนั้นบนหลุมใหญ่ๆ โดยไม่มีการไว้อาลัย ไม่มีป้ายบ่บอก ไม่การอาลัยหรือพิธีศพ พวกเขาถูกฝังเฉดเช่นศพไร้ญาติไม่ปาน
การ ขนมูล ส่วนมากเป็นงานผู้สูงอายุ หรือพวกที่จัดในกลุ่ม “ไร้ประสิทธิภาพ” งานหลักของการขนมูลคือ การรวบรวมมูลจากถังส้วมของคุก และขนไปเทลงบ่อมูลขนาดใหญ่ๆ ทุกวัน เพื่อเตรียมไว้ใช้เป็นปุ๋ยทำการเพาะปลูกในแปลงของคุกซึ่งอยู่นอกกำแพงคุก (จากภาพจะเห็นว่ามีผู้คุมถืออาวุธขู่อยู่ใกล้ๆ)
กลุ่มขนมูลนั้นจะ เป็นหญิงชรากลุ่มละ 5 คน ซึ่งทั้งหมดต้องลากถังโลหะหนักกว่า 800 กิโลกรัม และนักโทษหญิงสองคนจะถูกใช้ให้ลุยบ่อมูลระดับลูกถึงหัวเข่าซึ่งอยู่ในห้อง ส้วม และตักมูลด้วยมือเปล่า(ย้ำ...มือเปล่าไม่สวมถุงมือแต่อย่างใด) และนำไปใส่ถังขนาด 20 ลิตร ในขณะที่ผู้หญิงอีก 3 คนจะดึงถังขึ้นไปข้างบนและเทมูลไปในบ่อใหญ่
บ่อยครั้งที่นักโทษที่ ชักถังขึ้นไปจะหมดแรงและถูกน้ำหนักของถังดึงตกลงไปในบ่อที่เต็มไปด้วยมูล เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ในปี 1991 ในวันที่ฝนตก แม่บ้านจากเปียงยางคนหนึ่งชื่อ นางลี ออค ทัน ทำหน้าที่ขนมูลทุกวัน และเธอก็พร้อมที่จะชักลากมูลไปที่บ่อใหญ่ แต่ฝาของถังซึ่งอยู่บนล้อเกิดติดขัดและเปิดไม่ได้ เธอจึงปีนขึ้นไปบนถังเพื่อเปิดฝา แต่เนื่องจากฝาถังเปียกฝน เธอจึงลื่นตกลงไปในบ่อมูล มันลึกมากจนเธอค่อยๆ จมหายไปในมูล ผู้คุมที่อยู่ห่างออกไป(เพราะเหม็นกลิ่นนักโทษ) ตะโกนว่า “หยุด! ปล่อยให้มันตายอย่างงั้นแหละ ถ้าแกไม่อยากตายอย่างมัน!!”และแม่บ้านคนนั้นก็ตายที่บ่อมูลแห่งนั้นในที่สุด
งานในฤดูหนาว
อุณหภูมิ เฉลี่ยในฤดูหนาวในเดือนกันยายนที่นิคมกักกันจะมีอยู่ประมาณ -20 ถึง -30 องศา เซลเซียส เนินเขาและทุ่งนารอบๆ ล้วนปกคลุมด้วยหิมะ งานส่วนใหญ่ในฤดูนี้จะเป็นการวางฐานรากสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งกำเนิดใช้ในฤดูใบไม้ผลิถัดไป ทุกเช้านักโทษตะทำการทุบน้ำแข็งบนผิวแม่น้ำลงไปแม่น้ำ และหมายตำแหน่งที่ก้นแม่น้ำด้วยหินขนาดใหญ่ โดยไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยแต่อย่างใด เครื่องมือเท่าที่มีมีแค่พลั่ว ขวานหิน และขวานด้านยาวเก่าๆ เท่านั้น นักโทษจะต้องถอดเสื้อออกลงไปในแม่น้ำโดยสวมเพียงแค่กางเกง และต้องทำงานในแม่น้ำนั้น 7 ชั่วโมง แน่นอนอากาศแบบนั้นอาจทำให้หลายคนช็อกตาย ขาชาและแขนชาจนขยับไม่ได้ และถ้าใครหยุดทำงานผู้คุมจะซ้อมนักโทษอย่างทารุณหรือกดหัวนักโทษลงไปแม่น้ำ จนขาดอากาศตาย แต่ถ้าใครรอดไปได้ก็อาจผจญกับอาการหิมะความเย็นกัดนิ้วเท้าและมือจนบวมเจ็บ ปวดอย่างรุนแรง จนแทบนอนหลับไม่ได้ การดูแลทางการแพทย์ก็ไม่มี
บางครั้ง เพลิงไหม้ก็ไม่ได้เกิดที่โกดัง บางครั้งมันก็เกิดที่ภูเขา ผู้คุมจึงสั่งให้นักโทษใช้เท้ากระโดดย้ำไฟไปๆ มา และผู้คุมจะมองดูนักโทษพวกนั้นอย่างสนุกสนาน ซึ่งกว่าที่ไฟจะดับก็ปาไป 7-8 ชั่วโมง ซึ่งเวลานั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นทางตายของนักโทษ นักโทษยางคนล้มลงเพราะอ่อนล้าหิวโหยเพราะไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน หลายคนมีไฟติดที่เสื้อแต่ก็ยังกระโดดต่อไป นักโทษบางคนมีไฟลุกติดแบะตระโกนร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาเพื่อ ให้ไฟดับ พวกผู้คุมก็เอาแต่มองไม่ช่วยเหลือ
ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดที่เสียใจหรือแสดงท่าทีสำนึกผิดที่เห็นศพนักโทษที่โดนเผาเหล่านั้น และมีบางครั้งพวกเขากลับหัวเราะในสิ่งที่เห็น “ดูสิ! มันเหมือนหมูย่างเลย จริงไหม?”
แรง งานเด็ก ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง คนแก่ผู้หญิง ล้วนทำงานหนักทั้งสิ้น เด็กก็เช่นกัน พวกเขามักทำงานหนักทุกวัน และงานส่วนใหญ่ล้วนเกิดแรงงานเด็กทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทำสวน ขนดินที่มีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม ,แบกฟืนหนัก 20-30 กิโลกรัม ในขณะที่เด็กที่ทำงานมีอายุเพียง 10 ขวบ และต้องแบกดินถึง 6-30 เที่ยวต่อวัน ถ้าเด็กคนไหนเหนื่อยขอพักหรือหมดแรงจะถูกผู้คุมซ้อมและอาจซ้อมถึงตาย
โดย ธรรมชาติของงานเหล่านี้ นักโทษมากมายจะเสียชีวิตระหว่างทำงาน อย่างไรก็ตาม คนที่ตายก็จะถูกทดแทนนักโทษใหม่เพื่อทำการผลิตตามเป้าหมายที่ต้องการ
งาน ก่อสร้างใหญ่ นักโทษการเมืองจะถูกเกณฑ์เพื่อสร้าง “การก่อสร้างใหญ่” เป็นโครงการพิเศษ เช่น โรงงานปรมาณูลับ อุโมงค์ หรือห้องปฏิบัติการชีวิภาพมนุษย์ และใครก็ตามที่ถูกเกณฑ์ทำงานเหล่านี้จะไม่มีทางรอดชีวิตกับไปเล่าให้คนอื่น ได้ฟังอีกเลย
และพวกศพนักโทษที่ตายเพราะทำงานหนักเหล่านี้ถูกนำไป ไว้ที่ไหนเหรอ มีรายงานเล่าว่าศพนักโทษเหล่านี้บางส่วนถูกนำไปฝังไว้ใต้ต้นไม้ในสวนผลไม้ ของคุก(แอปเปิล ลูกแพร์ ลูกท้อ เกาลัด และลูกไหน) ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่ามีผลขนาดใหญ่และรสชาติหอมหวาน ผลไม้เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พรรคระดับ อาวุโสเท่านั้น
คลิปประกอบจากมื้อดึกสยองขวัญ