มาร์ลอน แบรนโด บุรุษเกรียนอมตะ
มาร์ลอน แบรนโด นี่เห็นแกเล่นบทเจ้าพ่อใหญ่ใจนิ่งใน The Godfather สมจริงขนาดนี้ ตัวจริงๆของแกนี่เรียกได้ว่าเกรียนบรรลัยไส้เลยนะพ่อคนนี้ เริ่มจากตอนประถมนี่พี่สาวต้องเอาเชือกจูงหมาล่ามเพื่อลาก ด.ช.มาร์ลอน ไปโรงเรียนเพราะเขาไม่ยอมไป พอย่างเข้าสู่มัธยมแกก็เกเรไม่รงไม่เรียนแม่งแล้ว ไปเป็นกรรมกรดีกว่า(ความจริงพ่อของเขาจับไปเป็นกรรมกรแบบไม่เต็มใจนัก)
.
ด้วยความที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อตามประสาเด็กวัยรุ่น ไอ้หนุ่มมาร์ลอน ก็ตัดสินใจออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า มีแค่หน้าหล่อๆกับมาดเท่ๆที่ติดตัว เรียกได้ว่ามีดีแค่นี้จริงๆ แล้วเขาก็ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไอ้หนุ่มมาร์ลอนพาตัวเองเข้าไปในโรงเรียนการแสดง เพราะเขาคิดแล้วว่าการเป็นดารานี่แหละที่จะทำให้เขาโด่งดังและมีเงินทองเหลือเฟือ ก็จริงที่ดวงไอ้หนุ่นนี่กำลังมาแรง
.
แต่เขาดันไม่เปลี่ยนสันดานไง พฤติกรรมแย่ๆเวลาร่วมงานแสดงกับคนอื่น อย่างเช่น เขากำลังเศร้ากันอยู่กับบทบาทของนางเอกบนละครเวที ไอ้นี่ก็ทะลึ่งไปยืนหลังนางเอกทำท่าทำทางทะเล้นจนคนดูฮาแตก ตอนแสดงหนังใหญ่ก็ไปแซวนางเอกว่า " เธอๆ ขนจมูกเธอจะทิ่มหน้าฉันอยู่แล้ว " สร้างความวุ่นวายโกลาหลไปทั้งกองถ่าย เพราะนางเอกก็อีโก้เยอะเหมือนกัน
.
มาร์ลอน แบรนโด จึงเป็นดาราที่ถูกตั้งโจทย์ไว้ว่า หากผู้สร้างผู้กำกับคนไหนอยากลองของ ให้เรียกใช้บริการเขาเลย แล้วก็เสือกมีคนชอบลองของเสียด้วย มันจะเกรียนแค่ไหนกันวะไอ้ห่านี่ สุดท้ายก็ปวดหัวมันทุกราย เจอฤทธิ์เดชไอ้เกรียนมาร์ลอนเข้าไป แต่มันก็เป็นเอกลักษณ์เด่นชัดว่า ถ้าอยากได้พระเอกที่ออกแนวจิ๊กโก๋สักคน ก็ต้องเรียกใช้บริการ มาร์ลอน แบรนโด เพราะสาวๆยุคนั้นกรี๊ดมากกับมาด แบดบอย ของเขา
.
แต่เชื่อเหอะ ขนาดสาวๆที่กรี๊ดกันแทบแตก แทบพัง ทุกครั้งที่ มาร์ลอน ปรากฏตัว เขาก็มักทำพฤติกรรมแย่ๆใส่สาวๆพวกนั้นเสมอๆ ประมาณว่ากูไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่พวกใฝ่ฝันหรอกสัส กูก็คือกู บางครั้งในงานต่างๆผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือ มาร์รอน แบรนโด เพราะเขามักปรากฏตัวในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆเป็นที่อนาถใจต่อผู้พบเห็นโดยเฉพาะสาวๆแม่ยกทั้งหลาย ถุย! กูนึกว่าจะเป็นเทพบุตร
.
มาร์ลอน ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักกับผลงานในยุคหลังๆ เพราะพฤติกรรมแย่ๆในกองถ่าย และในที่สาธารณะ แต่จริงๆหนังที่เขาเล่นถ้าไม่นับรวมพฤติกรรมส่วนตัวต้องยอมรับว่ามีแต่งานที่เป็นระดับมาสเตอร์พีชทั้งนั้น แต่ดันไม่ทำเงินเพราะเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ จนกระทั่งวัยของเขาล่วงเลยสู่วัยกลางคน
.
จุดเปลี่ยนที่แท้จริงก็เมื่อเขาได้อ่านบทหนังอย่าง The Godfather แล้วชอบมาก เขาพยายามเจรจาให้ตัวเองรับบท ดอน วีโต้ คอลีโอเน่ อยู่นานแต่ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า ไม่อยากเสี่ยง เรียกได้ว่าแม้จะเริ่มแก่แล้วแต่กิติศัพท์ความเกรียนยังไม่ลดละ มาร์ลอน ก็ตื๊อไม่เลิกเหมือนกัน เขาบอกว่าบทนี้มันถูกเขียนมาเพื่อเขา
.
มีดาราหลายคนที่ถูกวางตัวในบทนี้ ต่างก็แย่งชิงบทนี้กันเหมือนจะรู้กันโดยทั่วว่าหากได้เล่น The Godfather มันจะทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะบนโลกแห่งแผ่นฟิล์มไปชั่วกัปชั่วกัลป์ คนแล้วคนเล่าที่เข้าไปแคสติ้งบท ก็ไม่ถูกใจผู้สร้างเสียที จนกระทั่ง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า ต้องยอมเรียกตัว มาร์ลอน แบรนโด เข้ามาทดสอบบทในที่สุด
.
ในตอนแคสติ้ง มาร์ลอน โวยวายขอให้ทีมงานหาสำลีมาให้ ไม่งั้นเขาจะไม่ยอมแคสเด็ดขาด เดือดร้อนต้องวิ่งหาสำลีมาให้วุ่นไปหมด เมื่อได้สำลีตามต้องการ มาร์ลอน ยัดสำลีก้อนโตใส่ไว้ที่กระพุ้งแก้ม เขาดูแก่ลงขึ้นทันตา แล้วเขาก็เริ่มพูดด้วยเสียงแหบแห้งตามบทของ ดอน วีโต้ คอลีโอเน่ มาเฟียอิตาเลี่ยน และนั่นเองทำให้เขาได้บทนั้นไปแบบไร้ข้อกังขา ชนิดที่ว่าสะใจ มาร์ลอน แบรนโด จริงๆ เพราะ ผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า ไม่เคยให้ราคาเขาเลยในทีแรก
.
แต่ ในขณะถ่ายทำ The Godfather ลายของ มาร์ลอน ก็เริ่มออกลายเกรียน เมื่อเขาไม่ยอมท่องบทหนังเลย เขามั่นใจในการด้นสดของตนเองมาก จนทีมงานต้องแอบเอาบทพูดไปวางไว้บนโต๊ะบ้าง วางไว้บนจานผลไม้บ้าง หรือเขียนใส่กระดานเพื่อชูให้เขาเห็นหลังกล้องบ้าง นั่นเองจึงทำให้บท ดอน วีโต้ คอลีโอ ออกมาเป็นอย่างที่เห็น คือมีส่วนผสมของการด้นสด กับ การท่องจำบท โดยที่คนดูไม่รู้เลยว่า มาร์ลอน แบรนโด ต่อต้านบทพูดเชยๆของบทหนังต้นฉบับแค่ไหน เขาจึงไม่ยอมเล่นตามบทต้นฉบับ
.
สุดท้ายแล้ว มาร์ลอน แบรนโด คว้าออสก้าร์จากบทนี้ และปฏิเสธการขึ้นรับรางวัล โดยส่งคนอินเดียนแดงชื่อ ชาชีน ลิตเติลเฟทเธอร์ ขึ้นไปพูดเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อคนอินเดียนแดงของอเมริกา
มันคือการเอาคืนแบบเกรียนๆอีกเช่นเคย ซึ่งการปฏิเสธเข้าร่วมงานออสก้าร์ครั้งนั้นเพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้เขาจะได้ออสก้าร์จากหนังเรื่องนี้ แต่ให้ไปยืนปั้นหน้าแสดงความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ กับ คนทำบทหนังที่เขาไม่ได้ท่องตาม 100% เขาทำไม่ได้ บทพูดจากหนังต้นฉบับมันทำให้ ดอน วีโต้ คอลีโอ เป็นได้แค่เจ้าพ่อขี้โมโห แต่เขาเพิ่มความลุ่มลึกลงไปในบทนี้จึงได้ออสก้าร์ ในตอนที่เขาด้นสด ไม่เอาตามบท มีแต่คนไม่เห็นด้วย หนักเข้าก็ขอเปลี่ยนตัวให้คนอื่นมาเล่นแทน แต่พอได้ออสก้าร์ขึ้นมาจะมานั่งปั้นหน้าดีใจร่วมกัน มันไม่ใช่ เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น และการให้สาวอินเดียนแดงขึ้นไปพูดดูเหมือนจะมีประโยชน์กว่า ความจริงคำแถลงการที่มาร์ลอนเขียนให้เธอพูดมีความยาวร่วม 15 หน้ากระดาษ แต่ถูกผู้จัดห้ามไว้ เธอจึงได้มาอ่านในตอนแถลงข่าวแทน
.
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องบอกว่า เป็นคนที่บ้าดีจริงๆ เรียกได้ว่าจะให้รักก็รักไม่ลง จะให้เกลียดเขาก็ดูเหมือนจะดีงามเกินกว่าจะเกลียดได้ นี่แหละความเป็น มาร์ลอน แบรนโด ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ถูกจดจำในฐานะ ดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งบนโลกภาพยนตร์