ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือเครื่องมือพัฒนาประชาธิปไตย
หาก คสช. ต้องการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่แท้ หนทางสำคัญที่จะทำได้ก็คือการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ประชาชนจำนวนมากยังไม่เข้าใจภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และไม่ว่าภาษีอะไร หลายคนก็อาจส่ายหัวไว้ก่อน เพราะไม่มีใครอยากจะเสีย เพราะคิดว่าจะเป็นการสูญเปล่า และยังอาจถูกนำไปใช้อย่างทุจริตอีกต่างหาก แต่ผมขอยืนยันว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ ดีจริง ๆ มีแต่ได้กับได้ เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่เป็นโทษแก่ใครเลย
ภาษีนี้เก็บมาเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นโดยตรง โดยอาจนำมาใช้พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ฯลฯ ยิ่งเก็บภาษีได้มากเท่าไหร่ ท้องถิ่นยิ่งเจริญ ทำให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น พอท้องถิ่นนั้นเจริญ มูลค่าทรัพย์สินก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เจ้าของที่ดินก็ได้ประโยชน์ เข้าทำนอง “ยิ่งให้ ยิ่งได้” และเมื่อมีภาษีนี้แล้ว ภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมก็จะได้รับการยกเลิก คือ ภาษีโรงเรือนซึ่งจัดเก็บ ณ อัตรา 12.5% ของค่าเช่า และภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งจัดเก็บจากฐานราคาปานกลางของที่ดินปี 2521-2524 (ไม่เคยปรับปรุงให้ท้นสมัยอีกเลยนับแต่นั้นมา)
ภาระภาษีนี้ก็แสนจะต่ำ เช่น คน ๆ หนึ่งมีบ้านราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 0.1% หรือปีละเพียง 1,000 บาท แต่เมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา ราคาบ้านก็สามารถเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 3% ต่อปี หรือปีละ 30,000 บาท บางคนอาจมีห้องชุดราคาเพียง 300,000 บาท ต้องเสียภาษี 0.1% หรือปีละ 300 บาท (น้อยกว่าเงินทำสังฆทานเสียอีก) เราจึงควรรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเสียภาษีนี้
ประชาชนไม่พึงหลงกับการยกเว้นภาษีใด ๆ เพราะการยกเว้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และอาจทำให้เกิดกรทุจริตได้ ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านหลังหนึ่งมีราคา 500,000 บาท หากเสียภาษี 0.1% ก็เป็นเงินเพียง 500 บาทต่อปี หรือเดือนละ 42 บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะเสียอีก ในแต่ละปีแม้แต่รถจักรยานยนต์คันละ 10,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีคันละ 100 บาท หรือ 1% แล้ว
ความพยายามในการลดโน่นนี่นั้นแท้จริงแล้วหวังช่วยคนรวยมากกว่า โดยเฉพาะในกรณีที่ดินว่างเปล่า ที่เพดาน 4% ก็ลดลงเหลือ 2% สมมติมีที่ดินว่างเปล่าใจกลางเมือง 1,000 ตารางวา ๆ ละ 200,000 บาท เป็นเงิน 200 ล้านบาท หากไม่ใช้ประโยชน์อย่างยาวนาน ก็จะต้องเสียภาษีถึง 4% หรือปีละ 8 ล้านบาท ก็ลดลงเหลือ 4 ล้านบาท เป็นต้น การลดภาษีนี้จึงมุ่งช่วยคนรวย ๆ เท่านั้น แต่เพียงเอาคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากมาอ้าง เพื่อหาความชอบธรรมในการลดภาษีช่วยคนรวยเป็นสำคัญ
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่งเสริมประชาธิปไตยจริงๆ เป็นเงินภาษีที่จัดเก็บและใช้ภายในท้องถิ่น ไม่ผ่านรัฐบาลส่วนกลาง และโดยที่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บได้ จะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนจึงรู้สึกเป็นเจ้าของภาษี เมื่อประชาชนในท้องถิ่นเห็นศักยภาพของตนเองในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อตนเองจากภาษีของตน คนดี ๆ ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาในท้องถิ่นก็จะอาสามาทำงานเพื่อส่วนรวมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมารัฐบาลจัดเก็บภาษีในท้องถิ่นได้เพียง 10% ที่เหลือเป็นเงินช่วยเหลือจากส่วนกลาง ประการหนึ่ง ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโกงได้เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เงินของตนเอง จึงเกิดอาการ "วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง" และอีกประการหนึ่งทำให้ส่วนกลางสามารถควบคุมส่วนท้องถิ่นได้ ทำให้ไม่เป็นประชาธิปไตย อันตรายของการไม่มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็คือ รัฐบาลก็อาจหาทางจัดเก็บภาษีทางด้านอื่นโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเมื่อเก็บแล้วก็เข้าสู่ส่วนกลางทั้งที่ผู้ซื้อสินค้าอยู่ในท้องถิ่นทั้งหลายเอง
เราจึงควรมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อทะลายวงจรอุบาทว์ของการโกงและสร้างสรรค์ประชาธิปไตยบนหนทางอิสระสร้างสรรค์ขึ้นในประเทศไทยอย่างแท้จริง