เคยมียานพาหนะะที่บินได้ในสมัยโบราณจริงหรือ??
โพสท์โดย กำปวงปั๊วะทม
เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เป้นรูปแสดงถึงวัตถุประหลาด
ซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์
จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??
หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย
มีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the
Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศก
กลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้
เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน
“บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา
เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ
เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุด
ที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)
เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้
ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้าง
ยานอวกาศที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างดวงดาวได้!!
ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima)
ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force)
จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือพลัง ลากิมะนี้
สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้
ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขาเรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้าน
แรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักรของพระรามอยู่
อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดีย
ซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบคู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน
อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า
เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities) ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะ
ที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)
“มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”
จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!
ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ
มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)
ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!
ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษ
ที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง
การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”
นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง
ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้
เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโนถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน
และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก
ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)
เป็นสารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้
เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้
นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ
ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลมโดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อน
คล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่า
ยานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา
จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม (Roaring Flame)
นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน”
ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรณ์” ที่เป็นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม
โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้
พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมาแล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า
“ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า
ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้
ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”
คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลักฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)”
เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ
ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ
ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้
ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครองโลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)
ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)”และยังบอกว่าชาวแอตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็น
ที่ชื่นชอบการทำสงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า
รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก
เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000 ปีก่อน
ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัว
ติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า
บางตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า
“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับ
มีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพันดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง....
....ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ
และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้
ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย”
นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!
และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร
เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่
นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย
เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไรก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึก
ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสองพันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้
ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของพระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน
ว่ากันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหน
สักแห่งในทิเบตหรือเจกลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญ
กันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO
ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อเก็บเรื่องราวลึกลับและ
วิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธ
ทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต
นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า
โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและอินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยัน
แล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ในโครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา
ทางด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น
เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ
ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้
ปิดท้ายด้วย OOPARTS ที่เกี่ยวข้องกับยานบินยุคโบราณนะครับ
ซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์
จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??
หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย
มีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the
Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศก
กลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้
เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน
“บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา
เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ
เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุด
ที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)
เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้
ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้าง
ยานอวกาศที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างดวงดาวได้!!
ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima)
ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force)
จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือพลัง ลากิมะนี้
สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้
ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขาเรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้าน
แรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักรของพระรามอยู่
อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดีย
ซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบคู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน
อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า
เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities) ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะ
ที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)
“มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”
จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!
ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ
มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)
ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!
ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษ
ที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง
การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”
นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง
ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้
เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโนถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน
และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก
ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)
เป็นสารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้
เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้
นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ
ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลมโดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อน
คล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่า
ยานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา
จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม (Roaring Flame)
นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน”
ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรณ์” ที่เป็นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม
โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้
พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมาแล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า
“ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า
ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้
ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”
คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลักฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)”
เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ
ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ
ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้
ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครองโลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)
ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)”และยังบอกว่าชาวแอตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็น
ที่ชื่นชอบการทำสงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า
รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก
เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000 ปีก่อน
ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัว
ติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า
บางตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า
“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับ
มีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพันดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง....
....ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ
และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้
ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย”
นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!
และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร
เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่
นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย
เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไรก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึก
ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสองพันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้
ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของพระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน
ว่ากันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหน
สักแห่งในทิเบตหรือเจกลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญ
กันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO
ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อเก็บเรื่องราวลึกลับและ
วิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธ
ทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต
นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า
โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและอินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยัน
แล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ในโครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา
ทางด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น
เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ
ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้
ปิดท้ายด้วย OOPARTS ที่เกี่ยวข้องกับยานบินยุคโบราณนะครับ
คานติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิซา มีภาพประติมากรรม
ยานลึกลับปรากฏอยู่
และนี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง พบในเม็กซิโก
อันนี้เป็นศิลปะเม็กซิกันโบราณ เป็นภาพยานพาหนะของเทพเจ้าครับ ถูกค้นพบเมื่อปี1898ในสุสานใกล้กับเมืองกีซา
ซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ200ปีก่อนคริสตกาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี แต่ที่จริงแล้ว200ปีนี่แหละ)
ความยาวตลอดตัวประมาณ14เซนติเมตร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธพันธ์กรุงไคโร
ในครั้งแรกนักโบราณคดีลงความเห็นว่าเป็นเพียงงานฝีมือธรรมดาจึงถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินและไม่ได้รับความสนใจนัก
หากภายหลังมีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำปีกเครื่องบิน
และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก
เอาล่ะ รู้สึกว่าอียิปต์โบราณมีเครื่องบินกันขึ้นมาจริงๆรึยัง เวลาไปดูตามหนังสือหรือเว็บต่างๆ เขามักจะชอบลงรูปแถวๆนี้
โปรดสังเกตว่าต้องเป็นรูปจากมุมด้านหลังเสียส่วนใหญ่ ทำไมหรือ? เพราะถ้าลงรูปนี้ ความก็แตกสิ
กล่าวกันว่า ในตอนแรกโมเดลนี้ถูกนำมาโชว์ในตู้กระจกและมีผู้เข้าชมเป็นแถวยาวล้นหลาม หากไม่นานนักคนก็ห่างหายไป
จนถูกเก็บลงจากตู้โชว์ในที่สุด
ซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ200ปีก่อนคริสตกาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี แต่ที่จริงแล้ว200ปีนี่แหละ)
ความยาวตลอดตัวประมาณ14เซนติเมตร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธพันธ์กรุงไคโร
ในครั้งแรกนักโบราณคดีลงความเห็นว่าเป็นเพียงงานฝีมือธรรมดาจึงถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินและไม่ได้รับความสนใจนัก
หากภายหลังมีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำปีกเครื่องบิน
และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก
เอาล่ะ รู้สึกว่าอียิปต์โบราณมีเครื่องบินกันขึ้นมาจริงๆรึยัง เวลาไปดูตามหนังสือหรือเว็บต่างๆ เขามักจะชอบลงรูปแถวๆนี้
โปรดสังเกตว่าต้องเป็นรูปจากมุมด้านหลังเสียส่วนใหญ่ ทำไมหรือ? เพราะถ้าลงรูปนี้ ความก็แตกสิ
กล่าวกันว่า ในตอนแรกโมเดลนี้ถูกนำมาโชว์ในตู้กระจกและมีผู้เข้าชมเป็นแถวยาวล้นหลาม หากไม่นานนักคนก็ห่างหายไป
จนถูกเก็บลงจากตู้โชว์ในที่สุด
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
52 VOTES (4/5 จาก 13 คน)
VOTED: โยนี หมีระบม, fujita, เหอๆๆๆ, makhamdong, ซาอิ, Somphop PuPae, Betatia, pornpot, AdamS JaideE, zerotype
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ปิดตำนานไร่ชื่อดังที่วังน้ำเขียว ลานกางเต็นท์ยอดนิยมได้ประกาศหยุดดำเนินการแล้วเลขเด็ด เลขมาเเรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.18" งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567หน้าหนาวนี้...เที่ยวเลยไหม! ไปเลย เที่ยวที่ไหน ไปดูกันรวมเลขเด็ด! หวยแม่จำเนียร งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สิงโตคู่หนึ่งซั่มกัน อย่างไม่แคร์สายตาฝูงควาย ที่ยืนดูอยู่กัน จอมพลัง ไม่ทอดทิ้ง! เร่งเข้าช่วย อินฟลูเอนเซอร์ มอสเจีย หลังจากที่พี่เลี้ยงชาวพม่าทำให้ลูกเกิดอุบัติเหตุ นอนรักษาตัวในห้อง ICUแอนนา ยอมรับสภาพคดีฉ้อโกง ศาลสั่งจำคุกกว่า 100 ปี พร้อมฝากคำขอโทษผู้เสียหายกระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ทำความรู้จักประกันรถยนต์ชั้น 1 คืออะไร? คุ้มครองอะไรบ้าง?ปลานกแก้วสีน้ำเงิน (Blue Parrotfish) ปลาที่สวยงามอีกหนึ่งสายพันธุ์ กับคุณค่าที่คู่ควรอนุรักษ์ไว้ให้อยู่คู่ท้องทะเลส่องไทม์ไลน์ แจกเงิน 10,000 บาท เงินดิจิทัลเฟส 2-3 ใครได้เมื่อไหร่เช็กที่นี่รู้หรือไม่ว่า พิสตาชิโอ (Pistachio) นั้นไม่ใช่ถั่ว แท้จริงแล้วมันคือ . . .