เมื่อน้องหมาอายุ 16 ยังไม่ตาย น้องยงยุดของแม่
สวัสดีค่ะ เรื่องที่แอนจี้จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากกระทู้นี้นะคะ
จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่เค้าเป็น Heatstroke ทำให้ตรวจพบเจอโรคหลายอย่าง
http://pantip.com/topic/34250784
ดิฉันก็พยายามรักษาอย่างเต็มที่
โดยตอนนี้ค่าตับ ไต และ อวัยวะภายในโดยรวมดีขึ้นมาก
จะมีก็เพียงค่าของเม็ดเลือดขาวที่สูงผิดปกติ
เพราะเค้าเริ่มมีอาการอักเสบที่ผิวหนังที่เกิดจากแผลกดทับ
ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก ในสุนัขที่มีอายุเยอะๆ และเดินไม่ได้
ช่วงเดือนตุลาคมที่ตั้งกระทู้ก่อนหน้า
ในตอนนั้นยงยุดเริ่มกลับมาเดินได้ นั่งและทรงตัวได้
แต่มีอาการแปลกๆหลายๆอย่างเช่น
เดินวนรอบตัวเอง เกือบจะตลอดเวลา
และวนจนล้มลง มักเดินชนกำแพง ขาโต๊ะ และไม่สามารถลุกขึ้นเองได้
ก็จะใช้ขาหลังไถ จนเกิดบาดแผลตามร่างกาย
วิธีการใส่แพมเพิส ยังคงไม่ประสบความสำเร็จเพราะเค้าจะถีบจนหลุด
และลงท้ายด้วยการนอน จมกองฉี่ตัวเองตลอด ซึ่งอันตรายมาก
เพราะสุนัขอาจมีการติดเชื้อที่ปอด หากอยุ่ในสภาพนั้นเป็นเวลานาน
เริ่มกินข้าวเองไม่ได้ต้องคอยป้อน
และ วิธีการป้อนโง่ๆของแอนจี้ทำให้ถูกยงยุดกัดนิ้วไปหลายครั้ง
ทำให้ต้องใช้เวลาตอนเช้าก่อนไปทำงานกับเค้ามากขึ้น
-----------------
วิถีชีวิต ที่เหมือนจะดีขึ้น ต้องกลับมาอยู่ในภาวะ
เหนื่อยและเครียด เกือบตลอดเวลาอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ตัวของเค้าเริ่มเบี้ยว เหมือนคอบิด
อาการล่าสุด คือเริ่มฉี่บ่อยผิดปกติ
(สังเกตจากภาพเวลานอนต้องมีอะไรคอยอิงตลอดไม่อย่างนั้นคอจะเกร็ง)
--------------------
ตอนนั้นยังคงหาคลินิคแถวบ้านเหมือนเดิม
ซึ่งคุณหมอก็ให้วิตามิน บำรุงประสาท น้ำมันบำรุง และ ยาเม็ดขาวๆ มาทาน
ตอนนั้นดิฉันไม่ได้ถามว่าเป็นยาอะไร หมอเพียงแต่บอกว่าเป็นยาที่ช่วยระงับอาการทางประสาท
ที่จะทำให้ยงยุดไม่ต้องตะกายตลอดเวลา หรือถูไถ จนตัวเป็นแผล
ระยะหลังแอนจี้เริ่มพยายามใช้ชีวิตตามปกติ
ไปวิ่งตามต่างจังหวัดโดยพายงยุดขึ้นรถไปด้วย
------------------------
ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีงานวิ่งเขื่อนขุนด่านที่นครนายก ด้วยระยะการขับรถเพียง 2 ชั่วโมง
ถึงแม้วันนั้นต้องรอสมัคร ท่ามกลางแดดร้อน
ส่งผลให้ยงยุดตัวร้อนและเหนื่อยหอบเป็นพักๆ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา แค่หาที่ใต้ต้นไม้
มีน้ำเย็นๆให้ทาน หาผ้าเย็นๆเช็ดตัว
เค้าก็จะนอนหลับได้อย่างสบายใจ
-------------------------
มีคนถามว่าทำไมไม่พาสุนัขไปฝาก?
ในสภาวะที่ยงยุดป่วยแบบนี้ คลินิคหลายที่ ไม่รับฝากค่ะ
และหลายๆที่ ที่เคยนำไปฝาก ก็ไม่ได้ดูแลยงยุดอย่างใกล้ชิดนัก
เพียงแค่ป้อนข้าวป้อนน้ำ ป้อนยาตามเวลา
ยังไม่รวมที่เคยมีบาดแผล เพราะขาของยงยุด ตกร่อง กรงขัง
ทำให้แอนจี้ตัดสินใจที่จะพายงยุดไปด้วยกัน..
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี
จนกระทั่งแอนจี้วิ่งเสร็จ ก็ซื้อไก่ย่างไปฝากตอนเช้า
พอป้อนเสร็จก็พาเดินทางกลับ และป้อนไก่ที่เหลือให้เค้าทานอีกครั้งในตอนเย็น
ตอนเช้าวันจันทร์ ยงยุดมีอาการท้องเสีย และแอนจี้มีประชุมเช้าที่ลาไม่ได้
จึงป้อนเกลือแร่ ไปก่อน และ คิดว่าจะกลับมาพาไปหาหมอตอนเย็น ..
วันนั้นโชคยังเข้าข้างประชุมเลิกเร็ว เลยรีบออกมาตอนเที่ยง
พบว่ายงยุดยังคงถ่ายไม่หยุด
จึงรีบนำผ้าห่อยงยุด ไปคลินิคเดิมใกล้บ้าน
วันนั้นหมอประจำไม่อยู่ เจอเพียงหมอคนใหม่หน้าไม่คุ้น
พร้อมกับปฏิเสธการรักษา ไม่แม้กระทั่งจะมาจับมาดู
และบอกให้ไปโรงพยาบาลจะดีกว่า เพราะดูท่าทางอาการไม่ดี
ดิฉันจึงรีบนำยงยุดไปคลินิคใหญ่แห่งนึงบริเวณถนนสิรินธร
และต้องทิ้งไว้ 1 คืน หมอบอกว่า ยงยุดอาการไม่ดีเลย มีอาการชักเป็นระยะ
ถึงแม้อาการท้องเสียจะหายไป แต่ก็ยังคงชักอยู่
สรุปนอนไป 1 คืน คิดค่ารักษาไป 4000 พร้อมกับเขียนใบส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเกษตร
แนะนำให้ทำการสแกนสมอง..
ผลเลือด อวัยวะภายในถือว่าปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
และให้ยากันชัก มา 7 เม็ด แต่ยาที่ได้เหมือนกับยาที่คลินิคแถวบ้านให้เป๊ะเลยแฮะ
-----------------------------
เลยตัดสินใจโทรไปคุยกับหมอประจำที่คลินิคเดิมของยงยุด พร้อมถามว่า
ทำไมยาที่จ่ายให้จึงเหมือนกัน หมอบอกว่า หมาอายุมากมักมีอาการทางประสาทเป็นเรื่องปกติ
เมื่อสมองเริ่มเสื่อมจะเสียการควบคุมร่างกายไป ทำให้เกิดอาการชักได้ง่าย
ที่ผ่านมาแอนจี้ก็ไม่เคยคิดว่ายงยุดอาการจะหนักขนาดนี้
คิดว่าแค่เดินไม่ได้เลยตะกุยตะกายธรรมดา แต่ท้องเสียคราวนี้
จึงทำให้ค้นพบว่า อาการทั้งหมดไม่ธรรมดาซะแล้ว
โทรปรึกษาน้องอ้อมในชมรมวิ่งที่เป็น สัตวแพทย์
น้องแนะนำว่า อาการยงยุดอาจจะไม่ได้ดีขึ้นมาก
แต่ที่นั่นน่าจะมียาที่ดีกว่าคลินิคทั่วไป
จึงตัดสินใจพาไปเกษตร เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา
----------------------
ณ โรงพยาบาลสัตว์เกษตร
ถึงโรงพยาบาลเวลา 7.30 ได้บัตรคิวที่ 66
รอประมาณ 4 ชั่วโมงจึงได้ตรวจเวลา 11.30
เกือบไม่ทันรอบเช้า
หลังจากพบหมออายุรกรรม ก็ให้ยามาทานเยอะมาก
เป็นยาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พร้อมกับคิดค่ารักษาไป 800
บอกเลยว่าตอนนั้นตกใจมาก รู้เลยว่า
คลินิคทั้งหมดที่เคยรักษามาคือแพง
แถมยาก็สู้ที่นี่ไม่ได้
และได้ใบนัดหมอระบบประสาท ในวันที่ 24 มีนาคมนี้
มาถึงตอนนี้ ยงยุดอายุ 16 ปีแล้ว ยังทานอาหารได้ตามปกติ
แต่หมอก็บอกว่า อาการทางระบบประสาท หรือ สมองฝ่อ
สามารถส่งผลได้หลายอย่าง
หนึ่งในนั้นคือ เมื่อไหร่ก็ตาม
ที่ประสาทเริ่มไม่สั่งการให้หิวหรือกิน
นั่นคงจะเป็น วาระสุดท้ายจริงๆของเค้า
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีเงิน 20000 กว่า มาทำ MRI เพื่อให้ทราบอาการทางสมอง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถยื้อชีวิตของเค้าให้อยู่ได้นานไปกว่าที่ควรจะเป็น
สิ่งที่แอนจี้ทำได้ตอนนี้คงเป็นการดูแลเรื่องอาหารการกินและความสะอาด
นอกเหนือจากอาหารยา LD ของโรคตับ
ก็เริ่มใส่ใจในอาหารของเค้ามากขึ้น หมออ้อมแนะนำให้ทานปลาน้ำจืด
หลีกเลี่ยง เนื้อหมูไก่ ตับ อาหารที่มีไขมันสูง
ทุกวันอาทิตย์แอนจี้ก็ไปซื้อปลามาต้มแล้วแกะเนื้อเอามาต้มน้ำซุปใส่ข้าวโอ๊ต ฟักทอง
สลับกับผักขมบ้างแล้ว นำมาปั่นให้ละเอียด ป้อนด้วยสลิง
เค้าก็ทานได้เยอะกว่า ตอนยังมีแรงกินเองเสียอีก
ตอนนี้ยงยุดดูมีความสุขกับการกินมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้กินไก่
แบบที่เค้าเคยชอบ แต่ก็มั่นใจว่า อาหารที่เราทำเองกับมือ
ก็น่าจะอร่อยและดีต่อสุขภาพไม่แพ้กัน
ล่าสุดพาเค้าไปวิ่งที่อยุธยามา ช่วงเข็นรถมีลมเย็นๆพัดผ่าน
เค้าก็ดูรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการตะกุยตะกาย
สิ่งที่ยังคงคาใจและเสียดาย คงเป็นเพราะ วันที่เค้ายังมีแรง
แอนจี้ไม่เคยได้พายงยุดออกมาวิ่งข้างนอก
---------------------------
ก็อยากให้คนที่มีน้องหมา ที่ยังแข็งแรง
ได้พาเค้าออกมาวิ่ง มีกิจกรรมดีดีร่วมกัน
เผื่อเอาไว้ให้คิดถึงในวันที่เค้าไม่อยู่แล้ว
ดูแลใส่ใจเรื่องกินให้มาก
บางอย่างที่เค้าชอบแต่ถ้าไม่ดีต่อสุขภาพ
ก็ต้องละเว้น เค้าจะได้อยู่กับเราไปได้นานๆ
ถ้าเค้ามีอาการแปลกๆ อย่ารีรอที่จะพาไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ
อาจจะเสียเวลา แต่มันก็น่าจะดีกว่า ถ้าเราได้มีทางเลือกมากขึ้น
ขอบคุณคำแนะนำดีดีจากพี่นอร่า
และขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ ที่เข้ามาอ่าน