เมื่อฉันลาออกจากงานตอนอายุ 43 โดยไม่มีเงินเก็บไม่มีอะไรทั้งนั้นแล้วเราอยู่ยังไงมาดูกัน
หลายคนอาจจะมองเราว่าเราบ้า เปล่าวะมาลาออกจากงานตอนอายุ 43 กับเงินเดือน 25,000 บาทกับระยะเวลาเกือบ 5 ปี ที่เราทำบริษัทฯ นี้
เราตอบเลย ถ้ามองเผิน ๆ มันบ้ามากสำหรับเศรษฐกิจแบบนี้ ในขนาดที่คนถูกปลดออกไล่ออกกันเป็นแถว แต่เราเลือกที่จะลาออก
แต่คุณเชื่อมั้ยว่าใครไม่เป็นเราก็จะไม่รู้ว่า ทำไม
เราไม่ขอเล่าสาเหตุที่เราออกมาดีกว่า เพื่อให้เกียรติ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด
แต่เราขอมาเล่าประสบการณ์ในการหางานทำตอน อายุ 43 ดีกว่า ว่าเราเจออะไรบ้าง
เริ่มจากเรามั่นใจในตัวเองว่าเราเก่ง เราแน่ ต้องหางานได้แน่ๆ ซินะ ก่อนเราจะออก เราก็มีไปสมัครที่โน่นนี่บ้าง
และทุกที่ที่เราไปสมัคร เรามีหวังว่าจะได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไบเทค หรืองานบริษัท ร้านขนม ที่มีการตลาดกว้างขวาง
หรือแม้กระทั้งบริษัทฯ ที่มีตำแหน่งงานที่เราถนัด แล้วเรามีงานที่ได้แน่นนอนรออยู่แล้วแต่ติดที่มีปัญหาบางประการ
เราจึงไม่ไปทำเรารอลุ้น 3 ที่แรกดีกว่า
เราคิดว่า คงมีสักแห่งที่เราได้เข้าไปทำงาน แต่ทุกที่เงียบกริบ เราเริ่มซักไม่อยากออกและ แล้วก็มีเจ้านายอีกคนมาตื้อให้เราทำต่อ
เฮ้ยเราคุยกันพักใหญ่ สรุปเราอยู่ทำต่อ เราเริ่มเอาเงินที่เก็บไว้จะใช้ตอนออกจากงานมาใช้จ่าย เพราะคิดว่ามีงานทำต่อแล้วคงไม่เดือดร้อนอะไร แต่สุดท้ายแล้ว ฟ้าผ่ากลางหัวเลยคดีพลิก สองวันสุดท้ายก่อนออกจากงาน
เจ้านายคนหนึ่งอยากให้เราอยู่ต่อ อีกคนนึงอยากให้เราออกสุดท้ายเราตัดสินใจ เพื่อความสบายใจทุกฝ่ายเราออก จบ
เราออกมาแบบไฟแลบมากเฮ้ยลำบากเลยทีนี้ ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เหมือนตอนแรก เราเปิดเวบหางาน ไปตามเวบต่างๆ
ซึ่งการหางานสมัยนี้แตกต่างกับสมัยเมื่อ 5 ปี ที่แล้วมากเราว่า 5 ปีที่แล้วมันยากแล้ว ตอนนี้ยากกว่าหลายขุม งานทุกที
บางที่ จ้าง แค่ 9 พัน แต่ทำงานมากมายกว่าน้องเราที่บริษัทฯ ที่ได้ตั้ง 12,000 บาท ++
คิดว่าเราท้อมั้ย เหอะๆ เราไม่ท้อ
พร้อมกับตั้งใจหางานอย่างจริงๆ ด้วยการ walk in ซึ่งเป็นวิธีโบราณมาก
เพราะอะไรเหรอที่เราเลือกวิธีนี้ เพราะเราอายุเยอะไง แต่งานที่เค้ารับตาม เวบ นะเค้ารับ ไม่เกิน 30 หรือแก่สุดๆ ไม่เกิน 35
ดั้งนั้นเราอยากทำเราจึงวัดดวงด้วยการออกไปตะเวนหาเข้าที่บริษัทเลยเผื่อว่าความสามารถเรา จะเข้าตาเข้า และรับเราเข้าทำงาน
เราลืมบอกไปว่าเรา มีหนี้สินติดตัวอยู่ด้วยแสนกว่าบาท
ในเจ็ดวันเราตะเวนสมัครไปตามเวบต่างๆ ที่ประกาศ บางอันลงว่ารับถึงอายุ 45 ค่าจ้าง 15,000 ถึง 18,000 บาท ซึ่งเราอ่านแล้วพบว่าไม่น่าจะเป็นงานขายแบบหลอกขาย แต่แล้วเมื่อไปถึงบริษัทฯ มันดูแปลก มันเหมือนมีการอบรมด้วย พอเข้าไปคุยกับเค้าก็นัดให้เรามาอบรมพรุ่งนี้
เราเริ่ม คิดโดนแน่ กลับบ้านมาค้นเน็ตอีกรอบ เฮ้ยจริงๆ เราเลยไม่ไป
รุ่งอีกวันเราไปสมัครที่เราหมายปองไว้แต่แรก แต่เป็นรอบ 2 ปรากฎว่า เค้ากริ๊ดเราทุกอย่าง แต่มีก็แจ้งเราว่า ทางเค้ายังมีตัวเลือกอีกมาก
คงต้องรอ ประเมินอีก 1 เดือน
เฮ้ยไอ้บริษัทฯ นี้เราผิดหวังกับมันสุด เฟลสุดๆ ทั้งที่เรามั่นใจสุดว่าเราได้แน่นอน แต่ช่างเหอะเราเสียใจแปลบเดียว เราข้ามถนนไปสมัครอีกบริษัทฯ หนึ่ง บริษัทนั้นเป็นบริษัทขายกล้องวงจรผิด สแกนลายนิ้วมือ ตำแหน่งที่เค้ารับคือ call center เราเขียนใบสมัครเสร็จสัมภาษณ์งานเลย
เค้าก็ถามทั่วไปและนัดเรามาเทสวันจันทร์ที่จะถึงนี้ โดยการฝึกงานว่าทำได้มั้ยเป็นเวลา 3 วันกับงาน call center ค่าแรงวันละ 300 บาท
และแล้วเราก็มาค้นอีกว่าเค้าขายกล้องจริงมั้ย ซึ่งผลออกมาว่าไม่เป็นเป็น call center บริษัท ขายกล้อง
แต่เป็น call center แบบ เอ้าซอส ซึ่งอยู่ที่ว่าบริษัทเค้ารับงานจากบริษัทอะไรมา แล้วให้เราทำ
เรากลับมาถามแฟนว่า เอาไงดี แฟนบอกก็ลองทำไปก่อน เพราะยังไม่ได้งาน ซึ่งบริษัท กับบ้านเราไกลพอควรนะ
จากนั้นแฟนเราเอารถไปเข้าศูนย์เรายังไปสมัครงานที่ศูนย์นั้น เหอะๆ ใช้ทุกเวลาคุ้มค่าจริงๆ
แล้วเราก็กลับมานอนนึกว่าเอาไงกับชีวิตดี ไม่ได้งานทำอะ ไอ้ที่ได้ก็ไม่รู้จะดีมั้ย
จากนั้น ตรงนี้ อยากให้ทุกคนอ่านดีๆ นะคะ เผื่อพอเป็นทางเลือกให้ใครหลายๆ คนที่กำลังท้อแท้ เอาตัวรอดเฉพาะหน้าไปได้ก่อน
เราได้งานแบบไม่คิดดีใจเลย 5555 แต่เราไม่เครียดนะ
ทางแก้เราเลยคือเราเริ่มไปเก็บของเหลือใช้ในบ้าน มารวบรวม
จากนั้น เราใส่กระเป๋า
แล้วนั่งวินไปที่ตลาดแถวบ้านเป็นตลาดเช้า เริ่มขายกัน 6 โมงเช้า ตลาดวาย 9 โมง
เราไปถึงตลาดตอน 7 โมง นับว่าไม่สายมากเราเดินหาที่จะวางของขาย
ด้วยความที่เราคนเป็นยิ้มเก่ง หน้าตาเป็นมิตร มีป้าคนหนึ่งขายสลัด อยู่ บอกว่ามาวางตรงนี้ก็ได้หนู
เราดีใจขอบคุณเค้า ใหญ่ เรารีบปูผ้าหวังว่าจะขายได้บ้าง ยังไม่ทันจะจัดของเสร็จเลยมีคนมายืนรอดูของ
ที่เราจะเอาออกมาขายและรอเลือกแค่วางของก็มาเลือกันแล้วยังวางไม่เสร็จเลย
แต่แล้วฝันสลายไปในพริบตา เลือกๆ ปรากฎว่า ไม่เอากัน แล้วเดินจากไป ทำให้เราใจเสีย
เหมือนดีใจสุดขีดแล้วถูกทีบลงเหวเลย รู้มั้ยว่าเราขายแค่ 20 บาทเอง
และในรูปที่เราปูผ้าวางของขาย มีป้าย 20 บาทนั่นแหละ
เราวางของเสร็จแล้ว คนก็ชอบมาคุยกับเรานะ คนแก่เด็กสตรีมีท้อง มายืนคุยเพราะของที่เราขายมีทั้งเสื้อหนาว
ตุ๊กตากระเป๋า เสื้อผ้า และอื่นๆ คนก็มาถามว่า มาขายทำไม ไม่ทำงานเหรอเราบอกว่าเราตกงาน นะคะ
แต่แล้วทุกคนมาเลือกๆ แล้วไม่ซื้อเรายิ่งใจเสียหนัก
บางคนมาต่อ ว่า 10 บาทได้เปล่า เราบอกพี่ หนูตกงานนะคะ ให้หนูเถอะนะ
เค้าตอบกับมาว่า นะลดให้หน่อย เถอะ เรามองเค้าแต่งตัวดีมาก เงินเต็มกระเป๋าเลย เราถอนหายใจ
เค้ายังพูดต่อว่าของ ที่น้องเอามาขายดีๆ ทั้งนั้นเลย เนอะ ถูกด้วย
เราคิดในใจ เฮ้ย ก็รู้นิว่าถูกด้วยดีด้วยก็ยังต่ออีกเหรอ ขนาดเราบอกว่า เราตกงาน ก็ยังจะต่ออย่างเหนียวแน่น
จะเอาให้ได้ คุณคิดว่าเราขายให้เค้ามั้ยลดให้เค้ามั้ย
เฮ้ยความสามารถเรามันเข้าตาจริงๆ และทุกคน เค้าดูกริ๊ดกราดเรา แต่แล้ว ทำไมเราถึงไม่รับเรานะ คุณสงสัยมั้ย
เราก็ขายนะคะ ทำไงได้มีทางเลือกอะไรดีไปกว่านี้ ถึงแม้ในใจเราเจ็บปวดก็ตาม (ดราม่าไปมั้ยวะ)
หลังจากเราเปิดบิลแรกได้ด้วยราคา 10 บาท เรากำเงิน 10 แน่นเลย
ภาพย้อนหลังกลับมาจากที่เมื่อก่อนกินใช้สะดวกสบาย จะทำอะไรก็ได้ ตอนนั้นแบงค์พันควักนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย ไหนจะค่าเครื่องสำอางที่เราใช้แสนแพง sk2 ลาแมร์ biotherm ไบโอเดอร์ม่า และอื่นหลากหลาย ฮาดะ อะไรนั้นจัดหมด
มาวันนี้ 10 บาทตู จะไปซื้อไรได้วะ นั่งรถมาขายก็ 20 บาทแล้ว เราเริ่มมองกำไรขาดทุนชัดเจนสุดๆ
จากนั้นเรานั่งมองป้าขายสลัด ที่ขายได้ตลอดเวลา เลย มองแล้วถอนหายใจอีกที แถมคนมาซื้อสลัด มาเลือกของเรา แล้วยังบอกว่า
หนูหน้าตาสวยๆ ไม่ทำงานเหรอมาขายของทำไม เราบอกออกเพิ่งออกจากงานมานะคะ
เค้าพูดประโยคคลาสสิคว่า ตอนนี้ใครมีงานทำนี่โชคดีสุดๆ แล้ว
เรานี้เออ คิดในใจเหมือนมีดบาดใจแปลบๆๆๆ
แล้วพี่เค้าก็ไม่ซื้อด้วยนะ มาทำให้เราท้อแล้วจากไป
ยังไม่ทันได้เผาอารมณ์เท่าไหร่เลย มีคนมารุมดูของเราอีกแล้ว ทั้งลื้อทั้งค้นทั้งต่อราคา แถมเราไม่มีถุงใส่ให้เค้าด้วยนะ เราก็ยอมสนุกสนานกันดี มาตอนนี้ ใครต่ออะไรเราให้หมด ต่อไม่พอแถมให้เค้าอีกต่างหาก กลายเป็นว่าเค้าซื้อเยอะแยะเลย ทีนี้ เราเปิดกระเป๋าดูอีกที หลังจากเอาเงินยัดๆ ลงไป ได้เกือบ 800 บาท เราอึ้งเลย ณ เวลานี้ 8.30 น. เราเวลาใช้นับตั้งแต่ตั้งร้านจนถึงวางของเสร็จ รวมๆ เวลาขายไม่ถึงชั่วโมง เราได้ เงินขนาดนี้ จากที่เมื่อกี้ ดราม่า กับตัวเอง จะเป็นจะตาย ตอนนี้ยิ้มแก้มปริเลย>>>>
เงินที่ได้
เราคิดบวกทันที รับสลัดป้าเค้าขายต่อมั้ย เพราะตลาดที่นี้เดี๋ยวคนก็วายหมดแล้ว .. เราจึงเอ่ยปากถามป้า
ต้องขายเท่าไหร่ให้ได้วัน ละ 800 บาท เฉพาะกำไร เราต้องขายให้ได้ถึง 54 กล่อง โห แล้วจะขายได้ขนาดนั้นเหรอ ริมทางอะนะ
อันนี้เราคิดแบบคนไม่เคยทำค้าขายเป็นเรื่องเป็นราวเลย
เราจึงคิดใหม่ ถ้าซื้อแต่น้ำสลัดไป แล้ว เราไปทำผักเอง จะดีมั้ยเราเลยลองซื้อของป้าเค้ากินดู ว่ามีอะไรบ้างรสชาดน้ำสลัดเป็นไง
ระหว่างนั้นเราเก็บของกลับบ้านพร้อมกับอาการดีใจที่ได้เงินมา เกือบ 8 ร้อย ของเรามานั่งเปิดคอมหางานต่อพร้อมกินสลัดป้า
สลัดป้าอร่อยมากเลยอะ น้ำสลัดถั่วแดงมีแตงกวาชิ้นใหญ่ ผักแบบดีๆ เลย ทั้งถุง เรายังกินไม่หมดเลย หุหุ จะบอกว่า
เราคิดปิ๊งจบทันทีเราไม่ทำขาย ไม่คุ้มอย่างยิ่ง ถ้าทำขายน้อยๆ ต่อให้ซื้อน้ำสลัดมา เราทำผักเอง มันก็ยังไม่คุ้ม
แล้วต้องแบกไปขายรถก็ไม่มี มันไม่ใช่และ
เราสมัครงานต่อไป เราได้เงินมาเอาไปใช้เดินทางสมัครงานกินซะหมด เป็นที่น่าเสียดายนะ เรากำลังคิดอะไรหลงทางเปล่า
บริษัทฯ
เค้าจะรับเด็กจบใหม่ หรือไม่แก่มาก เอามาฝึกสอน ดีกว่า
เงินเดือนสำหรับคนเหล่านี้ ก็เริ่มต้นถูกแต่ใช้งานให้คุ้ม
ถึงแม้จะลาออก ก็ไม่ได้แคร์อะไร หาใหม่ได้ ก็ไม่ต้องมานั่งขึ้นเงินเดือนให้คนเก่า
ก็สอนงานกันใหม่ ไอ้คนเก่าที่อยู่ดิอ่วมต้องมาเจอวงจรเหล่านี้
เฮ้ย เราซัก จะทำใจยอมรับมันตั้งใจว่าจะไม่สมัครงานไปเรื่อยๆ แบบหว่านแล้ว เราต้องสมัครแบบที่เรามีหวังจริงๆ
ซึ่งวันจันทร์นี้เราจะไปอีก ยังไม่ปิดประตูตาย
จากนั้นกลางวันบ่ายๆ เรานัดเพื่อนไปซื้อโน๊ตบุคใหม่ เพื่อมากดดันตัวเอง ให้หารายได้มาผ่อนให้ได้
เอามาทำงาน สื่อของเราที่เราพอมีรายได้อยู่บ้าง เมื่อก่อนเราทำแบบยืมคอมเพื่อน และนานๆ จะได้ทำทีเพราะงานประจำยุ่งมากกกกกก
ตอนนี้ออกแล้วคงได้ทำเต็มที่เงินก็คงได้มากขึ้นด้วย เอามาขายของในเวบ เอามาหาไอเดีย เอามาทำอะไรอีกหลายอย่างที่จะเป็น
เงินตอนนี้ ยังไม่ได้จัดลำดับความคิด แต่เราคิดบวก
ถามว่าเครียดมั้ย เราตอบเลยว่าเรายังไม่เครียด เราดูเครียดน้อยกว่าตอนทำงานด้วยซ้ำ
เฮ้ย นึกไปนึกมา เที่ยงคืนแล้วเรานอนดีกว่าเพื่อจะได้ไปขายใหม่วันอาทิตย์
ข้ามมาตอนเช้า วันอาทิตย์ เราก็ตั้งใจจะมาตั้งร้านข้างป้า เนื่องจากเราสาย เพราะไม่มีรถวินเลย เนื่องจากอากาศหนาวรถวินไม่วิ่งกัน
พอเจอคันนึง ถามว่าเราจะไปไหน เราบอกไปขายของ เค้าพูดใส่หน้าเราว่าขึ้เกียจไปทางนั้นแล้ววิ่งหายไป เฮ้ย เรางง เลย
เรานั่งรอรถร่วมชั่วโมง เพราะบ้านเราเข้าออกลำบาก วินก็อินดี้มาก มีไม่ถึง 5 คัน
จนสุดท้ายมีวินเทพบุตรมาพาเราไปขายของได้สำเร็จ เราไปถึง 8 โมงกว่าแล้ว เรางี้เซง ที่ที่เราขายมะวาน โดยคนมาขายไปแล้ว
ป้ามองหน้าเราแล้วยิ้ม แห้งๆ เราบอกไม่เป็นไรเราตะเวนเดินหา พร้อมคิดในใจว่า คงไม่ได้ขายแล้วละ คนจะหมดแล้วด้วย
วนอยู่สองรอบ จนมีพี่ผู้ชายคนนึง เค้าขายพวกมือถือ เก่าๆ และที่ชาร์ตแบ็ตต่างๆ เค้าเรียกเราไป ให้วางใกล้ๆ เค้าก็ได้ พร้อมกับเลื่อนของเค้า ไปชิดอีกแผงเพื่อให้เรามีที่ขาย โห น้ำใจล้นเหลือจริงๆ เราเริ่มตั้งแผงสำหรับวันที่สอง
เราก็บอกพี่หนูตกงานนะคะอย่าต่อหนูเลย พี่เค้าบอกว่าวันก่อนที่พี่ซื้อของเราหลายอย่างไง ของเราดีจริงๆ นะ พี่ชอบ
เราบอกอ่าวเหรอหนูจำพี่ไม่ได้งั้น พี่เอาไป 3 เล่มหมดเลยมั้ย 50 บาท นะ เคปะ
พี่เค้าบอกว่า ได้ แล้วยังเลือกเสื้ออีกสองตัว กำไร อีก 1 อัน เป็นทั้งหมด 90 บาท แล้วก็ยิ้มกลับบ้านไป
เราก็ยิ้ม เออ ได้แค่นี้ดีแล้วละ
แล้วก็มีคนมาซื้อเรื่อยๆ จนของเกือบหมด รวมทั้งพี่ที่แบ่งที่ให้เราขาย ก็ยังมาช่วยซื้อเสื้อเราอีก นั่งแป๊ปเดียว ไม่ถึงชั่วโมง
ได้เงินมา เกือบ 7 ร้อยบาท หักค่ารถค่าข้าวก็เหลือ 600 บาทถ้วน
เราเริ่มเก็บของกลับบ้าน วันนี้ ได้เงินไวกว่าเมื่อวานอีก สนุกดี แล้วก็ขอบคุณพี่เค้าว่า ไปก่อนนะคะพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ
จากนั้นเราเลยคิดไอเดียว่าเงินที่เป็นกำไรของการขายของทุกวันเราจะเอามาใส่กระปุก รอไว้ไม่ใช้จ่าย
ส่วนเงินที่ใช้จ่ายจะเอาเฉพาะเงินทุนเท่านั้นและประหยัดให้มากสุด ไม่ฟุ่ยเฟือยซื้อของเลอะเทอะหรือแม้แต่กินของโปรดอันนี้เลิกซะ
คงจะกินเฉพาะวันพิเศษ จริงๆ โหเมื่อก่อนกินทิ้งกินขว้าง มาวันนี้ ต้องอด อิอิแต่ไม่เป็นไรจะได้ผอมด้วย คิด ++++อีกแล้ว
และนี้คือเงินที่เราได้จากการขายของเป็นเงินที่เราจะเก็บให้ครบทุกวันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นเดือน ในกระปุกนี้มีเงิน ขายของ สองวัน
เสียเวลาไป ทั้งสิ้น ไม่ถึง 3 ชั่วโมง กับเงินที่ได้มา เฉพาะกำไร 1,300 บาท
แล้วมีเวลาให้กับตัวเองก็เยอะแยะ ถ้าขยันไปหา ตลาดเย็น กลางวันมาขายเพิ่มก็ได้
แต่ต้องเน้นที่ไม่ไกลบ้านและไม่มีต้นทุนการเดินทางสูง
จะไม่เจ็บตัวมากถ้าขายไม่ได้ หรือขายไม่ดี
ไม่ลงทุนเปิดร้าน เพราะต้องตั้งหลักก่อน อาศัยขายแบบเล็กๆ น้อยแต่ไม่เหนื่อยไปก่อน
หากของที่มีหมดไป ก็ไปซื้อของมือสองตามแหล่งส่ง ที่ไม่แพงมากแต่คุณ ภาพดีๆ มาขายต่อในราคาพอมีกำไรบ้าง
จะขายได้เรื่อยๆ ตอนนี้เราคิดแบบนี้ยืนพื้น
ถ้าเราได้งาน เราก็ยังคงขายต่อไป เพราะงานที่ได้เป็นงานกะ เราจะเลิกทำตัวเรื่อยเปื่อยใช้เงินไปเรื่อยๆ แล้ว
แต่เราจะหาให้มากๆ
และที่สำคัญเราจะเริ่มเก็บเงิน หลายคนอาจจะดูถูกเราว่ามาเริ่มอะไรป่านี้ละแก่แล้ว เราบอกเลยว่าไม่มีอะไรแก่เกินที่จะทำ
ไหนๆ เราก็เริ่มแล้ว ไม่มีคำว่าสาย
เราจะทำอะไรหลายๆ อย่างแต่ไม่ลงทุนหนักแน่น เนื่องจาก เศรษฐกิจ แฟชั่น ความนิยมไปไวมาก ดังนั้น ทุกอย่างถ้าลงทุนสูงมีสิทธิขาดทุนเนื่องจากขายไม่ได้ เพราะโลกไปไวมาก เราเน้นซื้อมาขายไปดีกว่าหมดก็ค่อยเติม
ชีวิตไม่ต้องเครียดแบกต้นทุน เงินกู้หนี้ยืมสินเพราะเอามาลงทุนเพื่อค้าขายเช่าร้าน เรามองว่าเรายังไม่พร้อมขั้นนั้น
ตอนนี้สำหรับคนที่กำลังแย่ กำลัง เซง หดหู่ หรือแม้แต่จะคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเราก็มีคิดแวบๆๆๆ แต่เรามองว่า
อย่าไปคิดเยอะคิดไกล คิดวันต่อวันดีกว่า
เราคิดแผนเผื่อพรุ่งนี้ไว้ อนาคตไว้ ถ้าไม่ได้นั่นนี่ผิดหวัง ฆ่าตัวตาย มันก็ไม่คุ้มนะ
เราตัน เราก็ไม่ต้องเอาซ้อมไปแทงเขา อาจจะปรับหน้าเขาให้เราอยู่ได้ ไม่ต้องเดินไปไกล
อยู่ได้แบบมีความสุข
ปรับตัวให้อยู่กับ สิ่งที่มีที่เกิด และพัฒนาไปเรื่อยๆ อายุเราก็เยอะแล้ว อะไรในชีวิตที่ผ่านมาเราก็อิ่มมาระดับนึงแล้วละ
แผนการหาเงินเรา
เช้าขายของ
กลางวันหาซื้อของมาขายเตรียมขายวันต่อไป
บ่ายมานั่งทำงานสื่อ ขายของออนไลน์
หรือหาช่องทางทำเงินต่อไป
เย็นไปออกกำลังกาย และวางแผงขายของต่อ
ใครจะมองเราว่ามานั่งขายของข้างถนนก็ช่างเค้า เค้าอาจจะไม่มีความสุขเท่าไรก็เป็นได้
ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้ามีบ้านมีรถเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อเราหมดลมหายใจลงทุกคนย่อมนอนในโลงแคบๆ ที่เอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่ร่างของตัวเอง
สู้นะคะ อย่าท้อนะคะ ทำทุกวันให้มีความสุข ไม่ใช่ทำทุกวันให้รวยนะ
หวังว่ากระทู้นี้คงเป็นกำลังใจให้กับใครหลายๆ คนที่กำลังเป็นแบบเรา นะคะ ลุกขึ้นมาสู้กันอีกตั้งจ๊ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านจนจบ
แล้วมาลุ้นกันเราไปสมัครงานอีก วันพรุ่งนี้เราจะได้งานมั้ย..... แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกนะ
Facebook : https://web.facebook.com/Stayra-M-i-ko-419719294750034/
ขอบคุณกระทู้จากคุณ ฟินนาเร่ในทุ่งหญ้า สมาชิกเว็บพันทิป (เว็บโพสท์จังได้ขออนุญาตเรียบร้อยครับ)