หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

Kesagake หมีกินคนแห่งหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ

โพสท์โดย ห่ะไรนะ



ความจริงแล้วสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่จะไม่ฆ่าคนเพื่อกินเนื้อ เพราะมันรู้ว่าหากฆ่าคนขึ้น ปัญหาจะตามมาหามันแน่นอน ดังนั้นการที่จะเกิดกรณีเหล่านี้ได้
จะต้องอยู่ภายใต้ภาวะเงื่อนไขที่เหมาะสมเช่น มันหิวจัด ถูกรุกรานที่อยู่ หรือเห็นมนุษย์เป็นสัตว์ที่มันล่าง่ายที่สุด และเมื่อมันทำร้ายมนุษย์แล้ว
มันจะล่ามนุษย์ต่อไป เรื่อยๆ ตราบใดที่มันไม่ตาย


เมื่อมีคนพูดถึงประเทศ “ญี่ปุ่น” คุณก็มักนึกถึงซูซิ, เทคโนโลยีล้ำหน้า และสิ่งบันเทิง เช่น การ์ตูนและภาพยนตร์ แต่หลายสิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ
สมัยก่อนญี่ปุ่นไม่ได้ล้ำหน้าเหมือนปัจจุบัน เพราะญี่ปุ่นสมัยก่อนยังคงเป็นชุมชนเกษตร มีชีวิตแบบชาวไร้ ชาวนา และมีหลายครั้งพวกเขาก็ต้อง
เผชิญกับเหล่าสัตว์ร้ายต่างๆ นาๆ ในป่า แต่อย่างไรก็ตามไม่มีครั้งไหนแล้วที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่โหดเหี้ยมและอันตราย
ที่ได้สร้างความหวาดกลัวแก่ชาวญี่ปุ่น ทุกยุคทุกสมัย เรื่องราวของมันถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญต่างๆ นาๆ ของญี่ปุ่น

มันคือ “หมีน้ำตาลเคะซากาเกะ” ซึ่งมันได้รับการจารึกว่ามันคือซอว์ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว




เรื่องราวของมันเริ่มต้นขึ้นในยามเช้ากลางเดือนพฤศจิกายนในปี ค.ศ. 1915 ที่หมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ เมืองโทมาม่า ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
โดยสมัยก่อน นั้นหมู่บ้านแห่งนี้พึ่งจะมีคนอยู่อาศัย กำลังบุกเบิก จำนวนคนในหมู่บ้านน้อยมาก และส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนป่าเขาแยกห่างจากกัน
และพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของหมีเพศผู้ ขนาดยักษ์ที่หลายคนเรียกมันว่า “เคะซากาเกะ”

หมีเคะซากาเกะนั้นเป็นหมีที่สร้างความรำคาญแก่ชาวบ้านแถบนั้นมาก มันเป้นหมีมหึมาตัวใหญ่ สีน้ำตาล ซึ่งมันชอบขโมยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ของชาวบ้าน ซึ่งวันดังกล่าวมันไปสร้างความเสียหายกับครอบครัวของอิเคดะ จนกระทั้งวันที่ 30 พฤศจิกายน หมีน้ำตาลปรากฏตัวอีกครั้ง
และชาวบ้านได้ตัดสินใจที่ใช้ปืนยิงมันเพื่อฆ่ามัน จนมันถูกยิงจนบาดเจ็บแล้วหนีขึ้นบนเขา เมื่อมันหนีไป ชาวบ้านพยายามตามรอยเลือดมัน
เพื่อฆ่ามันให้ตาย แต่ระหว่างทางกลับมีพายุหิมะเกิดขึ้นเสียก่อน ทำให้พวกเขาต้องหันหลังกลับไป อีกทั้งพวกเขายังก็รู้สึกโล่งใจเพราะเชื่อว่า
หมีคงจะรู้สึกกลัวคนและอยู่ห่างจากพืชผลของเขา มันไม่กลับมาหมู่บ้านของพวกเขาอีกแล้ว

หากแต่แล้ว พวกเขากลับคิดผิด!! เพราะหมีน้ำตาลก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง
หากแต่การปรากฏตัวคราวนี้มันได้กลายเป็นหมีกระหายเลือด กินคน !!


วันที่ 9 ธันวาคม 1915 เวลา 10.30 น. เจ้าหมียักษ์กลับมาอีกครั้ง มันเริ่มออกปฏิบัติการแก้แค้นตามฉบับของมัน มันเลือกเหยื่อรายแรก
ของมันคือครอบครัว โอตะ ในขณะนั้นอาเบะ มายูภรรยาของครอบครัว และฮายูมิ มิกิโอะทารกที่เธอดูแลอยู่ก็ถูกเจ้าหมีตัวบุกเข้ามาในบ้าน
เพื่อหมายฆ่าคนทั้งสอง ทารกถูกกัดศีรษะจนเสียชีวิต ส่วนฝ่ายหญิง พยายามต่อสู้โดยสาดฟืนเข้าใส่ แต่ท้ายสุดเธอก็ถูกหมีลากเข้าป่า
และเมื่อชาว บ้านมาถึงที่เกิดเหตุถึงกับต้องตะลึง โดยพวกเขาบรรยายว่าเหมือนโรงฆ่าสัตว์ไม่มี ผิด เพราะเลือดสาดกระจายทั้งบนพื้นและผนัง


ในตอนเช้า ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้นหมี พวกเขาเลยจับกลุ่มสามสิบคนบุกเข้าป่าเพื่อยิงหมีและกู้ซากศพของมายู และเมื่อเขาเดินเข้าไปป่า
ไม่เกิน 150 เมตร พวกเขาก็เห็นหมีสีน้ำตาล ห้าคนยิงหมี แต่มันก็ทำได้แต่เพียงทำให้ทันโกรธและหนีไปหลังจากพวกเขาสำรวจบริเวณรอบๆ
ก็พบชิ้นส่วนศพที่มี เพียงหัว และชิ้นส่วนที่เหลือของฝ่ายหญิงฝังอยู่ใต้หิมะ คาดว่าหมีคงเก็บอาหาร ของมันไว้กินภายหลัง ทำให้เชื่อว่า
ตอนนี้หมีได้กลายเป็นสัตว์กินคนเป็นที่เรียบร้อย และเชื่อว่าหมีดังกล่าวได้พบว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ล่าง่าย และมีรสชาติหวานอร่อย และแน่นอนว่า
มันไม่หยุดเพียงแค่นี้แน่

ในคืนวันเดียวกัน (8.00 น.) หมีก็กลับมาที่ฟาร์ม โอตะอีกครั้ง ซึ่งชาวบ้านบางส่วนได้จับกลุ่มรอเตรียมรับมืออยู่แล้ว ชาวบ้านพยายาม
ยิงหมีแต่ว่ามันก็รอดไปอีก โชคดีเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีใครบาดเจ็บ  และบางคนพยายามตามล่าเส้นทางที่คิดว่าหมีหนีไป



 
ในเวลาไม่นานนัก เจ้าหมีที่หนีตายได้กลับมาปักหลักบ้านของครอบครัวมิโซเค ซึ่งตอนนี้หมู่บ้านไร้ทางป้องกัน (เพราะไม่นึกว่าหมีจะมา)
ในเวลานั้นยาโยภรรยาที่ตั้งครรภ์ของมิโซเคได้เตรียมอาหารค่ำพร้อมกับลูกทั้งสี่ของเธอ ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงดังก้องร้องอยู่ข้างนอก
แต่ไม่ทันที่ตรวจสอบ หมียักษ์ก็ได้ผ่านหน้าต่างและเดินเข้าไปในบ้าน หม้อหุงเข้าบนเตาถูกพลิกกลับ เปลวไฟถูกทำให้ดับลงทำให้บ้าน
ตกอยู่ในความมืด ยาโยพยายามหนีออกจากบ้าน แต่ลูกชายคนที่สองของเธอยุดที่ขาของเธอจนสะดุดล้มขณะวิ่ง  หญิงที่ตั้งครรภ์หนีไม่ไหว
ร้องขอชีวิตลูกในครรภ์ของ เธอ แน่นอนมันไร้สาระ เจ้าหมีก็ฆ่าเธอและลูกทั้ง 4 คนของเธอเช่นเดียวกันเหยื่อก่อนหน้าของมัน


ความจริงในบ้านยังมีโอโดชายที่รับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดอีกคนอยู่ด้วย (และยังมีผู้หญิงอีกคน หากแต่เมื่อหมีมาเธอก็หนีออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว)
หากแต่พอหมีเข้ามาเขาก็ได้ซ่อนอยู่หลังเฟอร์นิเจอร์ โชคดีที่หมูสนใจยาโยและลูกของเธอมากกว่าเขาทำให้เขารอดมาได้

เมื่อพวกกองทหารชาวบ้านกลับมาถึงมาถึงพวกเขาก็พบร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็ก และ หญิงสาวที่ท้องทะลักจนตัวอ่อนในครรภ์
ออกมาเต็มพื้นดิน เจ้าหมีตัวนี้ใช้เวลาเพียงสองวันฆ่าคนทั้ง 8 คน จนทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นหวาดกลัวเป็นอันมาก

ทหารชาวบ้านถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยคนสิบคนยืนอยู่ที่ประตูยาม ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ไปอยู่ด้านหลังของบ้าน
เมื่อได้รับสัญญาณกลุ่ม กลุ่มที่อยู่ด้านหลังจะวิ่งมาพร้อมอาวุธต่อสู้ทันทีหากเจอหมี และเป็นอย่างที่คาด หมีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ที่ประตูหน้าบ้าน เหล่าผู้ชายพยายามใช้ปืนไรเฟิลโจมตี แต่ด้วยความสับสนและการยิงปืนพลาด ทำให้หมีหนีเข้าไปในป่า
และไม่สามารถติดตามต่อไปได้เพราะตอนนั้นเวลามืดเกินไป
 
หมีสีน้ำตาล


 
ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวหมีสีน้ำตาลต่อขอพูดเกร็ดความรู้สักหน่อยเพื่อความเข้าใจ สมัยก่อนนั้นบ้านชาวนาของคนญี่ปุ่นนั้น
ไม่ได้แข็งแรงหรือใหญ่โตเหมือนบ้านสมัยนี้  โดยบ้านชาวนาญี่ปุ่นคล้ายๆ กับบ้านชาวนาของไทย คือส่วนใหญ่ทำมาจากฟาง
เป็นบ้านเดี่ยว ทำให้มันมันไม่แข็งแรงมากนัก  ภายในบ้านมีอุปกรณ์ทำมาหากิน อาหารแห้ง และตรงกลางบ้านมีพื้นเตา
ที่เรียกว่า “อิโอริ” (irori) ที่พบเห็นทั่วไปในญี่ปุ่น โดยตรงกลางพื้นเตาจะมีตะขอใช้เกี่ยวหม้อหรือหม้อต้มน้ำเอาไว้ต้มน้ำ
หรือผิงไฟให้ร่างกายอุ่นในฤดูหนาว บ้านญี่ปุ่นนั้นเป็นรูปแบบสร้างง่ายๆ จึงไม่แปลกที่หมีสีน้ำตาลจะพังเข้ามาทำร้าย
คนในบ้านอย่างง่ายดาย




ส่วนหมีสีน้ำตาลญี่ปุ่นนั้น เป็นหมีสีน้ำตาลอามูร์ ซึ่งนอกจากจะพบในญีปุ่นแล้วยังพบในจีน และเป็นหมีที่ปัจจุบันกลายเป็นพันธุ์หายาก
ในญี่ปุ่นปัจจุบัน พบได้เฉพาะในฮอกไกโด เกาะซาคาริน และหมู่เกาะคูรินเท่านั้น หมีชนิดดังกล่าวมีขนาดใหญ่ มีพละกำลังมหาศาล
มีจมูกไว และเป็นนักล่าที่เก่งกาจ ส่วนใหญ่มันมักอาศัยอยู่ในโพลงถ้ำ หากอาหารหมดมักจะบุกรุกเข้ามาขโมยพืชผลมนุษย์

ในช่วงฮอกไกโดศตวรรษที่ 20 มีคนถึง 141 คนเสียชีวิตแบะอีก 300 คนได้รับบาดเจ็บ จากการโจมตีของหมีชนิดดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์หมีสีน้ำตาลโจมตีหมู่บ้าน ถือว่าเป็นการโจมตีของหมทีที่ได้รับจารึกว่าเลวร้ายที่สุดในญี่ปุ่นเพราะมีคนตายถึง 7 คน
(ที่จริงอาจมากกว่านั้น) และบาดเจ็บอีก 3 คน (มากกว่านั้น) โดยหมีสีน้ำตาลดังกล่าวมีขนาดใหญ่ สูงถึง 2.7 เมตร หนัก 380 กิโลกรัม
ซึ่งใหญ่เป็นสองเท่าของหมีสีน้ำตาลเท่าไป



 
กลับเข้าเรื่องต่อ ระหว่างทางที่หมีถูกชาวบ้านไล่ฆ่า มันก็ทำร้ายเด็กแถมนั้นบาดเจ็บไปสองคน ทำให้คนในหมู่บ้านรวมตัวกันในโรงเรียน
และรักษาคนที่บาดเจ็บ ในขณะเดียวกันหัวหน้าครอบครัวมิโซเค ยังไม่รู้ชะตากรรมของครอบครัว ระหว่างนั้นเขากับอิเคดะกำลังไปยื่นรายงาน
เรื่องแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและอำเภอก่อนที่ไปพักค้างคืน และตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินชายที่ชื่อ “ยามาโมโตะ” เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องล่าหมีที่เก่งกาจ
เขาเลยขอร้องให้เขาไปช่วย ซึ่งต่อมาเขาก็ตามมิโซเคและอิเคดะไปหมู่บ้านเพื่อไปล่าหมี


ในที่ 11 ธันวาคม มิโซเคและอิเคดะได้กลับมาบ้าน และสังเกตชาวบ้านรวมตัวกันที่โรงเรียน และเมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้มิโซเค
เสียใจมากและหมายจะฆ่าหมีเพื่อแก้แค้น โดยดัดรอหมีอยู่บ้านของเขา เชื่อว่าหมีจะมาอีกครั้ง หากแต่วันนี้หมีก็ไม่ปรากฏตัว

วันที่ 12 ธันวาคม ข่าวการปรากฏตัวของหมีได้กระจัดกระจายไปทั่วฮอกไกโด เป็นเหตุทำให้สำนักงานรัฐบาลและสถานีตำรวจได้ส่งทีม
ซุ่มยิงและอาสาสมัครที่รวบรวมจากเมืองใกล้เคียงไปจัดการ หากแต่หมีน้ำตาลตัวต้นเหตุก็ไม่ปรากฏเลยในวันนั้น ทำให้หลายฝ่ายต้อง
วางแผนการล่าหมีแม้ว่าจะมีงบประมาทจำกัด ตอนแรกมีความพยายามจะล่อหมีออกมาโดยการเอาศพของเหยื่อที่เคราะห์ร้ายมาล่อหมี
หากแต่แผนดังกล่าวถูกประณามอย่างกว้างขวางจากญาติผู้ตาย ทำให้แผนยุติในที่สุด

วันที่ 13 ธันวาคม ในตอนเช้าทีมค้นหาได้พบว่าบ้านของครอบครัวโอตะถูกรื้อค้นโดยหมีสีน้ำตาล ที่แอบมากินอาหารที่คลังเสบียง
ที่เก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวจนเละ และมันยังทำความเสียหายในลักษณะดังกล่าวหลายบ้านใกล้เคียง หากแต่จนถึงขณะนั้นไม่มีใครตามฆ่ามันได้
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ได้รับข่าวดี เมื่อพบว่าขณะนี้มีคนกว่า 60 คนติดอาวุธตัดสินใจกันล้อมภูเขา และคืนนั้นเองพลซุ่มยิงที่ดักสะพาน
ได้เห็นบางสิ่งบางอย่างเป็นเงาใกล้ตอไม้บนฝั่งตรงข้าม ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเงาของมนุษย์ จึงตะโกนเรียกถามกลับ หากแต่เมื่อสังเกต
อีกทีก็พบว่าเป็นเงาของหมีตัวต้นเหตุ หากแต่ไม่ทันได้ยิน มันก็หายไปไหนป่า ทำให้พลาดโอกาสฆ่าหมีไป



 
หลังจากนั้นเจ้าหมีก็ถูกไล่ล่าอย่างหนัก (ระหว่างนั้นมันก็อาละวาดฆ่าคนไปไปด้วย) จนในที่สุดเรื่องก็จบลงเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม เมื่อทีมไล่ล่า
(ตอนนั้นยามาโมโตะได้ตามมาช่วยแล้ว ก็ได้พบรอยเท้าหมีและเลือด ซึ่งระบุว่าเป็นหมีฆาตกรที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้นี้คือโอกาสสำคัญในการฆ่าหมี
ซึ้งยามาโมโตะได้ติดตามล่าหมีอย่างไม่ลดล่ะ และด้วยความคุ้นเคยการล่าหมีทำให้เขาสามารถตามเจ้าหมีตัวนั้นทัน เมื่อเขาดักรอที่ด้านบนต้นโอ๊คญี่ปุ่น
เขาก็พบหมีเดินผ่าน เขาเดินเข้าไปใกล้หมีในระยะ 20 เมตร และจัดการยิงเจ้าหมี โดยเขายิงสองครั้งที่หัวใจและครั้งที่สองยิงที่หัวของมัน
และเมื่อหมีสิ้นใจชาวบ้านก็ทำการวัดขนาดของหมี พบว่าหมีตัวนี้หนักกว่า 380 กิโล และสูง 2.7 เมตร เมื่อทำการผ่าท้องมาก็พบชิ้นส่วนมนุษย์
อยู่ในกระเพาะอาหารของมัน
(ตอนแรกกะโหลกศีรษะหมีและบางส่วนของขนถูกเก็บเอาไว้ หากตอนหลังก็หายไปอย่างลึกลับ
ทำให้ไม่มีสิ่งของหมีฆาตกรดังกล่าวเก็บเอาไว้เลย)
 




อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหมีกินคนตัวปัญหาจะตายไปแล้ว แต่เหตุการณ์เลวร้ายยังไม่จบสิ้น เมื่อเหยื่อที่ถูกหมีทำร้ายบางรายเสียชีวิตต่อมา
เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว และต่อมาก็มีการพบหมีสีน้ำตาลในบริเวณหมู่บ้าน ส่งผลทำให้หมู่บ้านร้างในที่สุด ในขณะที่ชาวย้าย
บางคนในหมู่บ้านได้ตัดสินใจเป็นนักล่าหมี เช่น โอคาวา ฮารูโยชิ ซึ่งตอนนั้นอายุ 7 ขวบและเป็นลูกชายของนายกเทศมนตรีหมู่บ้าน
ในเวลบานั้นได้เติบโตเป็นนักล่าหมี เพราะเหตุการณ์ฝังลึง เขาเกษียณมื่ออายุ 62 ปี ซึ่งเขาสามารถฆ่าหมีถึง 102 ตัว

ปัจจุบันหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ เหลือเพียงแต่บ้านจำลองของครอบครัวโอตะ และมีรูปปั้นจำลองของหมีกินคนขนาดเท่าตัวจริงอยู่หน้าบ้าน
เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สยองขวัญเท่านั้น เรื่องราวหมีกินคนแห่งหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ ถูกนำมาสร้างเป็นสื่อบันเทิงต่างๆ มากมาย เช่น
ละครวิทยุ, นิยาย, มังงะในชื่อ The Wild Legend



 

 
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ห่ะไรนะ's profile


โพสท์โดย: ห่ะไรนะ
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
16 VOTES (4/5 จาก 4 คน)
VOTED: แย้มศรี, ท่านฮั่ว แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง, ผมชื่อ ไอ้โง่
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทรายจากซาฮาร่า ทำท้องฟ้ากรุงเอเธนส์เป็นสีส้มเขมรเตรียมฉาย หนังบางระจันเวอร์ชั่นเขมร อ้างหมู่บ้านบางระจันมีที่มาจากกัมพูชา!โควิด-19 อีกแล้ว!!!หนุ่มเครียด! แฟนไปทำศัลยกรรม แล้วหน้าตลกจนไม่มีอารมณ์..ด้วย?จิ้มแบบนี้จะเผ็ดกี่โมงสาวคาซัคสถาน ทนไม่ไหว ทำสัญญาเลิกจากการเป็นทาสอย่างเด็ดขาด (โปรดดูหน้านายทาส รูปสุดท้าย ดูเต็มใจม๊ากมาก)นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตั้งกรรมการสอบ ปมไอลอว์ตั้งคำถามเล่มจบ ป.เอกของ "สว.สมชาย" ข้อความคล้ายหลายแหล่งเมื่อหนุ่มทำพัดลมไอเย็นเอง..ว่าแต่มันคลายร้อนได้จริงหรือ ?คดีฆ่ๅชำแหละยัดถุงดำ เป็นฝีมือชาวญี่ปุ่น
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
คดีฆ่ๅชำแหละยัดถุงดำ เป็นฝีมือชาวญี่ปุ่นผลไม้ที่ช่วยคลายร้อน ช่วยดับกระหายได้ดีหนุ่มเครียด! แฟนไปทำศัลยกรรม แล้วหน้าตลกจนไม่มีอารมณ์..ด้วย?สาว 3 ราศีนี้ เป็นสุดยอดจอมวางแผนเข้าใจคิด!! เมื่อร้านอาหารวางเเป้งเย็นไว้ทุกโต๊ะ เสิร์ฟความเย็นถึงมือลูกค้าให้ใจร่ม ๆ ก่อนสั่งอาหาร 😆
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เมื่อหนุ่มทำพัดลมไอเย็นเอง..ว่าแต่มันคลายร้อนได้จริงหรือ ?หากโลกนี้มีเวทมนต์จะเกิดอะไรขึ้นบ้างแมคโดนัลด์เป็นอะไร..ทำไมถึงมีโลโก้กลับหัวสาววิศวะลาออกมาเป็นนักชิม..ตะลุยกินอาหารทั่วประเทศจีน
ตั้งกระทู้ใหม่